Tag Archives: ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022

รีวิว กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ

 

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง กวน มึน โฮ เป็นภาพยนตร์ไทยแนวโรแมนติก คอมเมดี้ สุดอิน ผลงานการกำกับของ บรรจง ปิสัญธนะกูล ภาพยนตร์ บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่ง และ หญิงสาวชาวไทย ที่ต่างคนก็ต่างไปเที่ยวประเทศเกาหลีคนเดียว ทั้งคู่  ความบังเอิญทำให้พวกเขาทั้งสองได้พบกัน

 

ทั้งสองจึงทำข้อตกลงที่จะไม่บอกชื่อแก่กัน เพื่อจะได้ออกเที่ยวเกาหลีด้วยกันอย่างสบายใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นักแสดงมากความสามารถมากมายมาร่วมแสดงไม่ว่าจะเป็นฉันทวิชช์ ธนะเสวี ที่มารับบทเป็น ด่าง (นามแฝง) ผู้ชายที่จะไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ ด้วยรองเท้าแตะ และเสื้อยืดย้วย ๆ เขาเป็นคนเดียวในกรุ๊ปทัวร์ที่ไม่มีครอบครัวหรือคนรักมาด้วย ด้วยความเหงาและเดี่ยวดายของเขานี่เองที่ทำเขาเมา จนไม่สามารถตื่นทันทัวร์ได้

รีวิว กวน มึน โฮ

เขาจึงถูกทิ้งไว้ที่โรงแรมคนเดียว คนต่อมาคือหนึ่งธิดา โสภณ มารับบทเป็น (เม) หญิงสาวที่แอบแฟนไปเที่ยวประเทศเกาหลีเพียงคนเดียว เพราะต้องการที่จะไปงานแต่งเพื่อน และตามรอยซีรี่ย์เกาหลีที่เธอชอบ และคนสุดท้ายที่จะมาแนะนำในวันนี้คือ วรัทยา นิลคูหา ที่มารับบทเป็น ก้อย อดีตแฟนเก่าของด่าง

ที่เคยทิ้งเขาไปเพราะเขาไม่ได้ให้ความมั่นคงแก่เธอ เธอกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับแฟนใหม่ จนเมื่อเธอได้รับจดหมายจากด่าง เธอจึงเดินทางมาประเทศเกาหลีเพื่อบอกเขาว่าคนที่เธออยากแต่งงานด้วยจริง ๆ คือเขา  โดยภาพยนตร์เรื่อง กวน มึน โฮ เป็นภาพยนตร์เมื่อปี 2553

รีวิว กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ เปิดเรื่องราวมาที่ หนุ่มคนหนึ่งที่เหมือนเพิ่งจะอกหักมา เลยตัดสินใจไปเที่ยวประเทศเกาหลีกับกรุ๊ปทัวร์ การไปเที่ยวครั้งนั้นของเขา เป็นการไปที่ชิวมาก ๆ เพราะเขาไม่มีสัมภาระใด ๆ มีแต่เสื้อผ้าชุดที่เขาใส่อยู่เพียงชุดเดียว และ เมื่อไปถึงเกาหลีความเหงา ก็ทำให้เขาดื่มเหล้าไปเยอะ จนไม่สามารถที่จะตื่นทันกรุ๊ปทัวร์ทัวร์ได้ เขาตกรถและถูกทิ้งไว้ที่โรงแรม แต่ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ เพราะเขาได้มาเจอกับสาวไทยคนหนึ่ง ที่ก็มาเที่ยวคนเดียวเช่นกัน

เขาจึงขอช่วยให้สาวไทยคนนั้นเป็นไกด์นำเที่ยวให้ สาวคนนั้นตกลง และก่อนจะไปเที่ยวกันพวกเขาก็ได้ทำข้อตกลงกันว่า ขณะที่อยู่ที่เกาหลี พวกเขาจะไม่บอกชื่อกันและกัน เพื่อจะได้เที่ยวกันอย่างเต็มที่ และไม่ต้องรู้สึกอะไรเมื่อต้องแยกจากกัน แล้วเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมได้ในซีรี่ย์เรื่อง กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ

กระแสหนังเกาหลีในบ้านเราดูยังไงยังไงก็ยังคงมาแรงอยู่ ล่าสุดค่ายหนังอย่าง จีทีเอช ก็เลยจับเอากระแสเกาหลีฟีเวอร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ กับหนังเรื่อง “กวน มึน โฮ” ที่ครั้งนี้นอกจากแนวหนังที่บอกว่ากวนแล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนแนวการกำกับของผู้ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

เรื่องย่อ รีวิว กวน มึน โฮ

กำกับหนังแนวสยองอย่าง “โต้ง-บรรจง” ให้หันมากำกับหนังแนวฮาผสมรักโรแมนติกเรื่องนี้อีกด้วย พร้อมกันนี้ก็ยังได้ “เต๋อ-ฉันทวิชช์” เข้าร่วมขบวนเขียนบท โดยเขียนส่งให้ตัวเองกลายเป็นพระเอกของเรื่องไปซะเลย ส่วนนางเอกมาดมึนๆ น่ะเหรอ เค้าได้

จากการประกวดโครงการ ลักส์ ปั้นดาว “หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ” แหม! แค่พูดมาคร่าวๆ หนังเรื่องนี้ช่างมีความหลากหลายเสียนี่กระไร ยัง..ยังไม่หมดแค่นี้ หนังเรื่อง กวน มึน โฮ เขายังมีที่มา หรือเค้าโครงเรื่องมาจากหนังสือของ “ทรงกลด บางยี่ขัน” เรื่อง “สองเงาในเกาหลี”

 

 

สองเงาในเกาหลี เป็นเรื่องจริงของชายไทยคนหนึ่งที่แบกเป้ไปเที่ยวเกาหลีโดยลำพัง แต่โชคชะตาก็ทำให้เขาพบกับผู้หญิงไทยคนหนึ่งซึ่งแบกเป้ไปเที่ยวเกาหลีตามลำพังเช่นกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร อาจจะไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าจนไม่อาจเรียกว่าเพื่อนได้ แต่ความรู้สึกดี ๆ ของทั้งสองคนที่มีให้กัน บางครั้งอาจทำให้เราเผลอเอาใจช่วยให้ทั้งคู่ได้เป็นมากกว่าแค่เพื่อนเดินทางธรรมดา ๆ ที่บังเอิญมาเจอกัน

และเมื่อ “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” จับเอา พระเอกมาดกวนอย่าง “เต๋อ-ฉันวิชช์” กับนางเอกสุดมึนอย่าง “หนูนา” มาปะทะกันในเรื่อง กวน มึน โฮ ในส่วนของพาร์ทเรื่องที่เน้นไปทางกวน ต้องบอกเลยว่า “กวน จัง แก” จริงๆ โดยเรื่องเปิดมาที่ เต๋อ ที่มี

 

อาการเมาสุดๆ ถูกกลุ่มก๊วนเพื่อนตัวดีขับรถพามาส่งที่สนามบิน เพื่อให้เต๋อบินไปเที่ยวเกาหลี แค่นี้อาจจะเห็นว่าก็ไม่เห็นกวนอะไรนี่ ภาพมาส่งความกวนก็ตอนที่เห็น เต๋อ ลากแตะ มารวมกลุ่มกับแก๊งค์ทัวร์เกาหลีนี่แหละ ได้ไป 1 กวน และในพาร์ทนี้เองที่ ผกก. ทำให้คนดูเห็นว่ามีสาวหน้ามึนคนหนึ่งกำลังเดินทางขึ้นเครื่องบินมุ่งตรงสู่เกาหลีเช่นเดียวกัน แต่ความกวนและมึนกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

เมื่อเครื่องบินแตะรันเวย์ประเทศเกาหลี เสียงจากแอร์โฮสเตจ แจ้งถึงอุณหภูมิของประเทศเกาหลีว่าอยู่ในช่วงหนาว (มาก) สำหรับคนไทย ให้เตรียมอุปกรณ์กันความหนาวให้พร้อมสรรพ แต่พระเอกของเรา ที่ไม่มีอะไรเลยจะทำยังไงล่ะ เพราะเพื่อนตัวดีมาส่งแต่ตัวจริงๆ ไม่มีสัมภาระติดตัวมาเลย เราคงไม่เฉลยน่ะนะ จุดเริ่มต้นการเดินทางของหนังที่แตกต่างจากหนังสือ เพราะในหนังสือจะบอกว่าทรงกลดมาเที่ยวด้วยตัวเอง แต่ในหนังเป็นการมากับคณะทัวร์

(ซึ่ง ผกก. ก็บอกแล้วว่ามีการปรับเปลี่ยน แค่ให้มีกลิ่นอายจากหนังสือเล็กๆ )เอาเป็นว่าหลังจากทั้งคู่มาเจอกัน ทั้ง “เต๋อ” และ “หนูนา” คน 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง มาเจอกัน ณ ที่อากาศหนาว ๆ สถานการณ์เป็นใจ การตกหลุมรักกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะมีใจให้กัน ความมัน ความฮา มันมีมาก่อนหน้านั้น

เพราะมุกที่เต๋อ เขียนใส่ หรือ เพิ่มเข้าไป ทำให้คนดูหัวเราะกันอย่างลืมตัวเลยทีเดียว อีกทั้งมุกต่างๆ ของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น มุก ช้างกูอยู่ไหน หรือ เบยองจุน (พระเอกในเรื่อง Winter Love Song) ที่กลายเป็นพระเอกสุดหล่อ และฮอตฮิตในบ้านเขาและบ้านเราไปแล้ว (แต่ไม่บอกหรอกนะว่าเป็นยังไง เพราะเดี๋ยวจะเสียอรรถรสสำหรับคนที่จะไปชม) ก็ทำได้ดี เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างไม่ขาดสาย น่าจะพูดได้ว่า “ฮา จริง คุณ” ได้เลย หนังฟรี  หนังใหม่

 

ความรู้สึกหลังดูจบ

ขอพูดถึงฉากที่ผมชอบและอะไรหลายๆอย่างที่ได้เห็นจากหนังเรื่องนี้หลังจากที่ได้มาดูอีกครั้งนะครับส่วนแรกเลยคือการที่ทั้งสองคน ได้เจอและพูดคุยกัน เหมือนลด ความอคติต่อกันลงไป  ตัวละครผู้ชายถูกเขียนบทสำหรับพูดกวนๆ คิดหรือพูดอะไร ที่ขัดกับคนอื่นไปหมด แต่ก็มีมุม ที่หวั่นไหวในเรื่องคือความรัก ไม่อาจเก็บเรื่องนี้ไปจากใจได้ และเขาก็หาคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่เสมอ ไม่ผิดแปลกอะไร ในเมื่อผู้ชายไม่พร้อมจะแต่งงาน อันนี้ก็ถือว่าเข้าใจได้นะ มันสามารถโดนทิ้งได้ตลอดเวลา โดยไม่มีใครนึกถึงระยะเวลาที่คบกัน งานแต่งผู้หญิงอยากมีช่วงเวลาแบบนั้น ซึ่งเราเห็นการแสดงของคุณเต๋อ ในฉากเพื่อนนางเอก มันชัดเจนว่าเขาเจ็บมากเพียงใด ส่วนตัวละครผู้หญิง การที่หลอกแฟนไม่ผิดอะไรหลอกแต่เรื่องแบบนี้ก็มีบางอย่างที่ไม่เข้าใจได้ในมุมผู้ชาย ผู้หญิงบางเรื่องหรืออย่างที่อยากไปคนเดียวไม่อยากอยู่กับแฟน ตัวละครของหนูนา ที่ปะทะกับแฟนคือจุดที่ชี้ให้เห็นว่า

ผู้ชายส่วนใหญ่ ยังคิดว่าตัวเอง เป็นใหญ่กว่าผู้หญิงตลอด การที่ตัวละคร ไม่ทำความรู้จักชื่อ ถือเป็นความคิด ที่แตกต่าง ไม่มีใครคิดว่า หนังจะทำแบบนี้ เพราะโดยปกติ คนเราจะรู้กันแบบระยะสั้นก็ต้องเรียกชื่อ เพื่อให้ความเคารพ ซึ่งกันและกัน แต่สิ่งนี้ทำให้มัน แตกต่างไปจากภาพยนต์ เรื่องอื่นๆ ความเหงา เรื่องอกหัก ก็เกิดเป็น ความต้องการที่อยากมีให้สักคน มาเข้าใจ

ถึงตัวหนัง จะมีตลกมาก แต่ก็ยังถือว่า เป็นหนังที่ดี เพราะเราไม่ได้ดูแค่เรื่องราว แต่ยังให้เห็นการสะท้อน ความคิด และ การทำความเข้าใจ ของตัวละคร แต่ในความเป็นจริง ก็คงจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้หลอกน่าจะอยู่แค่ในหนังเป็นหนังที่หลังดูจบคือ ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ น่าจะเล่นต่ออีกหน่อยนึง อย่างน้อยขอรู้ชื่อ พระเอกนางเอกก่อนได้มะ ทั้งเรื่องสรุปไม่มีใครรู้ชื่อนักแสดงนำเลย คือตอนจบกำลังจะบอกชื่อ หนังก็จบเลย มันค้างคามากเลยครับ นอกนั้นฉากอื่น ๆ คือดีหมดเลย

ยกเว้นแต่ตอนจบน่าจะเล่นไปให้สุดกว่านี้ จะดีมาก ปล. อยากให้มีภาคสอง แต่น่าจะฝันสลายเพราะหนังก็ฉายไปนานแล้ว อดเลย อาจจะค้างคานิดนึง แต่เดาว่าตอนจบมันต้องแฮปปี้แน่ ๆ เพราะพระเอก บอกรักผ่าน วิทยุพี่อ้อยพี่ฉอด ขนาดนั้น จนนางเอกร้องไห้ออกมาด้วยความซึ้งใจ

ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว น้องพี่ที่รัก

รีวิว น้องพี่ที่รัก

รีวิว น้องพี่ที่รัก

 

 

 

