Tag Archives: ดูหนังไทยสนุกๆ

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

 

 

รีวิวหนังไทย ด้วยคำสั่งของบิดา ของเขา คนหนุ่มคนนี้ จึงตัดสินใจ นั่งรถฝ่าดงโคลนที่ชื้นแฉะจนทำรถติดหล่ม ผ่านพื้นที่แสนทุรกันดาร เข้าไปยังเหมืองแร่ห่างไกลความเจริญ ที่ อ.กระโสม จ.พังงา เพื่อหวังหางานทำเป็นบทเรียนชีวิต

ในช่วงเวลา 3 ปีกว่า เกือบ 4 ปี เขาได้เรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่างจากที่เขาเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง จาก ‘คนเมือง’ ลูกข้าราชการในกรุงเทพ ต้องพลิกผันมาเป็น ‘คนเหมือง’ เป็นกรรมกรใช้แรงงานแลกค่าแรงจากนายฝรั่งวันละไม่กี่บาท ใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำไปวันๆแบบไม่ต้องคิดถึงอนาคตมากนัก สปอยหนัง

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

อาจกล่าวได้ว่า เหมืองแร่กระโสมในฉากหลังเปื้อนควันสีน้ำตาลอ่อน ภายใต้แสงส้มของดวงตะวันยามเย็นและไฟเหลืองที่ห้อยอยู่ตามหลังคาเรือขุด เป็นมหา’ลัยชีวิตของอาจินต์ ปัญจพรรค์ คนหนุ่มผู้นี้ ที่นี่ เขาได้เรียนรู้ทักษะชีวิตมากมายที่ในมหาวิทยาลัยไม่มีวันสอนเขาได้

มหา’ลัยแห่งชีวิต
ในปีแรกเขายังปรับตัวไม่ได้ แม้แต่จะหุงข้าวกินเองก็ยังทำไม่เป็นจนกลิ่นน้ำมันก๊าดซึมเข้าข้าวไปหมด ต้องอาศัยแกงจืดจากลุงแถวบ้านประทังชีวิต แม้รสชาติไม่อร่อยแต่บรรยากาศที่ได้นั่งซดน้ำแกงอยู่ใต้เพิงหมาแหงนพอให้คลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

แรกเริ่มเขาเป็นเพียงกรรมกรช่วยงานทั่วไปในเรือขุด ความรู้จากคณะวิศวะบวกกับการเป็นคนหนุ่มทำให้เขามั่นใจในตัวเองเสียหนักหนา แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า แค่สั่งน็อตมาซ่อมเรือขุดเขายังเขียนรายการผิด ความไม่มีประสบการณ์ทำให้เขาต้องตั้งใจอย่างจดจ่อ เรียนรู้จากคนอื่นๆที่แม้ระดับการศึกษาต่ำกว่าเขา แต่ก็ชินและช่ำของในงาน เรือขุดนี้มีพี่จอน ฝรั่งที่พูดสำเนียงใต้ไฟแล่บเป็นนายหัวเรือขุด หนังไม่ได้บอกว่าพี่จอนมาจากไหน รู้แต่ว่าแกเป็นคนสู้งานและคุมทุกคนได้อยู่ แกมีพรรคพวกที่คอยเดินตามเมื่อตรวจเรือขุด และดูเหมือนว่าเหมืองนี้เป็นเลือดเนื้อและชีวิตแก เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

วันหนึ่งเจ้านายฝรั่งให้อาจินต์คอยจับตามองขโมยที่จะมาขโมยแร่ที่เหมือง แม่อาจินต์เฝ้าอยู่ เขากลับเห็นพี่จอนกับพรรคพวกมาขนแร่ไป อาจินต์โกรธจัด เทศนาทุกคนว่าแร่นี้เป็นของนายฝรั่ง เพราะเครื่องมือเครื่องจักรและค่าแรงทุกอย่างเป็นของนาย แต่คนขนแร่กลับตอกกลับมาว่าแร่นี้อยู่ในแผ่นดินไทย ไม่สมควรให้ฝรั่งมาเอาไป ความขัดแย้งก่อตัวขึ้นชัดในใจอาจินต์เสียจนเขาเดินไปลาออกในวันรุ่งขึ้น หารู้ไม่ว่าเขาจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากบทเรียนนี้

