doctor strange in the multiverse of madness สปอยหนัง
หลังจากที่ Marvel Studios ได้พาเราไปท่องเที่ยวตามแนวคิดพหุจักรวาล (Multiverse) หรือที่เรียกว่ามัลติเวิร์ส ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของ MCU (Marvel Cinematic Universe) เฟสที่ 4 ในตอนนี้สถานการณ์เริ่มทวีความวุ่นวายโกลาหลและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเหตุนี้เองหมอแปลกจึงต้องขอกลับมาร่ายมนต์เพื่อแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้นใน ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’หรือ‘จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย’
อย่างที่ทราบว่าหมอแปลกที่กลายมาเป็นจอมเวทใน Doctor Strange full movie (2016) และไปโผล่ในฐานะสมาชิกอเวนเจอร์ส (Avengers)ในภาพยนตร์หลายเรื่องมาถึงตอนนี้หนังเดี่ยวภาคที่ 2 ของหมอแปลกก็มาถึงเสียทีพร้อมๆกับการจับธีมมัลติเวิร์สมาเล่ากันแบบเต็มๆโดยไม่ต้องเล่าปูพื้นอะไรให้วุ่นวายบวกกับธีมหนังสยองขวัญที่มาพร้อมกับเรื่องราวของตัวแปรของหมอแปลกและตัวละครอื่นๆ ที่มาจากมิติเดียวกันและจากต่างมิติ หนังไทยมาใหม่
เรื่องราว
จากเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงของหมอแปลกหลังกลายเป็นจอมเวทใน ‘Doctor Strange’ (2016) และหลังเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อความผิดพลาดต่อมัลติเวิร์สใน‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) ในภาคนี้หมอแปลกจึงต้องกลับไปแก้ไขเรื่องราวต่างๆ นานาที่ส่งผลสะเทือนรุนแรงต่อมัลติเวิร์สเมื่อคุณหมอแปลก ‘ดร. สตีเฟน สเตรนจ์ / ดอกเตอร์สเตรนจ์’ (Benedict Cumberbatch) ต้องทรมานจากชีวิตรัก เมื่อ‘คริสติน พาลเมอร์’ (Rachel McAdams) กำลังจะแต่งงานใหม่กับใครบางคนที่ไม่ใช่เขา
แถมยังต้องทรมานซ้ำสองจากฝันร้ายในฝันเขาได้เข้าช่วยเหลือ ‘อเมริกา ชาเวซ’ (Xochitl Gomez) สาวน้อยผู้มีพลังในการทะลุผ่านมัลติเวิร์สที่กำลังถูกปีศาจจากต่างมิติไล่ดูดพลัง หมอแปลกพบว่า แท้ที่จริงแล้วทั้งหมดเป็นแผนของ‘วันด้า แมกซิมอฟฟ์ / สการ์เลต วิตช์’ (Elizabeth Olsen)ที่ต้องการดูดพลังของอเมริกา ชาเวซเพื่อใช้เดินทางไปพบกับลูกแฝดของเธอในอีกมิติ ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์
ทำให้ดอกเตอร์สเตรนจ์และอเมริกา ชาเวซ ทะลุไปยังลอนดอนที่อยู่ในมิติอื่นจนได้เจอกับตัวแปรของ ‘คาร์ล มอร์โด’ (Chiwetel Ejiofor) อดีตเพื่อนร่วมสำนักคาร์มาทาจ (Kamar-Taj) ที่ไม่น่าไว้วางใจ และตัวแปรของ ‘คริสติน พาลเมอร์’ที่ทำให้หมอแปลกหวั่นไหว ส่วน ‘หว่อง’ (Benedict Wong) จอมเวทสูงสุดก็ต้องรับหน้าที่ปราบแม่มดสการ์เลตวิตช์ที่ตอนนี้สามารถร่ายมนต์เพื่อสร้างความปั่นป่วนได้ในระดับมัลติเวิร์สเพราะเธอได้ครอบครองคัมภีร์ดาร์กโฮลด์ (Darkhold)คัมภีร์เวทมนตร์ด้านมืดที่มีความอันตรายอย่างมาก
doctor strange in the multiverse of madness สปอยหนัง