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของสตูดิโอ GDH

สำหรับเรื่องนี้ไม่ได้เน้นเป็นหนังรักโรแมนติกของคนรักแบบนั้นอ่ะแต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพี่น้องครอบครัวไรงี้มากกว่า ประมาณว่าน้องสาวเก่งและเป็นคนดีมาก แต่พี่ชายสินิสัยแย่มาก ทำอะไรก็ไม่เคยดีเลยทุกอย่างมันก็เลยเกิดการเปรียบเทียบกันกับสองพี่น้องคู่นี้
รีวิว น้องพี่ที่รัก
นักแสดงนำโดย คุณญาญ่า รับบทเป็น (น้อง)
ส่วนคุณซันนี่ รับบทเป็น (พี่)
และคุณนิชคุณ รับบทเป็น (ที่รัก)
ติส
เนื้อเรื่อง
เป็นเรื่องราวของ “ชัช” พี่ชายแสนห่วย กับ น้องสาวสุดเนี้ยบ ในเรื่องชัชไม่เคยทำหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดีให้น้องสาวได้เลย แต่ถ้าเวลามีคนมาจีบน้องสาวตัวเองนะ เขาจะเข้ามาทำตัวเป็นพี่ชายทันที ประมาณว่าหวงน้องสาว และชอบทำตัวกร่างไล่หนุ่ม ๆ ที่เข้ามาจีบน้องหนีหายไปหมด แต่วันหนึ่ง “เจน” ก็มีแฟนชื่อ “โมจิ” เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น เธอปิดบังเรื่องนี้กับพี่ชาย เพราะกลัวว่าพี่ชายของเธอจะทำความรักครั้งนี้พังเหมือนที่ผ่านมาอีกหน่ะสิ แต่สุดท้ายทัชพี่ชายของเธอ ก็รู้ความจริงจนได้ ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น เมื่อชัชไม่ยอมให้
รีวิว น้องพี่ที่รัก
ทั้งสองคบหากัน เขาจะหาวิธีทำลายความรักของเธอให้ได้  จนทำให้เธอกับพี่ชายต้องทะเลาะกันรุนแรงเพราะเรื่องนี้ และไหนจะเรื่องอื่นที่พี่ชายไม่เคยช่วยหรือทำอะไรให้มันดีขึ้นมาเลย เรียกได้ว่าสร้างความปวดหัวให้เธอแทบทุกเรื่อง จึงเกิดความอัดอั้นและทนไม่ไหวของ “เจน” ต้องเด็ดขาดกับพี่ชายจริง ๆ  เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นกับแฟน เพราะอยู่กับพี่ชายแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เมื่อต่างคนต่างอยู่ไกลกัน จึงเกิดความค้างคาของพี่น้องคู่นี้ ที่ไม่ได้พูดมันออกไป และเมื่อเวลาผ่านไปทำให้พี่ชายแสนห่วยกลับคิดได้ขึ้นมาในตอนที่น้องสาว
เดินทางไปต่างประเทศแล้ว

รีวิว น้องพี่ที่รัก

รีวิว น้องพี่ที่รัก

ฉากที่ประทับใจมากที่สุด
1. ฉากตอนจบ
ส่วนตัวชอบฉากสุดท้ายอ่ะ เหมือนประมาณว่า ฉากสุดท้ายที่ซันนี่ร้องไห้ เขาเหมือนได้ปลดปล่อยความเป็นห่วงน้องออกมา เพราะได้มาเห็นเจนมีชีวิตที่ดี โดยแค่เพียงมองหน้ากัน มันเหมือนแบบ ความเป็นพี่น้องกันอ่ะ รู้ ๆ กันอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไรเลยก็เข้าใจและรู้สึกถึงกัน ชัชไม่ต้องขอโทษเจนก็รู้สึกสื่อถึงได้ ว่าพี่ชายตัวเองมีความรู้สึกในใจยังไง อาจจะเคยทะเลาะกันแทบตาย แต่สุดท้ายแค่มองหน้ากันก็หายโกรธแล้ว เป็นฉากที่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริง ๆ
2. ฉากตกปลา
ฉากที่ชัชพยายามตกปลา เหมือนเป็นสัญลักษณ์จะบอกคนดูว่า ชัชพยายามที่จะหาปลากินเอง ชัชพยายามหาปลานานมากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปลา
ผลสุดท้ายชัชก็ทำไม่สำเร็จ กลับไปซื้อปลากิน
ประมาณว่า ถ้าชัชตกปลาได้จะเอาไปให้น้องสาวตัวเองที่งานแต่งรึปล่าวอ่ะ เหมือนว่าประชด ว่านี่ไง อย่างน้อยกูก็หาปลากินเองได้นะ 5555

ความรู้สึกหลังดูจบ

เป็นหนังที่ไม่ได้โรแมนติกเท่าไหร่นะ ออกแนวตลกคอมเมดี้มากกว่าในช่วงต้นเรื่องจนไปถึงกลางเรื่องเลย แล้วก็มีแบบดราม่าหนักมากช่วงท้ายเรื่อง  มันจะเน้นไปทางความรักของพี่น้องมากกว่านะในฉาก มีบางช่วงที่เรารู้สึกเหมือนมันยังอั้น ๆ อยู่ เหมือนว่าในฉากมีเด็กสาวออฟฟิศ เดียร์ เข้ามาได้รับบทบาทบ่อยหลายซีนเลย คอยมาช่วยพระเอก ในหลาย ๆ เรื่อง แต่จริง ๆ แล้ว เดียร์ นางก็แค่อยากมีพี่ชายเพราะนางก็ปูมาตลอดว่านางเป็นลูกคนเดียว ที่มาสนิทกับชัช เพราะเดียร์อยากมีพี่ชาย สายตาของเดียร์ที่มองชัชคือพี่ชายที่ดี  แต่พอชัชจะจูบเดียร์ เดียร์เลยผิดหวังที่ชัชไม่ได้รักเดียร์แบบน้องสาว
สุดท้ายตอนจบก็ไม่ได้คบหากัน กลายเป็นว่าใจรู้สึกไปคนละแบบ ทั้งที่เหมือนจะเลิฟซีนกันอยู่แล้วนะไรงี้ แอบจิ้นนิดนึงเลยเสียดาย เพราะรู้สึกว่าเหมือนคู่รัก ไม่รู้สึกถึงความรักของพี่น้องอ่ะ
อาจเป็นหนังที่ไม่ได้ชอบทุกซีน แต่เป็นหนังที่อยากชวนคนไปดูอ่ะ เพราะโดยรวมก็สนุกดีนะ มีฉากฮา ๆ เยอะเลย แต่ถ้าใครอยากดูแบบโรแมนติกมาก ๆ ผ่านก่อนเลย เรื่องนี้เน้นคอมเมดี้มากกว่า ซึ่งพี่ซันนี่ทำได้ดีอยู่แล้วในเรื่องของบทบาทแนวนี้เราจะเห็นกันบ่อย ไม่รู้พี่แกตีบทแตกตลอด หรือแกเล่นเป็นตัวเองนะ 555
ด้วยความเครดิตดีของค่ายหนังจีดีเอช เรื่องก่อนหน้าอย่าง พรจากฟ้า ,ฉลาดเกมส์โกง ,เพื่อน…ที่ระลึก ต่างก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี ทำให้ภาพยนตร์ของค่ายนี้ถูกคาดหวังเป็นอย่างมาก และ น้อง.พี่.ที่รัก (ในชื่อภาษาอังกฤษ Brother of the Year) ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชมผิดหวัง โดยได้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ กับ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ มาเล่นเป็นพี่น้องกัน กำกับโดย บอล วิทยา ทองอยู่ยง ผู้กำกับที่ดูจะมาทางคอมเมดี้ที่สุดในค่าย ในผลงานก่อนหน้าอย่าง เก๋า..เก๋า (2549) และ บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้) โดยในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแนวมาเล่าถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ไม่ถูกกัน โดยพี่ชายพยายามขัดขวางความรักของน้องสาว
หลายคนที่ได้ดูตัวอย่างของภาพยนตร์อาจจะรู้สึกถึงความเป็นคอมเมดี้ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วก็มีบ้าง แต่ในหนังเล่นเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้องได้ดีจนบางซีนเราถึงกับน้ำตาซึม จะเรียกได้ว่าทั้งพาร์ทตลก และ ซึ้ง ก็แบ่งสัดส่วนกันออกมาได้ดีและลงตัว
บทความนี้จะพยายามไม่พูดถึงเนื้อหาหลักของเรื่อง ดังนั้น ไม่มีสปอย หรือถ้าหากใครสนใจไป ดูหนังน้อง พี่ ที่รัก สักรอบก่อนอ่านบทความ ก็สามารถไปรับชมกันได้ที่เว็บไซต์ทรูไอดี (TrueID)
ภาพยนตร์ น้อง พี่ ที่รัก เล่นประเด็นความสัมพันธ์ที่คนในสังคมส่วนใหญ่เข้าถึงคือ ความเป็นพี่เป็นน้อง หนังสามารถสร้างความรู้สึกรีเรทกับตัวละครได้ดี เพราะถ้าหากใครที่มีพี่น้องอยู่ก็คงรู้ว่าไม่ได้รักกันดีตลอด มีทะเลาะ มีงอน แต่สุดท้ายก็ยังมีความห่วงใยต่อกันในสายเลือด และหนังเรื่องนี้ก็เล่นประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นจุดยากของหนัง เนื่องจากจำเป็นต้องเขียนบทภาพยนตร์ให้คนดูหนังอินไปกับเนื้อเรื่องได้หมด ไม่ว่าจะมีพี่น้องหรือไม่มี
ด้วยการแสดงของญาญ่าและซันนี่ ทำให้เราได้เห็นและเชื่อได้เลยว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูด การแสดงออก หรือการใช้สีหน้า ก็ทำออกมาได้น่ารักและเข้าถึงตัวละครมาก
ความท้าทายของการทำหนังพี่น้อง
อย่างที่เกริ่นไปว่า ความท้าทายของเรื่องนี้ คือการเล่าประเด็นพี่น้องที่ไม่เพียงแต่ต้องให้ผู้ชมเข้าถึง แต่ต้องนำเสนอให้น่าสนใจ และอยากติดตามต่อจนจบโดยไม่เบื่อ ซึ่งในหนังจริง ๆ ก็อาจจะมีช่วงที่เอื่อย ๆ บ้าง บางคนที่ไม่ชอบเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายก็อาจจะมีผิดหวัง เพราะหนังไม่ได้พาเรานั่งรถไฟเหาะแล้วมีจุดไคล์แม็กซ์ก่อนตกลงมา แต่เน้นสร้าง
บรรยากาศระหว่างการเดินทางเสียมากกว่า จากนั้นจึงค่อยจบด้วยหมัดฮุกหนัก ๆ ซึ่งด้วยสไตล์หนังแบบจีดีเอช การสอดแทรกมุก ประเด็นเล็ก ๆ หรือเส้นเรื่องของตัวละครย่อย ๆ ก็โยงกับเนื้อเรื่องหลัก ทำให้เพลิดเพลินได้ตลอดทั้งเรื่อง สนุกสนานคนละแบบกับหนังที่พยายามสร้างความตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา
ด้วยความที่หนังนำเสนอเรื่องราวของพี่น้องเพียงคู่เดียวบนจอภาพยนตร์ พยายามจะเล่นประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกบ้าน ประกอบกับบอกเล่าถึงลักษณะนิสัยพี่กับน้องอย่างสุดโต่งเกินไป (แต่ตัวหนังไม่สามารถทำได้สุดซักทาง) ทำให้เกิดความไม่เมคเซ้นส์หลาย ๆ อย่าง ทั้งบทและการกระทำของตัวละคร แต่มันก็เป็นส่วนเล็กน้อยที่เราสามารถมองข้ามไปได้
สรุปโดยรวม
น้อง พี่ ที่รัก (Brother of the Year) เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการสังคมไทยได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีจุดบกพร่องด้านบท การกระทำของตัวละคร และปมประเด็นต่าง ๆ ที่เล่นได้ไม่สุดเท่าไหร่ ใครที่คาดหวังจะมาดูมุกฮา ๆ อมยิ้มไปตลอด ก็อาจจะไม่สมหวังนัก (เพราะตัวอย่างก็ตัดหลอกได้เนียนมาก ๆ) แต่ก็ยังคงเป็นหนังฟีลกู๊ดที่
ดี มีทั้งความสนุกสนาน ความตลก ความรัก และความเศร้า เป็นอีกเรื่องที่ครบเครื่อง และควรหามาดูให้ได้สักครั้ง ‘เรียนเก่งให้เท่าน้องก่อนเถอะ’ นี่คือคำพูดที่ผมยังจำได้เมื่อครั้งทะเลาะกับพี่สาวสมัยประถม ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ที่พูดแบบนั้นเพราะอยากเอาชนะพี่ที่เรียนห่วยกว่า เรียกได้ว่าเราทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเป็นนักมวยคงมี Rematch จนนับไม่หวาดไม่ไหว
แล้วคุณเคยทะเลาะกับพี่หรือว่าน้องกันบ้างไหมครับ? ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องเคยกันมาบ้าง เพราะถ้าเปรียบว่าคู่รักคือลิ้นกับฟันที่ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง น้องกับพี่นี่ก็คงเป็นขอบประตูกับนิ้วเท้าเลยล่ะครับ เรียกได้ว่าพร้อมจะพุ่งชนกันได้ทุกเมื่อ
น้อง.พี่.ที่รัก เป็นหนังที่อธิบายว่าการทะเลาะกันเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ของพี่น้อง ที่เป็นเสมือนผงชูรสที่ถ้าใส่พอดีก็จะอร่อย แต่ถ้าใส่มากไปก็อันตรายกับสุขภาพ ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่หลังจากการทะเลาะแล้วคืนดีกัน เราจะได้เรียนรู้ที่จะ ‘ทำยังไงให้ไม่ทะเลาะกันอีก’ เสมอ
“ไอ้พี่ห่วย” ประโยคคลาสสิกที่ใช้อธิบายภาพของชายที่เกิดก่อนน้องได้อย่างชัดเจน และ พี่ชัช-แสดงนำโดย ซันนี่-สุวรรณเมธานนท์ เป็นภาพรวมของเหล่าพี่ชายห่วย ๆ ของสยามประเทศอย่างแท้จริง ผ้าไม่ซัก กับข้าวไม่ทำ จานชามไม่ล้าง พาสาวที่ไหนก็ไม่รู้มานอนบ้าน ทุกสิ่งอย่างของพฤติกรรมแย่ ๆ ที่พี่ชายห่วย ๆ พึงจะมี พี่ชัชฟาดเรียบ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