 

เมื่อกร้านขวบวัยมากขึ้น อาจินต์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นคนทำแผนที่ เขาได้ลูกมือมาช่วยคนหนึ่ง คือไอ้ไข่ ผู้ซึ่งยิ้มแย้มตลอดเวลาและมีนิสัยเหมือนเด็ก อาจินต์เล่าว่าเขาและไอ้ไข่แชร์วิถีประชาธิปไตยกันอยู่ เพราะตอนเช้าเขาจะเป็นคนเดินตัวปลิวไปเขียนแผนที่ แต่ตอนเย็นไอ้ไข่จะเป็นคนเดินมือเปล่านำหน้าไปก่อน ด้วยเหตุผลว่า ‘เลิกงานแล้ว’ ไอ้ไข่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่นั่งท้ายรถกระบะลุยโคลนไปกับเขา แหวกพงหญ้าเข้าไปวางไม้วัดพื้นที่ และยังเป็นเพื่อนในวงเหล้ายามเหงา น่าสังเกตว่าเหล้าเป็นสิ่งเชื่อมสายใยของคนในเหมืองที่เป็นผู้ชายล้วนได้อย่างดี แม้กระทั่งนายฝรั่งเองก็ยังดื่มจัดและตั้งวงกับคนงาน พอเมาก็เอาเงินมาแจกเด็กชาวบ้านแถวนั้นไปซื้อเสื้อผ้า วิถีแบบลูกผู้ชายไหลเวียนอยู่ในสายเลือดที่มีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

มุมมองชนชั้นกลางที่ไม่ใช่กรรมกรจริง

ในภาพรวม หนังมหา’ลัยเหมืองแร่ให้ภาพเกี่ยวกับโลกการทำงานของชนชั้นกรรมาชีพได้อย่างโรแมนติก เล่าด้วยเหตุการณ์สั้นๆที่จบในตัวเองหลายเหตุการณ์ เพราะตัวหนังสร้างจากเรื่องสั้นชุด ‘เหมืองแร่’ ที่เป็นประสบการณ์จริงของอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ แต่ในความโรแมนติกนั้น ถ้าเรามองทะลุไป เราจะเห็นความแร้นแค้นในชีวิตกรรมกร อาจินต์นั้นแทบไม่เหลือเงินสักบาทตอนเขาออกจากเหมืองแร่ เพราะเอาเงินไปซื้อเหล้าหมดแล้ว กรรมกรคนอื่นก็ระหกระเหินไม่ต่างกันเมื่อเหมืองแร่ปิด และต้องใช้ชีวิตแบบไม่รู้อนาคตและไม่รู้จะได้กลับมาเจอกันเมื่อใด ในความโรแมนติกที่เล่าจากสายตาชนชั้นกลางของอาจินต์ เราจะเห็นแง่ที่ไม่งามของมันได้จากคำขอของนายฝรั่งที่ให้อาจินต์สัญญาว่าจะไม่มาใช้ชีวิตแบบนี้อีก พร้อมซื้อตั๋วเครื่องบินให้เขากลับกรุงเทพ เมื่อลองคิดดูแล้ว หากอาจินต์เป็นเพียงกรรมกรคนหนึ่งที่มีฐานะเท่าๆกับกรรมกรคนอื่นๆที่เหมือง เขาอาจไม่ได้มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโรแมนติกแบบ Good Old Day ก็ได้ เพราะเขาไม่มีตาข่ายกันตกที่ชื่อว่าครอบครัวเช่นชนชั้นกลางแบบอาจินต์ – อาจินต์ที่เป็นชนชั้นกลางนั้นมีบ้านให้กลับไปเสมอ และที่บ้านพร้อมจะให้การสนับสนุนเขาแม้เขาจะไม่มีงาน แต่กรรมกรทั่วไปไม่ได้เช่นนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าจะหางานได้อีกไหม และจะมีข้าวตกถึงท้องอีกเมื่อใด คงไม่มีใครมีอารมณ์มาเขียนเรื่องเล่าชุดที่ตีพิมพ์จนขายดีแบบอาจินต์ได้