ถ้า ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) และแอนิเมชันซีรีส์ ‘What If…?’ (2021) เปรียบเหมือนการซ้อมรับมือกับมัลติเวิร์ส ใน Doctor Strange 2’ ก็คือการลงสนามจริงแบบเต็มตัวล่ะครับแถมยังเป็นการมาแบบเล่นใหญ่กันตั้งแต่เปิดเรื่องกันเลย เดินเรื่องแบบสายลุยไม่ต้องคุยให้เสียเวลารวมทั้งสไตล์การกำกับจากไรมีที่ทำให้การดำเนินเรื่องในภาคนี้มีรสชาติที่ค่อนข้างแตกต่างออกไปจากภาคแรกอยู่มากพอสมควร
ความแตกต่างที่ชัดเจนมากๆก็คือการที่Marvel Studiosเองเริ่มจะเอานโยบายเดินเรื่องยาวไม่เล่าปูมหลังย้อนความให้เสียเวลาผลก็คือตัวหนังสามารถกระชับเรื่องราวและเล่าแบบเร็วๆได้เลยด้วยเหตุนี้ก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้เดินเรื่องเร็วมากแต่ข้อเสียก็คือหนังเรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่ยังไม่ได้ทำการบ้านด้วยการดูเรื่องอื่นๆหรืออ่านคอมิกมาก่อนหรือแค่อยากลองชิมลางหนัง Marvel เฉยๆเพราะอาจมีเหวอจนตามไม่ทันว่าตัวละครแต่ละตัวมีปูมหลังเชื่อมโยงกันยังไงอะไรที่เราควรจะรู้สึกเซอร์ไพรส์ถ้าอยากดูจริงๆอย่างน้อยก็ต้องทำการบ้านมาในระดับหนึ่ง
รวมทั้งการเอาแซม ไรมี ผู้กำกับที่พอจะมีลายเซ็นชัดทั้งจังหวะสยองขวัญ มุกกวนๆ มุมกล้อง การตัดต่อการวางองค์ประกอบภาพแบบที่แฟนหนังคุ้นเคยนำเสนอด้วยกลิ่นอายหนังสยองขวัญคลาสสิกที่ได้อิทธิพลมาจากผลงานเก่าๆ ของเขาเอง ทั้งไตรภาค ‘Evil Dead’, ‘Drag Me to Hell’ (2009) บวกกลิ่นแฟนตาซีแบบ ‘Oz the Great and Powerful’ (2013) นิดหน่อย ผสมความกวนแบบไตรภาค ‘Spider-Man’ ทำให้โทนโดยรวมมีความเป็นหนังสยองขวัญแบบแซม ไรมีที่มีความฮา เพี้ยน ระห่ำแบบชนเพดานเรต PG-13 มากกว่าจะเป็นหนัง Marvel คลีนๆดูได้ทั้งครอบครัวในแบบที่เราคุ้นเคย
ด้วยส่วนผสมทั้งหมดที่ว่ามา ทำให้ผู้เขียนรู้สึกได้ว่า ถ้าในอดีต ‘Evil Dead’ เคยถูกจัดเป็นหนังคัลต์ยังไงหนังเรื่องนี้ก็คือการหยิบเอาวิธีการแบบหนังคัลต์คลาสสิกมาใช้นั่นแหละรวมทั้งพล็อตการดำเนินเรื่องแรงจูงใจของตัวละครที่มีความคัลต์อยู่ในตัวทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังฮีโร Marvel ที่แตกต่างด้วยกลิ่นอายของหนังสยองขวัญ และมีความเป็นหนังคัลต์ที่มีครบทั้งความบ้าคลั่ง เพี้ยน กวนเบื้องล่าง แบบที่แฟนหนังแซม ไรมี จะกรี๊ดแน่นอนคือคงสู้หนังสยองขวัญจริงๆไม่ได้หรอกแต่วิธีการนี้ก็ถือว่าโดนเส้นและไปด้วยกันกับเรื่องราวของหมอแปลกแห่ง Marvel ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
การดำเนินเรื่อง
การดำเนินเรื่องแม้ตัวหนังจะพยายามบิลต์ว่าเป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับมัลติเวิร์สแบบเต็มตัวตามชื่อภาคแต่ผู้เขียนก็แอบรู้สึกว่าการนำเสนอเกี่ยวกับมัลติเวิร์สก็ยังดูกั๊กๆไปหน่อยนะ ส่วนตัวบทก็ถือว่าเข้าใจง่ายเป็นเส้นตรงและเป็นสูตรสำเร็จอยู่พอสมควรยังดีที่ตัวหนังเองยังมีเซอร์ไพรส์ และวิธีการดำเนินเรื่องแบบคัลต์ๆสยองขวัญที่มีความดาร์กบ้า ฮา สยองมาช่วย ทำให้ตัวหนังที่ดูจะเดาง่ายและมีการกระทำบางอย่างของตัวละครที่ดูไม่เมกเซนส์ ยังมีความน่าสนใจอยู่ รวมถึงงานซีจีที่มีกลิ่นอายจากภาคที่แล้ว แต่เพิ่มเติมความแปลกใหม่เข้าไปโดยเฉพาะฉากทะลุมัลติเวิร์สและฉากร่ายมนต์ที่ตื่นตาและดีงามมากๆ doctor strange 2 เข้าฉายไทย