 

 รีวิวหนังใหม่ล่าสุด สำหรับแฟน ๆ ประจำของ GDH ที่คาดหวัง หนังอารมณ์ฟีลกู๊ด และ ความฟิน ความอิน จากค่ายนี้ หรือคนที่เคยประทับใจ ผลงานของ เต๋อ นวพล จาก “ฟรีแลนซ์…ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” แล้วคาดหวังความฮา ในหนังระดับนั้น ก็ต้องเตือนกันก่อนเลยว่า ห้ามคาดหวังความฟีลกู๊ด หรือความฮาใด ๆ ทั้งสิ้นเลย จากเรื่องนี้ จะเป็นยังไง…ไปอ่านรีวิวกัน
รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ซึ่งถ้าใครได้ชมตัวอย่างหนังกันมาแล้ว ก็พอจะคาดเดาอารมณ์ของ “ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” กันได้อยู่บ้างนะ ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 53 นาที ของหนัง แทบไม่มีเสียงหัวเราะให้ได้ยินเลย หรือถ้ามีสอง-สามมุก ก็เป็นหัวเราะแบบหึ ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเทียบกับฉากที่ตัวละครน้ำตาไหลพราก นี่อัดแน่นกันมาหลายฉากเลย ดราม่า สาระ มาเต็ม
จีน เป็นนักเรียนนอกจากสวีเดนที่กลับมาอยู่กับครอบครัว ที่มี “เจ” พี่ชาย และแม่ที่ยังอยู่บ้านเดิมที่เคยเป็นโรงเรียนสอนดนตรีและรับซ่อมเครื่องดนตรี ที่พ่อเป็นผู้ริเริ่มกิจการแล้วก็จากไปมีครอบครัวใหม่นานมากแล้ว จีนจึงตั้งใจจะรีโนเวตชั้นล่างของบ้านเป็นออฟฟิศ ซึ่งสเต็ปแรกก็คือการโละข้าวของต่าง ๆ ทิ้ง ข้าวของแต่ละอย่างที่จีนและเจ พบในกองของเก่าเก็บก็ล้วนแต่มีอดีต และหนึ่งในนั้นก็คือกล้องและ
รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ฟิล์มของเอ็ม อดีตแฟนของจีน ที่เธอเลิกกับเขาตอนที่ไปเรียนต่อสวีเดน จีนตัดสินใจเอากล้องไปคืนแต่ที่จริงนั้นเธอต้องการไปขอโทษเอ็ม เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดในใจที่เคยทิ้งเอ็มไปอย่างไม่มีเยื่อใย และนี่คือจุดเริ่มต้นที่จีนกลับไปมีบทบาทในความคิดตัดสินใจครั้งใหญ่ของเอ็ม

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ถ้ามองตามชื่อหนังและตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมา ก็จะสื่อให้เข้าใจว่านี่คือ “หนังรัก” ที่พูดถึงเยื่อใยต่อคนรักเก่า แต่เอาเข้าจริงแล้วเรื่องราวของเอ็มเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะ “ฮาวทูทิ้ง” ยังพูดถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวจีนอีกมากผ่าน “ของเก่า” ที่ทำหน้าที่ตัวแทนเรื่องราวในอดีตมากมาย ทั้งเรื่องของพ่อที่ทิ้งไป ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเพื่อนอีกหลาย ๆ คน แต่ละเรื่องก็ทำหน้าที่ประหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ต่อกันเป็น
ภาพที่เด่นชัดของจีน ให้เรารู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น ซึ่งจีนเองก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นเช่นกัน จากคำตอบโต้ของเอ็มและเพื่อนหลาย ๆ คน ที่ตำหนิเธอกลับมา ทำให้ “จีน” เป็นนางเอกหนังที่มีความเป็นปุถุชน
มากสุดคนหนึ่งบนจอหนังไทย ที่ไม่ได้มีความสมบูรณ์พร้อม มีจุดที่แข็งขณะเดียวกันก็มีจุดที่อ่อนไหวอีกมาก ที่ทำให้เธอไม่สามารถตัดขาดความทรงจำเก่า ๆ ไปได้อย่างที่ตัวเองพูด แล้วทำให้การจัดบ้านของเธอต้องพัวพันไปกับอีกหลาย ๆ ชีวิต
รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ถ้ามองว่า “ฟรีแลนซ์” เป็นหนังที่เต๋อ ปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าหาความเป็น GDH มากขึ้น แล้วก็ได้ผลตอบรับอย่างดี พอมาถึง “ฮาวทูทิ้ง” เต๋อ ก็ขอหันกลับไปเป็นตัวเองมากขึ้น เอาใจตลาดน้อยลง รอบนี้ไม่มีมุกฮา ไม่มีฉากกุ๊กกิ๊กระหว่างคู่พระนางให้คอยจิ้นเอาใจช่วย แม้กระทั่งรอยยิ้มของตัวละครยังแทบไม่เห็นเลย ก็เชื่อว่า GDH ก็คงไม่คาดหวังรายได้ระดับร้อยล้านหรอกนะ เพราะการที่ GDH ปล่อยหนังสองเรื่องติดกันแบบนี้ ก็มองเกมการตลาดมาเรียบร้อยแล้วล่ะ ไปหวังกำไรเอาจาก “ตุ๊ดซี่ส์” ส่วน “ฮาวทูทิ้ง” ก็ไปแนวหนังรางวัล ซึ่งตัวหนังเองใช้ นักแสดงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นนักแสดงโนเนม ก็ไม่น่าจะใช้ทุนสร้างมากมายนัก อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนแน่นอนล่ะ
เต๋อ นวพล กับทีมนักแสดงนำ
ซึ่งรอบนี้เต๋อก็ขอตามใจตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ในทุกแง่มุมการนำเสนอ ทั้งการนำเสนอภาพในฟอร์แมต 2:3 ที่มีภาพกระจุกอยู่ตรงกลางจอ พื้นที่ซ้ายขวาของจอปล่อยดำมืดไปเลย สีสันทั้งเรื่องจืดซีด ไม่มีสีฉูดฉาด แดง เหลือง เขียวให้เห็น เน้นหนักแต่ขาว เทา ดำ โดยเฉพาะตัวจีนนั้นเธอจะใส่เสื้อขาวกางเกงดำตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่าเต๋อต้องการปูอารมณ์หม่นซึมให้คนดูตั้งแต่นาทีแรกของหนังเลย ดนตรีประกอบของหนังก็แทบไม่ได้ยิน หลาย ๆ ฉากใช้เสียงเชลโลต่ำ ๆ “ตึ่ม ตึ่ม” เข้ามาประกอบฉากสนทนาแค่นั้น ทำให้ “ฮาวทูทิ้ง” เป็นหนังที่เดินหน้าไปแต่ละนาทีด้วยความรู้สึกที่ “หนัก” แล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ บนประเด็นที่ค่อนข้างเบา เพราะว่าด้วยปฏิบัติการทิ้งของเก่าของจีน ซึ่งผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่า “เอ็ม” จะโผล่เข้ามาในเรื่อง ก็เพิ่มประเด็นหนักหน่วงเข้ามาอีก เพราะจีนเข้าไปในฐานะคนเก่าของเอ็ม ในวันที่เอ็มใช้ชีวิตคู่กับมี่แล้ว

ความชอบส่วนตัว

ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องผ่าน “จีน” ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง แล้วแทรกประเด็นยิบย่อยรอบตัวจีนเข้ามา ทำให้หนังไม่สามารถลงลึกในแต่ละประเด็นได้ครบถ้วน บางประเด็นก็ถูกทิ้งค้างให้เป็นข้อสงสัย อย่างเรื่องการจากไปของพ่อ ความบาดหมางของจีนกับเพื่อนสาวที่เธอเอาดับเบิ้ลเบสไปคืน แต่เท่าที่เห็นนี่ก็นับว่าหนักพอดูแล้ว ที่เหลือก็เลยถูกทิ้งไว้เป็นที่ว่างในจินตนาการของคนดูให้เลือกเติมเต็มกันเอาเอง
ซันนี่ ในบท เอ็ม
คนที่ควรได้รับเสียงชื่นชมมากที่สุดใน “ฮาวทูทิ้ง” ก็คือ ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง ในบท “จีน” ที่เห็นได้ชัดถึงการก้าวกระโดดของฝีมือการแสดง เป็นบทที่น่าเครียดมาก ไม่มีฉากไหนที่จะดูสบาย ๆ เลย เพราะเต๋อก็เลือกเล่นยาก เพราะหลาย ๆ ฉากเต๋อก็เลือกที่จะให้นักแสดงสื่ออารมณ์ความรู้สึกผ่านสายตาและสีหน้ามากกว่าคำพูด ฉากดราม่าเยอะมาก มีทั้งที่ต้องระเบิดอารมณ์ใส่กัน และแบบที่ยืนจ้องหน้ากันเงียบ ๆ แต่ต้องสื่ออารมณ์ให้ถึงคนดูให้ได้ ซึ่งออกแบบก็เอาอยู่ในทุกฉาก แล้วเล่นแบบไม่ห่วงสวยเลย ซันนี่ ในบท”เอ็ม” ออกมาไม่กี่นาทีเลย มาในมาดขรึม ๆ พูดน้อย แต่รู้สึกขัดตากับเคราของเอ็มมาก ดูหรอมแหรมไงไม่รู้
ชอบการแคสติ้งที่ใส่ใจในการเลือกคนมาเล่นเป็นพ่อแม่พี่น้องที่ดูมีความละม้ายเป็นไปได้ กับการเลือก อาภาศิริ นิติพน มาเป็นแม่ของจีน และ ถิรวัฒน์ โงสว่าง รับบท เจย์ มาเป็นพี่ชายของจีน ทั้งสามคนมีโครงหน้าเหลี่ยม กรามชัดเจนมาก ดูแล้วเชื่อว่าเนี่ย “แม่ลูก” กัน อาภาศิริ โผล่มาแค่สองฉาก แต่ทั้งสองฉากที่เธอโผล่มานี่ จัดหนัก จัดเต็ม ได้อย่างน่าชื่นชม โชว์ศักดิ์ศรีนักแสดงรุ่นเก่า แม้หนังจะไม่มีฉากกิมมิคอย่าง “ไปค่ะ พี่สุชาติ” ให้ถูกพูดถึงอย่าง “ฟรีแลนซ์” แต่ฉากโชว์ฝีมือของอาภาศิริก็สมควรได้รับการจดจำจากเรื่องนี้
อาภาศิริ นิติพน หายจากหน้าจอไปนานมาก
ถิรวัฒน์ โงสว่าง และ ษริกา สารทศิลป์ศุภา ในบท “มี่” สองรายนี้ผมไม่คุ้นหน้ามาก่อน แต่ก็อยากชื่นชมว่าแสดงได้ดีมากดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องย้อนไปชื่นชมที่ตัวผู้กำกับ “เต๋อ” ที่รักษาลายเซ็นตรงนี้ไว้ได้ชัดเจน ผมมักจะทึ่งกับการถ่ายทอดการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติจากบรรดานักแสดงในหนังของเต๋อ บทสนทนา การแสดงออก ที่ไร้ซึ่งการประดิดประดอย ให้ความรู้สึกเหมือนได้ดูสารคดีชีวิตคนจริง ๆ ไม่เหมือนว่ากำลังดูหนังที่สื่อผ่านการแสดงอยู่เลย อีกเรื่องที่อยากพูดถึง คือการรีโนเวตบ้านที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราว ไม่ใช่แค่หยิบเรื่องการทิ้งของเก่า แล้ว Move On มาเป็นประเด็นตั้งต้นเฉย ๆ แต่รีโนเวตให้ดูจริง จากบ้านเก่า ๆ โทรม ๆ ทำออกมาแล้วสวย โล่ง สว่าง น่าอยู่จริง
สุดท้ายก็อยากจะชมเต๋ออีกในเรื่องการหยิบแง่มุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตมาขยายความได้น่าสนใจ อย่างเรื่องนี้ก็คือ “ของเก่า” ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมนุษย์เราทุกคน ที่หลายคนมักจะผูกพันแล้วเก็บรักษามันไว้ จะด้วยเหตุผลมากมายทั้งความเสียดาย เป็นตัวแทนความทรงจำดี ๆ แค่จุดเล็ก ๆ เนี่ย เต๋อสามารถหยิบแง่มุมต่าง ๆ ของ “ของเก่า” มาขยายได้มากมาย มันอาจจะเป็นของไร้ค่าสำหรับบางคน แต่ขณะเดียวกันกลับเป็นของมีค่าที่ประเมินค่าไม่ได้กับอีกคน หรือมองในอีกมุมที่จีนตีความว่าของเก่าเปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งชีวิต ถ้าปล่อยวางตัดทิ้งได้ ชีวิตก็จะ “Move On” ไปข้างหน้าได้ เช่นเดียวกับที่เธอทำกับเอ็ม ซึ่งการตัดทิ้ง หรือปล่อยวาง บางครั้งก็มีเส้นบาง ๆ คั่นไว้กับ “ความเห็นแก่ตัว” อย่างที่เพื่อน ๆ และเอ็มต่างก็ใช้คำนี้มาตำหนิจีน
การแสดงที่น่าจดจำของ ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง
อีกจุดที่ชอบคือการตีความ “คำขอโทษ” ที่เต๋อนิยามมันผ่านมุมมองที่แตกต่างไว้ในเรื่องนี้ ว่าบางครั้งการกล่าวคำขอโทษ ไม่ใช่เพื่อให้คนฟังรู้สึกดีแล้วยกโทษให้ แต่บางครั้งคำขอโทษก็ถูกใช้เพื่อประโยชน์ของผู้กล่าว ที่อยากจะใช้ “คำขอโทษ” เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิดของตัวเองซะ แล้วก้าวต่อไป เปรียบเหมือนกับการโยนความรู้สึก ความทรงจำ กลับไปที่คู่กรณีให้แบกรับมันเพียงลำพังต่อไป