ในแง่หนึ่ง มหา’ลัยเหมืองแร่ และเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ ที่กำกับและเขียนโดยชนชั้นกลาง จึงเป็นแค่การมองไปที่โลกของกรรมกรอย่างคนที่อยู่ข้างนอก ที่มาลิ้มรสความลำบากเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เมื่อออกมาจากโลกแห่งนั้น เขาก็ยังมีที่ให้ไปต่อ ด้วยต้นทุนทางสังคมและการศึกษาที่มากกว่า ตัวเนื้อเรื่องไม่ได้ผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมทางชนชั้นมากขึ้น เพราะยังคงมองชีวิตกรรมาชีพเป็นสิ่งแปลกใหม่ น่าพิศวง (Exotic) เพราะแตกต่างจากชีวิตคนเมือง อย่างไรก็ตาม หนังก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในการให้ความบันเทิงและตอบกลุ่มคนดูชนชั้นกลางได้ดี จนได้รับรางวัลหลายรางวัล และได้ขึ้นทำเนียบหนึ่งในหนังไทยที่ดีที่สุด

สามารถรับชมมหา’ลัยเหมืองแร่ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

 

มหา’ลัย เหมืองแร่ ดัดแปลงมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของ คุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์… ในปี พ.ศ. 2492 อาจินต์ วัย 22 ปี นิสิตชั้นปีที่สองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย เขาได้เดินทางลงใต้ มุ่งหน้าไปทำงานที่เหมืองกระโสม ตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ในยุครุ่งเรืองของเหมืองดีบุกในประเทศไทย

4 ปี ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีความสะดวกสบาย ทว่าสิ่งที่อาจินต์ได้รับกลับเป็นบทเรียนที่ไม่สามารถหาได้จากมหาวิทยาลัย หลายสิ่งเป็นวิถีนามธรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่ก็ล้ำค่าจนเขาสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต…
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
มหา’ลัย เหมืองแร่ (Official Trailer)

มหา’ลัย เหมืองแร่: มหา’ลัยที่สอนให้รู้จักกับ ‘มิตรภาพ’ และ ‘รสชาติของชีวิต’

” กินอย่าอาย ตายอย่ากลัว ยากช่างหัว ตายปลด ”

“มหา’ลัย เหมืองแร่” เป็นหนังที่อบอุ่น นุ่มลึก เชื่อว่าใครหลายคนดูแล้ว ก็ต้องหลงรัก หากให้เลือก Genre ให้กับหนังมหา’ลัย เหมืองแร่ ก็คงถูกจัดอยู่ในแนว ‘Drama – Coming of Age’ ที่เล่าถึงการก้าวผ่านพ้นวัยของอาจินต์ สภาพก่อนและหลังจากที่อาจินต์มาอยู่เหมืองกระโสม เขาได้ก้าวข้ามบางอย่าง ทั้งปมในชีวิต และความสับสนของช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ พร้อมกับการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

ที่เหมืองกระโสม อาจินต์ได้สัมผัสกับประสบการณ์ชีวิต ได้รู้จักกับความรับผิดชอบ ความอดทน ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ความอบอุ่น และความจริงใจ

ที่สำคัญเขาได้เรียนรู้ถึง ‘มิตรภาพ’, ‘บทพิสูจน์จิตวิญญาณของลูกผู้ชาย’, ‘รสชาติชีวิตอันเข้มข้น’ และ ‘สัจธรรมชีวิต’ ซึ่งหาไม่ได้จากมหาวิทยาลัย หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว 

 