อีกจุดที่ผู้เขียนรู้สึกชอบก็คือ การที่บทพยายามสอดแทรกแก่นเกี่ยวกับชีวิตของคนที่อยู่ต่างมิติ ต่างจักรวาลซึ่งถือเป็น Conflict หลัก ๆ ของเรื่องเลย อย่างเช่นว่า บางครั้งตัวเราแม้อยู่ต่างมิติ ชีวิต ความคิด ความผิดพลาดก็อาจจะไม่ได้ต่างกันออกไปหรือบางครั้งชีวิตในอีกมิติของเราก็อาจจะไม่ได้ดีเด่กว่าตัวตนของเราที่อยู่ในปัจจุบันเท่าไหร่ หรือแม้แต่มุมมองของคนจากต่างมิติ ที่แม้ว่าจะเป็นคนคนเดียวกันแต่ถ้าอยู่ในต่างมิติ ก็ไม่ได้แปลว่าจะมีความรู้สึกนึกคิดแบบเดียวกันซึ่งตรงนี้บทสามารถแทรกเรื่องราวและเป็นบทสรุปของเรื่องได้โอเคเลย
doctor strange in the multiverse of madness สปอยหนัง
ในแง่ของการแสดง โดยเฉพาะนักแสดงหลักถือว่าอวยยศได้ทั้งทีมแบบไม่ขัดเขินเลยครับ ไล่ตั้งแต่ ‘เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์’ (Benedict Cumberbatch) ที่ยังคงเป็นหมอแปลกได้หล่อเท่ มีความกวน รวมทั้งสามารถรับบทตัวแปรแบบต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่งมาก คือเล่นได้แตกต่างกันแบบสุดขั้วจนแทบจะลืมไปว่าพี่เบนเขาเล่นเองนะเนี่ย รวมทั้ง ‘เบเนดิกต์ หว่อง’ (Benedict Wong) จอมเวทสูงสุดในภาคนี้ก็เท่และเก่งขึ้นเยอะมาก ๆ ส่วนน้อง ‘โซชิตล์ โกเมซ’ (Xochitl Gomez) ที่รับบทอเมริกา ชาเวซ ก็น่ารักมากๆ ขึ้นกล้องสุดๆ มีบทบาทในหนังเยอะด้วย บอกเลยว่า มีอนาคตใน MCU ต่อไปในภายภาคหน้าแน่นอน
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือวายร้ายหลักอย่างสกาเลต วิตช์ ที่รับบทโดย ‘อลิซาเบธ โอลเซน’ (Elizabeth Olsen) คือ MVP ของหนังเรื่องนี้เลยครับ เพราะบทบาทวันด้า แมกซิมอฟฟ์ ถือว่าเป็นบทที่มีความซับซ้อนอยู่พอตัวเลยแหละ เป็นแม่ที่รักลูกมาก ๆ จนพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อจะได้อยู่กับลูก แม้ว่ามันจะเป็นภัยร้ายต่อมัลติเวิร์สก็ตาม ซึ่งคุณเค้าสามารถรับบทนี้ได้อย่างเข้าถึง สานต่อและเติมเต็มเรื่องราวจากซีรีส์ ‘WandaVision’ (2021) ได้ดีมากๆ ชนิดที่ว่าจะรู้สึกโกรธ สกาเลต วิตช์ และเห็นใจ วันด้า แมกซิมอฟฟ์ ไปพร้อมกันได้ในเวลาเดียวเลยแหละ
สรุปโดยรวม
โดยสรุป แม้ dr.strange ภาค 2 อาจจะไม่ได้ Epic ฮือฮาน้ำตาไหลเซอร์ไพรส์จนร้องว้าวได้เท่ากับ ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) และความคัลต์สยองขวัญของหนังเรื่องนี้อาจไม่โดนเส้นไม่ถูกจริตสำหรับบางคน แต่ก็ยังถือว่าเป็นหนังที่สามารถร่ายมนต์เปิดประตูสู่มัลติเวิร์สด้วยวิธีการและรสชาติใหม่ๆ ที่ได้ทั้งเรื่องราวแบบฮีโร และจริตความคัลต์ที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง โหดสยอง และกวนเบื้องล่างตามแบบฉบับของแซม ไรมี ที่น่าจะทำให้แฟน ๆ MCU โดนเส้นไปกับความบ้าคลั่งนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นครับ