รีวิว อ้ายคนหล่อลวง

รีวิว อ้ายคนหล่อลวง

รีวิว อ้ายคนหล่อลวง

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด หากจะมีหนังไทย สักเรื่องที่เข้าไปอยู่ในใจคนดู โดยเฉพาะ คนไทย บอกเลยว่า หนัง ภาพยนตร์ “อ้ายคนหล่อลวง” จากค่าย GDH อาจคว้าตำแหน่งนั้นได้ไม่ยาก อย่างแน่นอน เพราะเป็นหนังที่เหมาะ กับรสนิยมคนไทย อยู่หลายองค์ประกอบ เลยทีเดียว ทั้งพล็อตของเรื่อง ของความเป็นหนังปล้น
รีวิว อ้ายคนหล่อลวง
มุกตลกที่ใส่ไม่ยั้ง และ ความกุ๊กกิ๊กนิดหน่อย จนเขินตาม ฮ่าๆๆๆ เมื่อผสานกับเคมีของนักแสดงอย่าง ณเดชน์ และใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ยิ่งทำให้หนัง ภาพยนตร์ “อ้ายคนหล่อลวง” กลายเป็นหนังที่กลมกล่อมและดูได้อย่างบันเทิงไม่น้อย
หนัง ภาพยนตร์ “อ้ายคนหล่อลวง” เล่าเรื่องราวของอินา สาวอีสานพนักงานเล็กๆของบริษัทสินเชื่อ ที่ต้องการหลอกเงินคืนจากแฟนเก่าที่เด็กกว่า คือ เพชร (แบงค์ ธิติ) ผู้เอาไปทั้งหัวใจและเงินจำนวนกว่าห้าแสน ที่อินาต้องทำงานงกๆใช้หนี้อีกหลายปี โดยเธอร่วมมือกับทาวเวอร์ (ณเดชน์) นักต้มตุ๋นมืออาชีพ ในการวางแผนให้ ครูนงนุช (แหม่ม คัทลียา) แกล้งปลอมตัวเป็นเศรษฐินีไปล่อให้เพชรอยากจับมาปอกลอก โดยได้ความช่วยเหลือจาก โจร (เผือก พงศธร) นักตุ๋นรุ่นพี่ ที่มาปลอมเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งเพื่อให้แผนแนบเนียนมากขึ้น ในระหว่างดำเนินแผน ทาวเวอร์ และ อินา ก็ได้รู้สึกถึงสายใยบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป
รีวิว อ้ายคนหล่อลวง
หนัง อ้ายคนหล่อลวง : พล็อตตลกคอเมดี้ ยิงมุกไม่ยั้ง
ด้วยความที่หนัง ภาพยนตร์ “อ้ายคนหล่อลวง” เป็นหนังโรแมนติก คอเมดี้ อารมณ์ดี เราคาดหวังจาก GDH ได้เลยว่าหนังจะออกมาเป็นโทนที่เบาสมอง ผ่อนคลาย และทำให้คนดูได้หัวเราะออกมาดัง ๆ หลายฉาก ไม่ว่าจะเป็นมุกเกี่ยวกับความเป็นนักต้มตุ๋นที่ดูเนี้ยบตลอดของพระเอก ที่เมื่อเจอเหตุการณ์ให้ต้องซิ่งรถเฟอร์รารีก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก หรือมุกที่เล่นกับคำพูด ท่าทางตัวละคร หากจะยกให้ใครเป็นดาวตลกประจำเรื่องคงต้องยกให้ตัวละคร โจร ของเผือก พงศธร กับฉากแกล้งคุยโทรศัพท์ในตำนาน  และอีกคนคือ แซมซั่น (เต๋อ ฉันทวิชช์) กับมุกเกี่ยวกับร่างกาย ซึ่งแม้จะดูเกินไปหน่อยในหลายฉาก แต่ก็กลายเป็นภาพจำหนึ่งของหนัง

รีวิว อ้ายคนหล่อลวง

รีวิว อ้ายคนหล่อลวง

หนัง อ้ายคนหล่อลวง : โลกนี้ช่างโหดร้าย
ในหนัง ภาพยนตร์ “อ้ายคนหล่อลวง” อินา ตัวละครนางเอก จะต้องได้รับบททดสอบเกี่ยวกับการเชื่อใจคนซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเธอถูกแฟนเก่าอย่างเพชรหลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ เธอกลับเลือกที่จะเชื่อใจนักต้มตุ๋นอย่างทาวเวอร์  แต่อินาก็เป็นตัวละครที่โดนแล้วเข็ด เธอจึงสามารถซ้อนแผนของตัวเองได้อย่างแนบเนียน และทำให้จุดพลิกล็อคของหนังมีความน่าลุ้น น่าติดตาม ซึ่งหนังก็ทำมาได้อย่างลงตัวดีโดยคนดูไม่รู้สึกเอะใจ
ด้วยความที่เป็นหนังเกี่ยวกับการต้มตุ๋นหลอกลวง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิด หนังก็ไม่ได้เห็นด้วยไปกับทุกสิ่งที่ตัวละครทำทั้งหมด ซึ่งคนดูก็สามารถคิดได้เองว่าสิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกของหนัง แต่หากเป็นโลกแห่งความเป็นจริง คนดูย่อมจะต้องเข้าข้างเหยื่อมากกว่า หนังก็ได้ใส่ส่วนที่สอนในเรื่องนี้อยู่ในที และทำให้ชะตาชีวิตของทาวเวอร์ในตอนท้ายของหนังเปลี่ยนแปลงไป โดยที่เขาได้บางสิ่งเป็นการตอบแทนจากการเลือกเปลี่ยนชีวิตตนเองจากเส้นทางของนักต้มตุ๋น
หนัง อ้ายคนหล่อลวง : ซีนอารมณ์ดราม่านิด ๆ ให้ตนดูอินกับตัวละคร
หนัง ภาพยนตร์ “อ้ายคนหล่อลวง” ได้ใส่ซีนอารมณ์ปะทะกันระหว่างตัวละครเข้ามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นซีนระหว่างอินา กับเพชร ซึ่งมีความหลังฝังใจกันมานาน หรืออินา กับ
ทาวเวอร์ ในเรื่องการเชื่อใจซึ่งกันและกัน  และทำให้คนดูอินไปกับชะตากรรมของอินา และเอาใจช่วยลุ้นไปกับเธอ ต้องยอมรับว่าใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ซึ่งอยู่ในเกือบทุกฉากของหนัง สามารถแบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้  เมื่อประกบคู่กับนักแสดงซูเปอร์สตาร์อย่างณเดชน์ ยิ่งทำให้ออร่าของทั้งสองพวยพุ่ง จนเด่นออกมาจากตัวละครอื่น ๆ ในหนัง

ความรู้สึกส่วนตัว

 

จะว่าไป “อ้ายคนหล่อลวง” เป็นหนังที่ผมทั้งคาดหวังและก็ไม่คาดหวังในคราวเดียวกัน (เอ๊ะ…ยังไง) …ที่ว่าคาดหวังเพราะหนังปะยี่ห้อ GDH ที่อย่างน้อยๆ เราคงคาดหวังถึงมาตรฐานทั้งงานสร้าง โปรดักชัน งานด้านบทได้อยู่ไม่น้อย บวกกับทีมนักแสดงที่ขนมาระดับท๊อปฟอร์ม ทั้งณเดชน์ ใบเฟิร์น พี่แหม่ม คัทลียา แบงค์ ธิติ และดีเจเผือก …แต่
ทันทีที่เห็นตัวอย่างหนัง ทำไมผมกลับรู้สึกเฉยๆ ดูแล้วไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่รู้สึกสนุกกับมุก หรือ แก๊ก ที่ตัดมาในตัวอย่าง โดยเฉพาะมุกตลกสังขารในตอนท้ายที่มีเต๋อ ฉันทวิชช์มารับเชิญ …ทั้งๆ ที่การตัดตัวอย่าง ก็ตัดมาได้ดีนะตามมาตรฐานของค่าย …ความคาดหวังที่อยากดูมากเลยกลายเป็นความไม่คาดหวังทันที
แม้จะรู้สึกเฉยๆ มากกับตัวอย่างหนังที่เห็น แต่เนื้อหนังจริงกลับดูสนุกในระดับมาตรฐานของ GDH โดยเฉพาะส่วนของแผนการหลอกลวงต่างๆ ที่มีทั้งลูกล่อ ลูกชน มี twist หักมุม ตลบหลัง อันนี้ต้องยกเครดิตให้ทีมเขียนบทที่ยังคงทำหนังโจรกรรมแบบไทยๆ ที่ค่อนข้างแข็งแรง ดูสนุกอยู่ แม้จะมีกลิ่นไอและอดคิดถึงหนังตระกูล Ocean อยู่บ้างไม่น้อย
…แต่ “อ้ายคนหล่อลวง” ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าได้ใส่ใจกับบท คิดให้เยอะๆ  เราก็จะได้หนังโจรกรรมชั้นดีได้ไม่ยาก บวกกับการได้ทีมนักแสดงที่แข็งแรง เล่นได้เข้าขากัน เลยทำให้หนังเรื่องนี้เอาตัวรอดได้อย่างสบายๆ ตามมาตรฐานของค่าย
ในแง่ของความเป็นหนังโจรกรรม ต้มตุ๋น ผมยอมรับนะว่า “อ้ายคนหล่อลวง” ตอบโจทย์ได้ดีในจุดนี้ แต่ในแง่ของความเป็นหนังโรแมนติก คอมเมดี้ ที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าหนังหลักของหนัง ผมกลับรู้สึกว่าหนังพาผมไปไม่ถึงในจุดนั้น …ซึ่งเป็นปัญหาที่ผมพบในหนังของผู้กำกับเมษ ธราธรแทบทุกเรื่อง ทั้ง ATM เออรัก เออเร่อ ที่พาร์ทตลก พาร์ทตามสืบคนขโมยเงินจากตู้เอทีเอ็มกลับทำงานได้ดีกว่าพาร์ทโรแมนติกของพระเอก นางเอก หรือ ไอฟาย แต๊งกิ้ว เลิฟยู แม้ว่าพาร์ทโรแมนติกจะดูดีขึ้น แต่ความเป็นหนังตลกยังกลบ
อยู่ดี …หรือในงานอย่าง “อ้ายคนหล่อลวง” ยอมรับว่าผู้กำกับเมษ ได้พัฒนางานได้กลมกล่อมกว่างานเรื่องก่อนที่กำกับเดี่ยว (ยกเว้น บ้านฉันตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้ งานกำกับเรื่องแรกของผู้กำกับ ที่ทำคู่กับบอล วิทยา) โดยเฉพาะจังหวะการของลูกล่อ ลูกชนตามแบบหนังจารกรรมชั้นดี ผสานมุกตลกที่ยิงเข้าเป้าบ้าง ไม่เข้าเป้าบ้าง แต่โดยรวมๆ กลับดูเพลิดเพลิน และหัวเราะดังๆ ไปกับตัวหนังได้ในหลายๆ มุก (แต่มุกที่ไม่ชอบที่สุดยังคงเป็นทุกมุกที่เล่นกับสรีระ สังขาร ที่มีเต๋อ ฉันทวิชช์ รับเชิญ ไม่ใช่ว่าเต๋อเล่นไม่ดีนะ แต่ผมกลับไม่ตลกเลยสักมุกที่เล่นกับน้ำลายในหนัง)
หนังเดินเรื่องมาอย่างสนุก (สำหรับผม) แต่กลับพาไปไม่ถึงในมุมโรแมนติกในช่วงท้าย ที่เหมือนกับว่าจำเป็นต้องใส่มาเพื่อให้เห็นว่าพระเอก นางเอก ต้องรักกันนะ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดทั้งมวลของหนัง มันไม่มีตรงไหนเลยที่ปูเรื่องราวความสัมพันธ์ในเชิงโรแมนซ์ของคู่พระ นาง ว่าทั้งคู่ตกหลุมรักกันเลย อารมณ์ตรงนี้เลยพาไปไม่ถึง (สำหรับผม) ซึ่งดูเหมือนพาร์ทโรแมนติกกลับเป็นจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้ (รวมถึงเรื่องก่อนๆ ของผู้กำกับไปด้วย) …ไม่ใช่ว่าพระ นาง ทั้งณเดชน์ และ ใบเฟิร์น เล่นไม่ดี ตรงกันข้าม ทั้งคู่เล่นดีมาก ไม่ใช่ว่าทั้งคู่ไม่มีเคมีที่ดีต่อกัน ตรงกันข้าม เคมีทั้งคู่ดีมาก แต่จะด้วยบท หรือการกำกับ ที่ดันดึงเคมีความโรแมนติกของพระ นางออกมาได้ไม่ถึง มันเลยฉุดความรู้สึกทั้งหมดที่มีในหนัง แทนที่หนังจะดูดี กลมกล่อมกว่านี้ กลับมาสะดุดในจุดที่ควรจะเป็นจุดขายสำคัญของหนัง….นี่เสียดายมากๆ นะ หนังควรได้คะแนนเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ
“อ้ายคนหล่อลวง” ยังคงเป็นงานมาตรฐานที่ดีของ GDH อย่างน้อยมันก็ตอบโจทย์ความดูสนุก แม้ในพาร์ทโรแมนติกจะแห้งแล้ง จืดชืด และไปไม่ถึงฝั่งฝัน (ถ้าพาร์ทนี้ดีนะจะลงตัวกว่านี้เยอะเลย) …แต่วัดจากเสียงหัวเราะของผู้ชมในโรง เชื่อเลยว่าหนังคงได้ใจคนดูหลายๆ คนไปแล้ว ทันทีที่ดูหนังจบ ผมพูดกับตัวเอง “หนังได้เงินแน่ๆ” เชื่อสิ