ระหว่างรับชม เราจะได้สัมผัสบรรยากาศอันสมจริงของการทำงานในเหมืองแร่ – เรือขุดแร่ ว่าสภาพการทำงานเป็นอย่างไร… ในปี 2492 สภาพถนนยังไม่ดี (ตัวเหมืองยังอยู่ในป่าอีกด้วย) สภาพอากาศทางใต้ฝนตกชุก ทำให้ทุกที่ต่างเต็มไปด้วยโคลนเหนอะหนะ หลายๆ คนอาจจะจินตนาการสภาพการทำงานไม่ออก ยิ่งในปัจจุบัน ยุครุ่งเรืองของเหมืองแร่ดีบุกก็หมดไปจากประเทศไทยแล้ว… มหา’ลัย เหมืองแร่ ช่วยให้เราเห็นภาพเก่าในอดีตได้อย่างแจ่มชัดขึ้น เป็นอีกหนึ่งจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้

ในแง่ภาพยนตร์ ถือว่าหนังทำออกมาได้ดี ด้วย Character แบบภาพยนตร์ GTH ยุคเก่า ไม่หวือหวา โทนไปทางดราม่า ส่วนตัวคิดว่า ภาพรวมหนังอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกว่าสมบูรณ์อย่างหนังต่างประเทศในเวทีดังๆ เช่น บางส่วนของเรื่องยังเชื่อมโยงไม่เนียน หรือนักแสดงยังแสดงไม่เป็นธรรมชาติมาก (แต่ให้ความรู้สึกสมจริงกับบรรยากาศดี)

ที่หนังทำได้น่าประทับใจที่สุดคือ การสร้าง Impact ให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วมได้อย่างแนบแน่น และถ่ายทอดแก่นเรื่องออกมาได้อย่างชัดเจน สละสลวย จริงใจ… นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ ‘มหา’ลัย เหมืองแร่’ ยังอยู่ในใจของทุกคนเสมอมา

พิชญะ วัชจิตพันธ์ ผู้รับบท ‘อาจินต์’

น่าเสียดายว่า ในปี 2548 ที่ภาพยนตร์ออกฉาย ปรากฏว่าภาพยนตร์ขาดทุนอย่างหนัก จากงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท ทำรายได้ไปเพียง 30 ล้านบาท แต่ในแง่คำวิจารณ์ ได้รับคำวิจารณ์ยอดเยี่ยม คว้ารางวัลใหญ่ภายในประเทศไปได้หลายสถาบัน ทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก สุพรรณหงส์ ชมรมวิจารณ์บันเทิง สตาร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์ และ คม ชัด ลึก อวอร์ด นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลสำคัญหลายรางวัล จาก เฉลิมไทย อวอร์ด และStarpics Thai Films Awards

มหา’ลัย เหมืองแร่ ยังได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยไปเข้าแข่งขันชิงรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในเวทีออสการ์ ส่วนในระดับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ มหาลัย’ เหมืองแร่ ก็ได้รับคัดเลือกให้ไปฉายในหลายเทศกาลเช่น Pusan International Film Festival (2005), Hong kong – Asia Film Financing Forum (HAF) (2005), Palm Springs International Film Festival (2006) – California, USA

ในปี พ.ศ. 2556 มหา’ลัย เหมืองแร่ ได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ไทย 1 ใน 25 เรื่องที่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ 3 โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ (แหล่งอ้างอิง)

หลังจากผ่านยุคนี้ไปแล้ว ก็ไม่เคยเจอหนังจาก GTH ที่ทำออกมาในแนวนี้อีกเลย แนวหนังที่ค่อนไปทางสายรางวัล (ในฉบับของ GTH)… หลักๆ คิดว่าก็คงมาจากรสนิยมของผู้ชมในประเทศที่ไม่ได้ตอบรับภาพยนตร์แนวนี้มากนัก หนังที่ดูไม่ง่าย แต่นุ่มลึก ให้ความหวังและกำลังใจแก่ทุกคน

” เกียรติของคนต้องขุดเอง ” ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว โหมโรง

รีวิว โหมโรง

 