รีวิว ร่างทรง

รีวิว ร่างทรง

รีวิว ร่างทรง

สวัสดีครับทุกคนวันนี้ก็อยู่กับ แบงค์ รีวิวหนังอีกแล้วนะครับ วันนี้เราจะมาคุย
เรื่องย่อ: เรื่องราวการสืบทอดทายาทร่างทรง ย่าบาหยัน ของครอบครัวหนึ่งในภาคอีสานของไทย เมื่อทายาทรุ่นปัจจุบันไม่อยากรับช่วงต่อแต่ก็ไม่อาจฝืนชะตาได้ นำมาสู่เรื่องราวเขย่าขวัญคนทั้งโลก!
รีวิว ร่างทรง
เรื่องเกริ่นขึ้นใน ปี 2018 ทีมงานสารคดีทำข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวร่างทรงในไทย และไปพบเจ้าของเรื่องอย่าง ป้านิ่ม (เอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา) ที่เป็นร่างทรง ‘ย่าบาหยัน’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นในจังหวัดเลย ที่น่าสนใจคือย่าบาหยันจะสืบทอดกันต่อเฉพาะลูกหลานที่เป็นผู้หญิงในตระกูลของป้านิ่มเท่านั้น โดยคนที่มีแนวโน้มรับต่อในปัจจุบันมากที่สุดคือ มิ้งค์ (ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร) ลูกของพี่สาวป้านิ่มนั่นเอง ทำให้ทีมสารคดีขออนุญาตมาถ่ายทำป้านิ่มและครอบครัวในปี 2019 จนได้มาเจอเรื่องราวต่าง ๆ และตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อของสารคดีจากเรื่องว่าร่างทรงคืออะไร มาเป็นเรื่องของการสืบทอดร่างทรงแทน
รีวิว ร่างทรง
เรื่องราวที่เราจะได้รับชมทั้งหมดในหนังเรื่อง “ร่างทรง” จึงมาจากสายตาของทีมงานสารคดีนี้ทั้งสิ้น
ร่างทรง
นี่คือการกลับมารับงานหนังสยองขวัญครั้งล่าสุดของ โต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับชั้นแนวหน้าในปัจจุบันของไทยจากทั้งผลงานปลุกกระแสผีไทยจาก “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” (2547) จนมาถึงสร้างประวัติศาสตร์หนังไทยพันล้านจากหนังสยองปนขำเรื่อง “พี่มากพระโขนง” (2556) ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเขาในทุกย่างก้าว
และการก้าวรอบนี้ก็เรียกว่าเป็นบันไดก้าวแรกสู่ระดับนานาชาติของบรรจงอย่างแท้จริง เพราะเขาได้รับการทาบทามให้ร่วมงานกับผู้กำกับเกาหลีชื่อดังระดับเวทีนานาชาติอย่าง นาฮงจิน ที่เคยมีผลงานแนวสยองขวัญเรื่อง “The Wailing” (2016) ที่ได้รสชาติสยองชวนคิดที่น่าสนใจ และหนังเรื่อง “ร่างทรง” ก็ไปคว้าอันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของเกาหลีมาได้ด้วยอย่างงดงามเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พร้อมคำชื่นชมในดีกรีความโหดขนหัวลุกของหนัง แน่นอนว่านี่คือความภูมิใจของคนไทยอย่างแท้จริงแล้ว โดยไม่ต้องสนใจว่าหนังจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว ร่างทรง

รีวิว ร่างทรง

ถ้าจะนับว่าอะไรที่ นาฮงจิน ส่งผลด้านดีต่อหนังนอกไปจากโครงเรื่องตั้งต้นที่เดิมเขาตั้งใจไว้ทำ “The Wailing” ภาค 2 นั่นก็คือ แนวทางการสร้างฉากและบรรยากาศของหนัง ที่กลิ่นฝนชื้นในชนบทดูเยือกเย็น ชวนเร้นลับ และภาพแปลกตาของพิธีกรรมความเชื่อที่แฝงอยู่ในชีวิตของคนได้อย่างน่าทึ่ง ฉากหลังเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ขาดไปรับรองหนังมีกร่อยลงแน่ ๆ
และต้องบอกว่าดีไซน์ของทีมงานคนไทยไม่ใช่ย่อย ๆ เลย ไม่ว่าจะฉากหุบผาที่สถิตของรูปปั้นย่าบาหยัน รวมถึงตึกร้างที่รากไม้ชอนไชเป็นทรวดทรงน่าขนลุก นี่คือ 2 ฉากเด่น ที่แค่เห็นไม่ต้องเอาดนตรีหรืออะไรเข้าช่วยก็ชวนขนลุกแล้ว พอประกอบกับดนตรีที่สร้างอารมณ์ร่วมมาก ๆ และการแสดงแบบเหมือนประทับร่างของนักแสดงสายฝีมือล้วน ๆ ทั้งตัวหลัก ตัวรอง ตัวประกอบ (เนี้ยบยันตัวประกอบนี่สำหรับหนังไทยคือคุณภาพสูงมาก) และบทหนังที่ปั่นหัวคนดูไปมา มันจึงเป็นหนังที่มีพลังสูงมาก ต้องปรบมือในการเลือกใช้นักแสดงที่เอาชื่อชั้นฝีมือเข้าว่าจริง ๆ
ครึ่งหลังของหนังเพียว ๆ จัดได้ว่า ตึงเครียด ปั่นประสาท ขนหัวลุก น่ากลัวมาก ๆ บางช่วงทำเอาคลื่นไส้มวนท้อง อาจเพราะความมืดของโรง การเคลื่อนภาพที่สมจริงสั่นไหวเหมือนอยู่ในสถานการณ์ ดนตรีที่โหมกระหน่ำ การตัดต่อที่ฉับไว ต้องยกความดีครึ่งหนึ่งให้กับการชมในโรงภาพยนตร์จริง ๆ ถ้าจอเล็กกว่านี้ มืดน้อยกว่านี้ ดนตรีไม่ดังอย่างนี้ มันคงไม่ได้ผลตามที่คนทำหนังต้องการนัก แล้วเรื่องไล่ระดับอารมณ์ได้ดีไม่มีหย่อนแบบอัดแล้วอัดเล่าใส่หัวใจคนดูตลอดครึ่งเรื่องหลัง จนอยากปรบมือให้ดัง ๆ
อีกความน่าชื่นชมของหนังคือความรุนแรงของเรื่องที่กล้าท้าทายข้อห้ามจารีตสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างน่าชื่นชมในความฉลาดไม่โฉ่งฉ่าง คงเล่าไม่ได้ว่าทาบูที่โดนขยี้ย่ำนั่นเป็นอะไรบ้าง แต่เห็นความจงใจลองของตรงนี้ชัดเจน ถ้าฝีมือการเล่าด้อยกว่านี้ รับรองไม่ผ่านหน่วยงานหั่น-แบนของไทยแน่นอน (และชื่อ GDH ก็อาจเป็นเกราะช่วยประมาณหนึ่ง) และที่สำคัญอาจกลายเป็นหนังไร้รสนิยมไปได้ง่าย ๆ ทีเดียวกับการเล่นของโสมมทั้งทางสายตาและทางจิตใจแบบนี้ ขอปรบมือดัง ๆ ให้อีกรอบ
บุญส่ง นาคภู่ เป็นอีกหนึ่งคนเบื้องหลังที่มาทำเบื้องหน้าได้สุดติ่ง ละสายตาจากเขาเวลาอยู่บนจอไม่ได้จริง ๆ
อีกส่วนที่ก้ำกึ่งว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ส่วนตัวชอบกว่าครึ่งหลังเพียว ๆ เสียอีก คือการหย่อนรายละเอียดในชีวิตของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ทั้งเรื่องที่พี่น้องไม่เต็มใจเป็นร่างทรง จนถึงขั้นมีความพยายามหนีปัญหาด้วยวิธีที่ผิด ๆ หรือการหนีไปพึ่งพระเจ้าอีกศาสนา อะไรพวกนี้น่าสนใจมาก ๆ ถ้าเป็นหนังสารคดีจริง ๆ เราคงเห็นแง่มุมพวกนี้ประเทืองปัญญาเราได้อีกมาก แต่เมื่อมันอยู่ในหนังสยองมันเลยมีที่ทางได้จำกัด และทำให้ครึ่งแรกของหนังคาบลูกคาบดอกระหว่างความน่าสนใจกับความน่าเบื่อ เพราะมันประดิษฐ์เล่าผ่านการให้สัมภาษณ์ตัวละครต่าง ๆ อยู่มาก บทสนทนาเองก็ค่อนข้างเยอะเพื่อปูภูมิหลังและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังในช่วงที่ภาพยังเล่าเรื่องลึกซึ้งด้วยตนเองลำบาก
และการตัดต่อ อาจรวมถึงการเล่าเรื่อง แม้จะทำได้ดีมาตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็เห็นความแปลกอยู่บ้างเหมือนกันเช่น ความพยายามหลอกให้หลงทางแต่หลงไม่สุด เพราะแอบหยอดอยู่ว่าไม่ใช่นะ ทำให้พอเฉลยก็ไม่ได้รู้สึกว้าวนัก ซึ่งมีการตัดต่อที่ดูลำดับแปลก ๆ อยู่เช่นกัน จากที่ปกติควรให้คนดูตะลึงว่าเข้าใจผิด แล้วค่อยไปดูผลอีกด้าน กลับเลือกไปให้ดูผลอีกด้านที่ทำให้คนเดาออกทันทีก่อนที่จะไปตกใจกับการเฉลยหนังฟรี  หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัวหลังดูจบ

อย่างที่กล่าวไปว่าหนังมีจุดแข็งดี ๆ มากเลยทีเดียว แต่โชคร้ายที่หนังมีเนื้องอกของมันเองอยู่
ไม่แน่ใจว่าวิธีการนำเสนอที่มาลงปลงใจกับแนวทางสารคดีนี้ใครเป็นคนต้นคิดหรือชี้ขาด ข้อดีของมันแน่ ๆ คือการสร้างสภาวะสมจริงด้วยรูปแบบที่คนคุ้นชินว่ากำลังดูความจริง ทั้งเคลื่อนกล้องถือถ่าย มีเสียงทีมงานถามคำถาม การเข้าไปปรากฏกายของทีมงานเป็นระยะ เพื่อให้ดูเรียล แต่กระนั้นก็ยังมีคำถามว่าด้วยตัวเนื้อหาและสิ่งดี ๆ มากมายที่หนังมีอยู่แล้วจำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้แนวทางสารคดีปลอมมานำเสนอ เพราะสิ่งที่ถูกทำลายแน่ ๆ คือการจดจ้องแช่ภาพหรือเน้นความสวยงามความขลังของฉากที่ถูกคิดมาอย่างดี และคนดูเองก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกถูกถีบออกมาระหว่างเคลิบเคลิ้มใหลลงในหนังทันที เมื่อตระหนักได้ว่านี่มีทีมงานปลอม ๆ อยู่และทั้งหมดคือหนังสารคดีปลอม
ในช่วงแรกยังคงรู้สึกแค่ว่าวิธีการสารคดีนี้มันเป็นเนื้องอกของหนัง คือเกินจำเป็น แต่ก็ยังประคองตัวอยู่ไปได้เรื่อย ๆ จนสถานการณ์มันเดินหน้ารุนแรงขึ้น ตัวละครเริ่มอาละวาดมากขึ้น เนื้องอกนี้ก็เริ่มกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้ายไปในที่สุด
ในช่วงแรกสารคดีปลอมทำหน้าที่แค่ตามถ่ายมีคำถามบ้างแต่ก็ยังเห็นความพยายามไม่เข้าร่วมกับตัวเจ้าเรื่อง ใช้การสื่อสารกับคนดูผ่านทางข้อความบนพื้นสีดำเป็นระยะ ที่ว่ามันก็เป็นเพียงเนื้องอก จนกระทั่งเมื่อทีมงานถ่ายติดยายตาบอดในงานศพแล้วไม่มีคำถามใด ๆ ว่านั่นคนหรือผี ไม่มีแม้ความตกใจกับฟุตล้ำค่าที่ตนเพิ่งถ่ายได้ เราจึงเริ่มตั้งคำถามกับทีมงานสารคดีในเรื่องว่า ตรงนั้นเป็นคนจริง ๆ อยู่ไหม? และเมื่อตัวละครมิ้งค์เริ่มอาละวาดใส่คนรอบข้าง ตากล้องที่ตามถ่ายใกล้มิ้งค์ที่สุดกลับกลายเป็นสุญญากาศที่มิ้งค์ข้ามผ่านไปเฉย ๆ ทั้งที่ถ้าเราเป็นมิ้งค์อยากอาละวาดใส่อะไรใส่อย่าง ตากล้องที่มาตามถ่ายตลอดเวลานี่ล่ะน่าจะโดนก่อนเพื่อน
ตอนนี้เนื้องอกเริ่มไปดันอวัยวะรอบ ๆ ให้ทำงานผิดปกติให้เห็นแล้ว และเริ่มชัดขึ้นไปอีกเมื่อมิ้งค์มีอาการป่วยในที่ทำงาน แต่นอกจากกล้องกลับไม่มีใครเลยทั้งเพื่อนร่วมงาน พี่น้อง เจ้านาย ที่จะตามไปดู สำหรับคนที่ทำงานอยู่ในชีวิตจริงคงรู้สึกประหลาดกับจักรวาลในหนัง ยิ่งการที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐเอาหลักฐานฉาวโฉ่ในที่ทำงานตัวเองมาให้คนนอกอย่างทีมงานสารคดีดูหมดเปลือกให้เสี่ยงต่อความเสื่อมเสียออกไปอีก เรายิ่งรู้สึกว่า เมืองเลยในหนัง น่าจะเป็นจังหวัดอีกมิติคู่ขนานกับเมืองเลยในไทยที่เรารู้จักแล้วล่ะ
พอเบียดบังอวัยวะอื่นจนทำงานผิดเพี้ยน ในที่สุดเนื้องอกก็เผยตัวว่า ตูนี่ล่ะคือเนื้อร้ายในที่สุด เมื่อสถานการณ์ในหนังตึงเครียดถึงขีดสุด เรารู้สึกชัดเจนแล้วว่ากล้องสารคดีไม่มีคนอยู่ข้างหลัง ทีมงานที่เราเห็นถูกถ่ายติดเข้ามาบ้างนั่นก็ไม่ใช่คนที่มีชีวิตจิตใจ ไอ้เรื่องความไม่เมตตา ไม่เข้าช่วยเหลือคนตรงหน้า อันนี้พอแถได้ว่าพวกเขายึดถือหลักการของสารคดีแบบไม่มีส่วนร่วมอย่างเหนียวแน่น แต่ถึงขนาดไม่มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดนั้นไม่น่าจะใช่แล้ว หลายครั้งที่สถานการณ์จวนเจียนเป็นหรือตายที่ถ้าเป็นคนปกติต้องตัดสินใจหนีทั้งกล้องไปแล้ว แต่พวกทีมงานสารคดีในหนังกลับยังอยู่แบบงง ๆ และหลายครั้งที่มันจวนตัวถ้าเป็นเราคงเลือกหยิบอาวุธใกล้มือมาปัดป้องภัยตรงหน้า แต่พวกเขาเลือกหยิบกล้องมาถ่ายตัวเองที่กำลังมีอันตรายเสียแทน นั่นดูไม่น่าใช่คนในชีวิตจริงที่เราจะเชื่อได้
และหนักสุดก็คือเมื่อเรื่องราวมันไปสู่บทสรุป มันจะเกิดคำถามว่า เมื่อมันไม่ใช่หนังแนว Found Footage ที่มักมีคำอธิบายมาก่อนในต้นเรื่อง แล้วหนังเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ? ไอ้ข้อความที่สื่อสารกับผู้ชมบนพื้นดำมาตลอดเรื่องคืออะไร?
นี่เป็นบาดแผลใหญ่ที่ผู้สร้าง “ร่างทรง” ละเลยไปแบบไม่น่าเชื่อ ทั้งที่คิดใส่รายละเอียดในตัวละครไว้อย่างดิบดีน่าสนใจ เลือกนักแสดงมาถ่ายทอดอารมณ์ได้ถึงพริกถึงขิง แต่ตัวละครที่อยู่กับผู้ชมตลอดเรื่องอย่างทีมงานสารคดี ผู้สร้างกลับลืมใส่ความเป็นมนุษย์ลงไป ที่เจ็บปวดที่สุดคือตัวละครหลังกล้องสารคดีพวกนี้นี่ล่ะที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องแทนสายตาผู้ชมตลอดเรื่อง หนังที่ออกแบบคิดงานมาอย่างดีเสียเวลาสร้างไปหลายปีเพื่อให้คนอินให้คนดำดิ่งแยกความจริงกับเรื่องสมมติออกได้ยาก จึงพังลงด้วยความไม่น่าเชื่อของตัวแทนการเล่าเรื่องที่ว่ามานี้เอง
น่าเสียดายนะครับ
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่คงต้องชื่นชมในหนังเรื่องนี้ ก็คงจะเป็นงานออกแบบศิลป์ในฉากต่างๆ พิธีกรรมที่จัดฉากขึ้นมาดูมีมนต์ขลังในแบบที่ไม่ต้องพยายาม ทีมงานทำการบ้านในเรื่องนี้ค่อนข้างน่าพอใจ ยิ่งมาผนวกกับบรรยากาศโลเคชั่นป่าฝนริมโขง แถวพื้นที่ จ.เลย และภาคอีสานตอนบน ยิ่งเพิ่มโทนบรรยากาศของหนังให้ดูมีความเลื่อมใสอยู่ไม่น้อย
เอาเป็นว่าในภาพรวมนั้น ร่างทรง ยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบใดๆ การใช้สูตร Mockumentary ของหนังเกือบจะล้มเหลว ในขณะที่บทหนังก็ดูยังไม่แข็งแรงเพียงพอ หนังพยายามบิ้วท์ความกลัวและความสยองขวัญมากเกินไป เปิดเรื่องมาด้วย ประเด็น ที่ชัดเจน และ น่าสนใจ แต่ดันเบนเข็มไปแตะต้องสูตรสำเร็จความน่ากลัวแบบเดิมๆ ที่ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกบันเทิงตามด้วยสักเท่าไหร่ จากการเปิดตัวร่างทรงแบบสวยๆ มาปิดท้ายกลายเป็นงานคนทรงที่เละเทะข้าวของกระจัดกระจายเต็มไปหมด และโดยสรุปแล้ว…ความสะพรึงของหนังก็ยังไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้น

รีวิว อีเรียมซิ่ง

รีวิว อีเรียมซิ่ง

รีวิว อีเรียมซิ่ง

 

 

รีวิวหนังไทย ความจริงชื่อของ อีเรียมซิ่ง ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในโปรแกรมมาตั้งแต่ต้นปี 2020 แล้ว ล่ะนะ ทุกคน และนี่น่าจะเป็นหนังไทย ตกค้าง มาจากช่วง การระบาด ของเชื้อไวรัส โควิด19 เมื่อตอนต้นปี ที่อยู่ในการรับรู้ ของคนไทย มากที่สุดแล้ว รวมถึงแอดด้วย ฮ่าๆๆ
รีวิว อีเรียมซิ่ง
และหลังจากที่เลื่อนไปมาจนลงตัวในที่สุดเราก็จะได้เห็นเบลล่า ราณี แคมเปน ในมาดอีเรียมวีรสตรีแห่งบางน้ำกร่อยกันแล้ว
เมื่อโจรปากแดงสุดโฉดออกล่าพรหมจรรย์สาว ๆ เพื่อความเป็นอมตะ และจุดหมายของมันคือ อีเรียม (ราณี แคมเปน) สาวแสบแห่งบางน้ำกร่อยที่ต้องรวบรวมความกล้าและของดีของหลวงพ่อไปช่วยแม่และแรม (ณปภา ตันตระกูล) พี่สาวกุลสตรีแสนเรียบร้อยของนาง แต่งานนี้อีเรียมไม่ได้สู้เพียงลำพังเพราะยังมีพรรคพวกสุดแสบทั้งฟักทอง (เดียร์ริส สุภัทรภณ กสิกรรม) เพื่อนกะเทยร่วมเรือน, ศรฆ้อนมหากาฬ (น้าค่อม ชวนชื่น), โตโล่บิน (โรเบิร์ต สายควัน) และ หมอ (บอล เชิญยิ้ม) หมอยาสมุนไพรวิเศษ งานนี้อเวนเจอร์แห่งบ้านบางน้ำกร่อยจะช่วยครอบครัวจากโจรร้ายได้หรือไม่
สิ่งที่ทำให้คนดูสนใจในตัวหนังอย่าง อีเรียมซิ่ง คงหนีไม่พ้นบรรดามุกกาว ๆ สไตล์หนังผจญภัยตลกและการได้เห็นเบลล่า ราณีมาทำหน้าเป็นและเล่นมุกสไตล์ตลกคาเฟ่พร้อมเสริมทัพด้วยบรรดานักแสดงตลกขาประจำทั้งน้าค่อม คุณโรเบิร์ต สายควันและคุณบอล เชิญยิ้มที่เห็นหน้าก็การันตีได้เลยว่าหนังต้องสนุกสนานและสร้างเสียงหัวเราะได้แน่นอน แต่ผิดคาดเราไม่แน่ใจว่าด้วยความที่หนังออกฉายช้าหรือตัวหน้งจริงมีปัญหาการถ่ายทำอะไรหรือเปล่าถึงทำให้มันออกมาเป็นต้มยำที่ไม่จี๊ดจ๊าดและดูจืดชืดเกินไปหน่อย
รีวิว อีเรียมซิ่ง
ปัญหาแรกต้องยอมรับเลยว่าตัวบทหนังดูจะยังไม่สามารถทำให้เรารักอีเรียมได้มากพอจะเอาใจช่วยนางเท่าไหร่นัก คือจากตัวอย่างเราเห็นเรียมเปิ่นฮาและก๋ากั่นยังไงตัวหนังจริงก็ไม่ได้ให้อะไรเรามากกกว่านั้นสักเท่าไหร่ และยิ่งการให้เบลลาเล่นมุกตลกแบบรวมฮิตทั้งมุก “ท่านเกียรติผู้มีแขก” มุกปักตะไคร้ หรือบรรดามุกสังขารต่าง ๆ ก็ทำให้เบลลาดูเป็นหุ่นยนต์ก๊อปปี้มุกตลกมากกว่าจะสร้างเสน่ห์ให้เธอเหมือนอย่างบทแม่การะเกดในบุพเพสันนิวาส แม้ว่าต้องยอมรับว่าเธอก็เล่นตลกแบบไม่ห่วงสวยจนสร้างความครื้นเครงให้หนังได้อยู่บ้างก็ตาม
ส่วนปัญหาต่อมาแม้ว่าหนังจะมีคอนเซ็ปต์การเป็นหนังผจญภัยสไตล์นิยายเพชรพระอุมาที่มีทั้งจระเข้ยักษ์ งูเห่าเพลิง มีคาถาอาคมแต่ด้วยคุณภาพงานสร้าง CG ต่าง ๆ ที่ทำได้ไม่ถึงพอมันอยู่ในหนังก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นอะไรนักและด้วยจังหวะหนังที่เหมือนถูกบังคับท่าไม้ตายให้เป็นหนังตลกหรือเปล่าก็ไม่ทราบมันเลยถูกนำเสนอแบบขอไปที แถมยังต้องเจียดเวลาของหนังมาให้น้าค่อม โรเบิร์ตสายควันและบอล เชิญยิ้ม ได้เล่นมุกสังขารปากบวมตัวบวมอะไรอีก จนฉากผจญภัยที่ควรสร้างความตื่นเต้นหมดพลังไปอย่างน่าเสียดาย

รีวิว อีเรียมซิ่ง

รีวิว อีเรียมซิ่ง

แต่กระนั้นตัวหนังก็ยังมีจุดที่ทำให้เราได้สนุกไปกับมันอยู่บ้างโดยเฉพาะการมีอยู่ของแพท ณปภา ตันตระกูล ที่สามารถฉายเสน่ห์ในมุกโดนวางยาว่านราคะที่ทั้งเซ็กซี่และฮาสุด ๆ รวมไปถึงมุกบีตบ็อกซ์ที่ต้องยอมรับเลยว่าขโมยซีนเบลลาเห็น ๆ แถมการปรากฎโฉมของแพทในชุดเกาะอกแบบไทย ๆ ยังน่าจะได้ใจหนุ่ม ๆ ได้ไม่ยากเลยทีเดียว
และอีกส่วนที่ดีงามมากของหนัง อีเรียมซิ่ง คือคอนเซ็ปต์ของการแอบหยอกหนังนอกทั้งดนตรีประกอบฉากที่อีเรียมเตรียมไฝ่ว์นี่อย่างกับดนตรีในเทรลเลอร์ Wonder Woman 1984 หรือการคิดคอนเซ็ปต์ให้บรรดาแก๊งน้าค่อม คุณโรเบิร์ตและคุณบอลได้กลายเป็น Thor, Captain America และ Doctor Strange แบบเพี้ยน ๆ ก็เรียกเสียงฮาได้ดีเลยทีเดียว และเป็นจุดแข็งแรงที่ทำให้เราได้เห็นศักยภาพของนักแสดงตลกทั้ง 3 ท่านที่ถือเป็น MVP ที่ทำให้หนังอย่าง อีเรียมซิ่ง ยังคงมีความสนุกอยู่บ้าง
อีเรียมซิ่ง เป็นภาพยนตร์ไทยซึ่งอันที่จริงต้องเข้าฉายไปแล้วตั้งแต่ช่วงต้นๆ แต่เพราะพิษ Covid-19 ทำให้ต้องเลื่อนฉายมาจนป่านนี้ และกลายเป็นงานภาพยนตร์ลำดับสุดท้ายของพี่โรเบิร์ต สายควัน ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ และหากใครกำลังมองหางานที่จะรับชมเพื่อ Tribute ให้แก อีเรียมซิ่งก็สามารถเป็น 1 ในตัวเลือกนั้นได้อย่างไม่ยากไม่เย็น แต่ถ้าจะไปดูเอาสนุก เอาบันเทิงตามที่หน้าหนังได้โฆษณาไว้… อีเรียมซิ่งก็ยังเป็นคำตอบที่ใช่อยู่ดี เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ไทยฮาจัดส่งท้ายปีที่สามารถไปดูกันได้โดยไม่ติดขิดตะขวงใดๆ
อีเรียมซิ่ง เป็นผลงานกำกับลำดับที่ 4 ของผู้กำกับ “ตุ๋ย” พฤกษ์ เอมะรุจิ ถัดจาก ป้าแฮปปี้ She ท่าเยอะ และ ไบค์แมนทั้ง 2 ภาค ซึ่งส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าแกเป็นเหมือน Legacy ของ “ยอร์ช” ฤกษ์ชัย พวงเพชร อดีตผู้กำกับดังที่ตอนนี้ก็นั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ค่าย “รฤกษ์” ซึ่งทำหนังเรื่องนี้นี่แหละ เนื่องจากพวกจังหวะยิงมุกหรือการคัทฉากเพื่อให้เกิดเป็นซีนลั่นๆ ขึ้นมานี่คล้ายสไตล์ของคุณยาร์ชสมัยทำหนังซีรีส์ “ส่ายหน้า” มากๆ และด้วยความที่ผมค่อนข้างซื้อมุกสไตล์นี้อยู่พอสมควร เลยค่อนข้างไฮป์ตอนไบค์แมนภาคแรกมากๆ แม้ภาค 2 จะดรอปมาหน่อยแต่ในภาพรวมผู้กำกับพฤกษืก็ยังไม่สิ้นเครดิตในสายตาผมนัก และผมยินดีจริงๆ ที่อีเรียมซิ่งเหมือนเป็นงานคืนฟอร์มเบาๆ ของแกอีกครั้ง แม้เนื้อเรื่องกับพล็อตจะธรรมดาไปหน่อย แต่การเล่าเรื่องที่จงใจให้คอนทราสต์กับยุคสมัยและการรัวมุกจากดาวตลกและดาราสายฮาระดับแถวหน้าของเมืองไทย ก็ช่วยให้อีเรียมซิ่งกลายเป็นเมนูธรรมดาที่อิ่มอร่อยไปโดยปริยาย
อีเรียมซิ่ง เป็นหนังตลกที่มาแรงมากมาก เข้าฉายเพียงไม่นานก็ปักธงจะมุ่งสู่ร้อยล้านแล้ว ด้วยหน้าหนังตอนแรก แอบนึกว่านี่เป็นหนังตลกที่ออกมาดาษดื่น แต่พอได้ข้อมูลว่าเป็นของค่ายรฤก เราก็แอบวางใจ เพราะผลงานของค่ายนี้ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าแม้จะเป็นหนังตลกตบมุก แต่ก็ได้เสียงหัวเราะแน่นอน
พลอตเรื่องของหนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้ว ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องของ เรียม ที่อิจฉา แรม พี่สาวของตน ซึ่งมีคนรักเยอะ เพราะเป็นสาวเรียบร้อย ตามแบบอย่างกุลสตรีในอุดมคติ แบบกรอบของสังคมสมัยก่อน ในขณะที่เรียมเป็นสาวห้าว ทะมัดทะแมง เล่นต่อสู้กับผู้ชาย
บทหนังเดินเป็นเส้นตรง ๆ ตามสไตล์หนังขายตลกในลักษณะคาเฟ่ แต่ก็มีการผูกโยงเรื่องกันแบบหลวม ๆ แม้ว่าโครงเรื่องหลักจะเดาได้ไม่ยาก แต่ก็ทำออกมาได้ตลก และมีมุกที่อาศัยเซอไพร์สหลายอย่าง ซึ่งบางมุกอาจจะเหมาะกับคนที่ตามข่าวสารวงการบันเทิงอยู่แล้วนิดหน่อย แต่ถึงไม่ได้ตามผมก็ว่ายังฮาได้ครับ

สรุปโดยรวม 

โดยรวมหนังเรื่องนี้ขายขำ เอาฮา ใครอยากดูหนังคลายเครียดผมแนะนำเลยครับ จังหวะตบมุกเรียกเสียงหัวเราะได้ไม่น้อยเลย ใครชอบหนังของค่ายนี้อย่าง ไบค์แมน เรื่องนี้ก็มาในสไตล์เดียวกันครับ
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ เรียม ตัวอิจฉาประจำหมู่บ้านบางน้ำกร่อย เพราะเธอเติบโตมากับการถูกเปรียบเทียบกับ แรม พี่สาวที่แสนจะเรียบร้อยและเป็นกุลสตรี ทำให้เธอมักจะคลุกคลีอยู่กับเพื่อนๆ และญาติๆ ที่เป็นผู้ชายมากกว่า ฝึกวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวเป็นงานอดิเรก แม่ของเรียมได้แต่กลุ้มใจและคิดไม่ตก กระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะการมาของแก๊งโจรฟันแดง ที่ต้องหญิงสาวพรหมจรรย์ไปสังเวยบูชา และเรียมก็คือเป้าหมายของพวกมัน ทำให้เธอต้องลุกขึ้นสู้
การกลับมาสู่จอใหญ่ของนางเอกซุปตาร์แถวหน้า “เบลล่า ราณี” ที่พลิกคาแรกเตอร์ต้องมาเล่นตลกสุดโต่ง ในฐานะ “อีเรียมซิ่ง” หนังตลกไทยที่ถือว่าเข็นออกมาได้ถูกช่วงเวลา หลังจากที่เลื่อนฉายมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา และสามารถบอกได้ว่าผลงานชิ้นนี้อาจจะกลายเป็นอีกมาสเตอร์พีชเรื่องสำคัญของนางเอกสาวผู้นี้เลยก็ว่าได้
ความจริงชื่อของอีเรียมซิ่งผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในโปรแกรมมาตั้งแต่ต้นปี 2020 แล้วและนี่น่าจะเป็นหนังไทยตกค้างมาจากช่วงการระบาดของโควิด19เมื่อตอนต้นปีที่อยู่ในการรับรู้ของคนไทยมากที่สุดแล้ว และหลังจากที่เลื่อนไปมาจนลงตัวในที่สุดเราก็จะได้เห็นเบลล่า ราณี แคมเปน ในมาดอีเรียมวีรสตรีแห่งบางน้ำกร่อยกันแล้ว
อีเรียมซิ่ง เป็นผลงานการกำกับหนังเรื่องล่าสุดของ “พฤกษ์ เอมะรุจิ” หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้ดีจากหนังไบค์แมน ทั้ง 2 ภาค กลับมาในคราวนี้เขายังคงหยิบเอาประสบการณ์และสิ่งที่เขาทำเอาไว้ได้ดีจากเรื่องก่อน นั่นก็คืองานออกแบบและสร้างจังหวะเชิงขบขันที่อยู่ในหนัง กลายเป็นว่าหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นที่ดีในเรื่องจังหวะของหนัง
เมื่อโจรปากแดงสุดโฉดออกล่าพรหมจรรย์สาว ๆ เพื่อความเป็นอมตะ และจุดหมายของมันคือ อีเรียม (ราณี แคมเปน) สาวแสบแห่งบางน้ำกร่อยที่ต้องรวบรวมความกล้าและของดีของหลวงพ่อไปช่วยแม่และแรม (ณปภา ตันตระกูล) พี่สาวกุลสตรีแสนเรียบร้อยของนาง
แต่งานนี้อีเรียมไม่ได้สู้เพียงลำพังเพราะยังมีพรรคพวกสุดแสบทั้งฟักทอง (เดียร์ริส สุภัทรภณ กสิกรรม) เพื่อนกะเทยร่วมเรือน, ศรฆ้อนมหากาฬ (น้าค่อม ชวนชื่น), โตโล่บิน (โรเบิร์ต สายควัน) และ หมอ (บอล เชิญยิ้ม) หมอยาสมุนไพรวิเศษ งานนี้อเวนเจอร์แห่งบ้านบางน้ำกร่อยจะช่วยครอบครัวจากโจรร้ายได้หรือไม่
สิ่งที่ทำให้คนดูสนใจ
สิ่งที่ทำให้คนดูสนใจดูหนังออนไลน์ในตัวหนังอย่าง อีเรียมซิ่ง คงหนีไม่พ้นบรรดามุกกาว ๆ สไตล์หนังผจญภัยตลกและการได้เห็นเบลล่า ราณีมาทำหน้าเป็นและเล่นมุกสไตล์ตลกคาเฟ่พร้อมเสริมทัพด้วยบรรดานักแสดงตลกขาประจำทั้งน้าค่อม คุณโรเบิร์ต สายควัน
และคุณบอล เชิญยิ้มที่เห็นหน้าก็การันตีได้เลยว่าหนังต้องสนุกสนานและสร้างเสียงหัวเราะได้แน่นอน แต่ผิดคาดเราไม่แน่ใจว่าด้วยความที่หนังออกฉายช้าหรือตัวหน้งจริงมีปัญหาการถ่ายทำอะไรหรือเปล่าถึงทำให้มันออกมาเป็นต้มยำที่ไม่จี๊ดจ๊าดและดูจืดชืดเกินไปหน่อย
แม้ว่ามุกตลกในหนังที่ใส่เข้ามาจะไม่ได้มีอะไรหวือหวาและแปลกใหม่อะไรเท่าไหร่นัก แต่การแสดงของ เบลล่า ราณี ก็ยังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เธอสามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด
โชว์ทักษะการแสดงบ้าๆ บอๆ และไม่กลัวสวยออกมาได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะการหยอดมุกที่ดูเข้าขากับนักแสดงตลกมืออาชีพได้อย่างลงตัวและไม่มีติดขัดสักฉาก
หากดูที่หน้าจอทีวีในเวลาก็น่าจะเป็น เบลลา ราณี ในอีกคาแรกเตอร์กับละครเรื่องแซ่บ แต่หากมาอยู่บนจอใหญ่ก็จะได้เห็นเธอในอีกคาแรกเตอร์ที่พลิกขั้วเป็นสาวชาวบ้านที่แพรวพราวไปด้วยเสน่ห์ความก๋ากั๋น
และสร้างอารมณ์ขันได้เป็นอย่างดี จึงเป็นการงัดทักษะการแสดงของนักแสดงสาวผู้นี้ออกมาและได้ปล่อยของในอีกมุมอีกด้านที่ไม่ค่อยได้เห็นเธอในมุมนี้เท่าไหร่
ปัญหาของหนังเรื่องนี้
ปัญหาแรกต้องยอมรับเลยว่าตัวบทหนังดูจะยังไม่สามารถทำให้เรารักอีเรียมได้มากพอจะเอาใจช่วยนางเท่าไหร่นัก คือจากตัวอย่างเราเห็นเรียมเปิ่นฮาและก๋ากั่นยังไงตัวหนังจริงก็ไม่ได้ให้อะไรเรามากกกว่านั้นสักเท่าไหร่ และยิ่งการให้เบลลาเล่นมุกตลกแบบรวมฮิตทั้งมุก “ท่านเกียรติผู้มีแขก” มุกปักตะไคร้
หรือบรรดามุกสังขารต่าง ๆ ก็ทำให้เบลลาดูเป็นหุ่นยนต์ก๊อปปี้มุกตลกมากกว่าจะสร้างเสน่ห์ให้เธอเหมือนอย่างบทแม่การะเกดในบุพเพสันนิวาส แม้ว่าต้องยอมรับว่าเธอก็เล่นตลกแบบไม่ห่วงสวยจนสร้างความครื้นเครงให้หนังได้อยู่บ้างก็ตาม
ส่วนปัญหาต่อมาแม้ว่าหนังจะมีคอนเซ็ปต์การเป็นหนังผจญภัยสไตล์นิยายเพชรพระอุมาที่มีทั้งจระเข้ยักษ์ งูเห่าเพลิง มีคาถาอาคมแต่ด้วยคุณภาพงานสร้าง CG ต่าง ๆ ที่ทำได้ไม่ถึงพอมันอยู่ในหนังก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นอะไรนักและด้วยจังหวะหนังที่เหมือนถูกบังคับท่าไม้ตายให้เป็นหนังตลกหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
มันเลยถูกนำเสนอแบบขอไปที แถมยังต้องเจียดเวลาของหนังมาให้น้าค่อม โรเบิร์ตสายควันและบอล เชิญยิ้ม ได้เล่นมุกสังขารปากบวมตัวบวมอะไรอีก จนฉากผจญภัยที่ควรสร้างความตื่นเต้นหมดพลังไปอย่างน่าเสียดาย
แต่กระนั้นตัวหนังก็ยังมีจุดที่ทำให้เราได้สนุกไปกับมันอยู่บ้างโดยเฉพาะการมีอยู่ของแพท ณปภา ตันตระกูล ที่สามารถฉายเสน่ห์ในมุกโดนวางยาว่านราคะที่ทั้งเซ็กซี่และฮาสุด ๆ รวมไปถึงมุกบีตบ็อกซ์ที่ต้องยอมรับเลยว่าขโมยซีนเบลลาเห็น ๆ แถมการปรากฎโฉมของแพทในชุดเกาะอกแบบไทย ๆ ยังน่าจะได้ใจหนุ่ม ๆ ได้ไม่ยากเลยทีเดียว
และอีกส่วนที่ดีงามมากของหนัง อีเรียมซิ่ง คือคอนเซ็ปต์ของการแอบหยอกหนังนอกทั้งดนตรีประกอบฉากที่อีเรียมเตรียมไฝ่ว์นี่อย่างกับดนตรีในเทรลเลอร์ Wonder Woman 1984 หรือการคิดคอนเซ็ปต์ให้บรรดาแก๊งน้าค่อม  ดูหนังออนไลน์
คุณโรเบิร์ตและคุณบอลได้กลายเป็น Thor, Captain America และ Doctor Strange แบบเพี้ยน ๆ ก็เรียกเสียงฮาได้ดีเลยทีเดียว และเป็นจุดแข็งแรงที่ทำให้เราได้เห็นศักยภาพของนักแสดงตลกทั้ง 3 ท่านที่ถือเป็น MVP ที่ทำให้หนังอย่าง อีเรียมซิ่ง ยังคงมีความสนุกอยู่บ้าง
โดยรวม
โดยภาพรวมของ อีเรียมซิ่ง ถือว่าทำออกมาได้ตอบโจทย์คนดูในทุกๆ ทาง แม้ว่าจะเป็นเพียงหนังตลกสูตรสำเร็จเรื่องหนึ่งก็ตาม แต่ภายใต้ความสำเร็จรูปในแบบต่างๆ ก็สามารถสร้างอรรถรสความบันเทิงให้กับคนดูได้อย่างตรงไปตรงมา ตลอดระยะเวลากว่าชั่วโมงครึ่งของหนังเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนดูได้ ผ่อนคลายและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาได้แบบไม่เคอะเขิน
และที่สำคัญหนังยังมาพร้อมกับการเซอร์ไพรส์แบบคำโตๆ ที่ทำให้คนดูต้องร้องว้าวที่เป็นไฮไลท์เด่นอีกส่วนหนึ่งของหนัง และยิ่งเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับหนังเข้าไปอีก

รีวิว ส้มปลาน้อย

รีวิว ส้มปลาน้อย

รีวิว ส้มปลาน้อย

 

 

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด สวัสดีครับทุกคน วันนี้ก็อยู่กับผม รีวิว หนังเช่นเคย วันนี้ เรามารีวิว หนังสำหรับครอบครัวกันบ้างดีกว่า หนังตลก หนังขำขัน เพื่อครอบครัว  รีวิวหนัง ส้ม ปลา น้อย เป็นหนังไทยเรื่องสุดท้ายในโปรแกรมปี 2564 โดยเข้าฉายตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม
เป็นเรื่องที่ 2 ในจักรวาลส้ม เริ่มจาก ส่ม ภัค เสี่ยน ในปี 2560 ที่ลูกสาวพี่หม่ำบุษราคม วงษ์คำเหลาเป็นผู้กำกับ ครั้งนั้นได้รับเสียงชมมากมายว่าเป็นหนังตลกโรแมนติกที่ดูเพลินให้ความรู้สึกอิ่มเอม ผิดกับหนังตลกไทยทั่วไปมาก ครั้งนั้นก็แสดงโดยพี่หม่ำ และโตโน่ เมื่อเราทราบข่าวว่าเรื่องใหม่ รีวิวหนัง ส้ม ปลา น้อย นี้ พี่หม่ำกำกับเอง (ร่วมกับบดีกร โลหะชาละ) เราเองก็หวั่นใจ เกรงว่าทิศทางของหนังจะเปลี่ยนไปเพราะเพิ่งได้ชม คุณชายใหญ่ มาไม่นาน อีกทั้งหนังตัวอย่างยังได้เห็นมุกคลาสสิกที่แสดงโดยสินน้องชายพี่หม่ำเรื่องเลขท้ายสองตัว 89 ทำให้เรานึกไปถึงมุกผึ้งต่อยในวงษ์คำเหลาที่ค่ายหนังคิดว่ามันเป็นมุกเด็ดถึงขนาดตัดออกมาให้ชมในตัวอย่าง ดูแล้วอึ้ง ขนาดตัวอย่างยังทำให้เราอึ้งได้ขนาดนี้ ที่เหลือในเรื่องมันจะขนาดไหน
รีวิว ส้มปลาน้อย
แต่หลังจากได้ดูหนังความรู้สึกก็ดีขึ้นเยอะครับ ความหวั่นวิตกต่างๆ หายไปหมด หนังเรื่องนี้ดูได้เพลินอารมณ์ประมาณพวกไทบ้าน อีหล่าเอ๋ย ส้มป่อย เป็นหนังตลกโรแมนติกที่นำเสนอชีวิตตามวิถีชาวบ้านได้ค่อนข้างสมจริง จะเว้นก็แต่มุกต่างๆ ที่มันมากเกินไป หนังยาวแค่ชั่วโมงครึ่งพยายามอัดมุกอัดเพลงมาอย่างแน่น แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคนที่ชอบแบบนี้เขาก็คงมีอยู่มาก สังเกตอาการจากผู้ชมที่มีอยู่หนึ่งแถวในรอบแรกดูเขาก็น่าจะชอบๆ กันอยู่ มีเสียงหัวเราะเป็นระยะ แต่สำหรับคนที่เฉยชากับมุกและเพลงก็ไม่ได้ฝืนใจในการรับชมอะไรนัก เพราะเนื้อเรื่องและการแสดงที่มีสเน่ห์ดึงดูดของดาราทุกคนในเรื่องยังชวนให้น่าติดตามไปจนจบ
นำแสดงโดย หม่ำ จ๊กมก รับบทพระคนเดิมกับภาคที่แล้วแต่ย้ายวัดจากนครพนมมายโสธร, โตโน่ ภาคิน รับบทใหม่และบทเดิมจากภาคที่แล้โดยมีไข่มุก รุ่งรัตน์ นางเอกภาคที่แล้วมาปรากฏตัวให้คนดูเชื่อว่าเป็นจักรวาลเดียวกับส่มภัคเสี่ยนด้วย สำหรับภาคนี้ นางเอกคือ อุ้ม อิษยา ต้องเลือกพระเอกสองคนระหว่างโตโน่และ ครูเต้ย อภิวัฒน์ ที่นิสัยดีทั้งคู่ มีดาราลูกทุ่งสมทบอีกมากมาย รับบทพ่อแม่ที่สร้างสีสันได้ดี ทั้ง ฝน ธนสุนทร, สุนารี ราชสีมา และมีการไว้อาลัยดาราลูกทุ่งระดับตำนาน พรศักดิ์ ส่องแสง อย่างสมเกียรติ
รีวิว ส้มปลาน้อย
เรื่องย่อเท่าที่ปรากฏให้เห็นในตัวอย่างหนังแบบไม่สปอยล์ คือ แม่ค้าส้มตำ ส้ม มีหนุ่มมาชอบถึงสองคนเป็นคนดีทั้งคู่ คนแรกคือโตโน่ บ้านใกล้เรื่องเคียงขยันขันแข็งช่วยเหลือครอบครัวได้ทุกอย่าง อีกคนก็ครูเต้ยหนุ่มรวยแต่ก็นิสัยดีเอาใจเก่ง แม่ฝนชอบครูเต้ย พ่อพรศักดิ์ชอบโตโน่ ส่วนเธอชอบทั้งสองคน จนในที่สุดถึงเวลาจะต้องเลือก ทุกคนจึงไปปรึกษาพระมหาชัยหม่ำ ถ้าไม่สปอยล์ก็เล่าได้แค่นี้นะครับ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปโปรดติดตามต่อในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ ฉายแล้ววันนี้ คนดูไม่ค่อยมี อุดหนุนหนังไทยเรื่องนี้ไม่เสียใจและไม่ผิดหวังมากเท่าบางเรื่องแน่นอนครับ

รีวิว ส้มปลาน้อย

รีวิว ส้มปลาน้อย

เป็นแนว หนังไทยตลก ที่ถ่ายทำในต่างจังหวัด พูดภาษาท้องถิ่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านเรา เป็นภาษาที่น่ารัก ฟังแล้วก็เกิดความสนุก ตามไปด้วยจริง ๆ เรียกเสียงฮา ได้ตลอดทั้งเรื่อง สำหรับเรื่องส้มปลาน้อยนี้ เค้าบอกกันว่า เป็นภาคต่อมาจาก ส้มผักเสี้ยนที่เคยเรียกเสียงฮา มาก่อนแล้วเช่นกัน
หนังเรื่องส้มปลาน้อย เป็นชื่อเรียกของตัวละคร ของแต่ละคน ส้มที่นำแสดงโดย น้องอุ้มอิษยา เป็นแม่ค้าส้มตำ ในจังหวัดยโสธร ส่วนคุณปลาแสดงโดย ครูเต้ยที่เป็นผู้ดี มาจากกรุงเทพ และน้อยแสดงโดย หนุ่มโตโน่เป็นคนทำส้มปลาน้อย ที่ส่งให้ร้านส้มตำขาย
น้อยคงชอบเค้าแหละดูออก แต่ไม่กล้าบอก ดูแล้วเหมือนกึ่ง ๆ รักสามเส้านะ ที่ไม่รู้จะเลือกใครดี คือจะเลือกคนที่เรารัก หรือคนที่รักเรา มีตัวละครเด็ด ที่ทำให้เกิด ความฮาอยู่เสมอ ๆ คือพระมหาชัย ที่เป็นที่เคารพแถวนั้น นำแสดงโดย หม่ำ ดาราตลกของเมืองไทย
ที่มีคุณภาพเก่ง ในทุกด้านจริง ๆ สำหรับตลกอาวุโสท่านนี้ มีผลงานอย่างมากมายสำหรับ หนังไทย หม่ำ ที่ออกมาให้บรรดาแฟน ๆ บริหารกราม กันอย่างต่อเนื่อง หากใครที่เคยดู ส้มผักเสี้ยนมาแล้ว ก็จะเข้าใจเรื่อง ได้ง่ายมากขึ้น เพราะเรื่องนี้เหมือน อยู่ในจักรวาลเดียวกันกับ ส้ม ภัค เสี้ยน ที่ได้อารมณ์บ้าน ๆ ซึ่งแต่ละฉาก ดูแล้วผ่อนคลาย อย่าบอกใครเลยเชียวค่ะ ในหนังทำออกมาได้ดี ทำให้เราได้รู้สึก ถึงอารมณ์ทั้งในฉาก ที่เป็นอารมณ์เมือง เมื่ออยู่ในกรุงเทพ ซึ่งทำให้นึกถึงความรัก ของสาวน้อยที่อยู่ แต่ในต่างจังหวัด ซึ่งแตกต่างกับอีกคน ที่อยู่ในเมืองมาโดยตลอด
ก็จะเอาอกเอาใจเก่ง และดูแล้วเหมือน จะสนิทสนมมากกว่า คือกล้าที่จะพูด กล้าที่จะทำ เหมือนจะรวย ๆ มีฐานะที่นึกไปถึง ความสะดวกสบาย ดูมีอนาคตมากกว่า เข้ามาในชีวิต
ซึ่งทำให้สาวน้อย ต้องคิดและเลือกว่า จะเป็นใครดีนะ ในขณะที่อีกคน มีแต่ความจริงใจ แต่ไม่มีตังค์ ไม่มีความสะดวกสบาย ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบ พระก็เลยมีโอกาส เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อมีความรักก็พยายามไปปรึกษาพระ
จะได้เห็นว่าในต่างจังหวัด พระก็จะมีอิทธิพลบางอย่าง คล้ายจิตแพทย์ประจำหมู่บ้าน ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เป็นจุดรวมใจ ทำให้มีบทบาท ในวิถีชีวิตของชุมชนนั้น ๆ
ในเรื่องก็จะมีการ นำเอาอาหารพื้นเมือง มาผสมผสาน ในการบอกรักของหนุ่ม ๆ สาว ๆ เช่นการเอาข้าวจี่ มาทำเป็นรูปหัวใจ ดูไปแล้วก็น่ารัก คลาสสิกไปอีกแบบ ซึ่งเหตุการณ์ในแต่ละพาร์ท ที่เอามารวมกัน ได้เหมาะสมอย่างลงตัว
ดารานักแสดงส่วนใหญ่ ก็จะเป็นที่รู้จัก คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทำให้การแสดงร่วมกัน ดูแล้วเป็นธรรมชาติ เหมือนเราได้ไปอยู่ ในชุมชนนั้น ๆ ด้วย
ทำให้เราเห็น ชีวิตท้องถิ่นของ วัยรุ่นยุคใหม่ ก็จะมีในส่วนของ เรื่องปาฏิหาริย์ มีมาเกี่ยวข้องตามสไตล์ และความเชื่อของชาวบ้าน แต่ละมุขที่นำออกมาแสดง และถ่ายทอดให้เห็น ก็เรียกว่าดีงามสมราคา

ความรู้สึกโดยรวม

โดยรวมแล้วก็ถือว่า เป็นหนังรักที่ มีความเป็นมินิมอล ดูแล้วไม่เครียด เหมาะกับช่วงนี้ ที่คนส่วนใหญ่ พากันเครียดไปตาม ๆ ดูหนัง กันกับปัญหา ระดับหมู่บ้าน ระดับประเทศ หรือระดับโลก ทำให้เราได้มีโอกาสยิ้ม และชวนให้หัวเราะ ที่ดูได้ทุกวัย
ยิ่งหนุ่มสาววัยใส เหมาะมากค่ะ ไม่เยอะเกินไป พอเหมาะพอสมควรที่ สอดแทรกชีวิต และความเป็นอยู่ ที่สะท้อนให้เห็น ถึงวิถีชีวิต ที่มีการช่วยเหลือกัน เป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง และท้ายที่สุด ก็คงต้องแล้วแต่เรา ว่าจะเลือกชีวิต ไปในแนวทางไหน ความโชคดีคือ ได้เห็นชีวิตจริง ในจังหวัดยโสธร และพื้นที่ใกล้ ๆ โดยรอบด้วย ดูหนังออนไลน์
หนังเรื่องนี้เป็นการจับมือกัน ระหว่าง M39 กับ หม่ำ จ๊กม๊ก ที่ปกติ M39 มักจะสร้างหนัง ที่เป็นทาเก็ทคนเมือง บางเรื่องก็จะเป็น ทาเก็ทแบบนอกเมือง เป็นการทำหนัง ที่มีคุณภาพ ที่เชื่อถือได้ หากคุณเคยติดตาม รีวิวหนังไทย ก็จะทราบว่า มีหลายเรื่องที่ เป็นผลงานยอดนิยม มีคอนเทนต์ใหม่ ๆ มานำเสนออยู่ตลอดตาม เว็บหนังเด็ด ให้เราเลือกที่จะ หาความสุขจากหนังเหล่านี้ รีวิวหนังไทย ส้ม ปลา น้อย
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ ดูหนังเรื่องส้มปลาน้อยเต็มเรื่อง หรือยังไม่ได้ ไปให้กำลังใจ เหล่านักแสดงอารมณ์ดีเหล่านี้ น่าจะต้องหาเวลา จูงมือคนสำคัญ ไปขยับเหงือกขยับกราม กับหนังดีอีกเรื่อง ของคนไทย
ใครที่ต้องการจะ Feel Good ชั่วโมงนี้ต้องยกให้เค้าเลยค่ะ แต่หากบางท่าน ยังเป็นกังวลเรื่องการแพร่ระบาด สำหรับการไปชม ในโรงภาพยนตร์ ก็คงต้องรอ ส้ม ปลา น้อย เต็ม เรื่อง ออนไลน์ ตามเว็บหรือแอพดูหนัง ที่คุณถนัดหรือ เป็นสมาชิกอยู่ได้เลยนะคะ ดูหนัง 4k
รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ สำหรับหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็น choice ที่ไม่เลวที่จะเลือกชม ลองดูว่าหนังเรื่องนี้ ใช่ทางของคุณหรือไม่ เค้าเริ่มเข้าฉายกันมาตั้งแต่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา แล้วนะคะและกำลังฉาย อยู่ในขณะนี้ ตามโรงภาพยนตร์ชั้นนำ ในเครือ Major Cineplex ดูหนังออนไลน์ 4k
เรียกว่าเป็นหนังไทย ที่ดูแล้วผ่อนคลาย หัวเราะทั้งเรื่อง แค่เห็นชื่อนักแสดง และผู้กำกับก็รู้เลยว่า หนังเรื่องนี้จะฮามากแค่ไหน ใครที่ยังไม่ได้ไปดู ต้องหาเวลา พาครอบครัวไปดูนะ เพราะเป็นภาพยนตร์ ที่ดูสนุกทั้งครอบครัวจริงๆ