รีวิวหนังไทย โหมโรง หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของวงการหนังไทย โหมโรงถูกสร้างในปี 2547 (ผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว !!!) โหมโรงกำกับโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ในส่วนดนตรีได้รับการควบคุมโดย ชาติชาย พงศ์ประภาพันธุ์ และ ชัยภัค ภัทรจินดา (คนดนตรีไทยน่าจะรู้จักดี) ตัวหนังได้รับเสียงชื่นชมมากมาย สร้างกระแสดนตรีไทยฟีเวอร์ ขนาดถูกนำไปสร้างเป็นละครทีวีและละครเวที โหมโรงเริ่มแรกเกือบจะถูกถอดไปแล้ว แต่โชคดีถูกต่อลมหายใจโดยพันทิป กระแสปากต่อปากช่วยเอาไว้ ในส่วนรางวัล หนังได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสุพรรณหงส์ รางวัลต่างๆภายในประเทศมากมาย และถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งชิงออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศด้วย

รีวิว โหมโรง

 

นอกจากรางวัลในประเทศไทยแล้ว โหมโรงยังได้รางวัลจากเทศกาลหนังต่างประเทศหลายเทศกาลด้วย เช่น Miami Film Festival , Asia-Pacific Film Festival , Marrakech International Film Festival (ตัวข้อมูลอ้างอิงจาก Imdb) จึงถือได้ว่าเป็นหนังไทยที่เจ๋งมาก สามารถไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศได้

สำหรับเนื้อเรื่องโหมโรงเป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากชีวิตของ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ครูคนสำคัญของวงการดนตรีไทย ศรเกิดมาในครอบครัวดนตรีไทยและได้รู้จักกับดนตรีไทยตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตมาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีสูงกว่าคนอื่น ทำให้ได้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีหลวงที่มีเจ้านายคอยอุปถัมภ์ เป็นนายระนาดประจำวง ได้พบรักกับสาวในวัง ได้เข้าสู่ช่วงที่หมดหวังที่สุดในชีวิตเมื่อประชันระนาดแพ้ขุนอิน แต่สุดท้ายด้วยการฝึกฝนและคิดค้นทางระนาดใหม่ ทำให้สามารถเอาชนะขุนอินไปได้

 

รีวิว โหมโรง

ตัดไปช่วงบั้นปลายชีวิต ศรในวัยชรา ต้องเผชิญกับ อุปสรรคของดนตรีไทยอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่กระจายเข้ามาในสังคม นโยบายควบคุมดนตรีไทยและศิลปะแขนงต่างๆ จนทำให้ดนตรีไทยเข้าสู่ยุคโรยรา ซึ่งเป็นยุคที่ศรยากจะทำใจได้

เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ถ้านับจากวันที่เรามีโอกาสได้ไปชมละครเวที “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” จนถึงตอนนี้ เพิ่งมีโอกาสได้เขียนรีวิว มากกว่าการแอบอู้อ่านสอบไฟนอลมาเขียนรีวิว คือเราอยากบันทึกความทรงจำดีๆ ที่ได้จากการชมละครเวทีเรื่องนี้

โหมโรง เดอะมิวสิคัล เป็นละครเวทีที่เราดูแล้วรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ คือมันได้ทุกอารมณ์ ทุกอรรถรส ทั้งโรแมนติก ตลก ซาบซึ้ง น้ำตาคลอ ตื่นเต้น ลุ้นระทึก รวมๆ กันแล้วมันคือความประทับใจ คะแนนเต็ม 10 ก็ให้ 10 เป็น 3 ชั่วโมงครึ่งที่มีความสุขมาก เป็นการดูละครเวทีที่ “ดีต่อใจ” เราไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสละครเวทีบรอดเวย์ หรือของต่างประเทศ แต่มากกว่าเยาวชน มากกว่าคนไทยทุกคน เราอยากให้ชาวต่างชาติได้มาสัมผัสละครเวทีดีๆ ฝีมือคนไทยอย่างเรื่องนี้เหลือเกิน

บทละครเวที “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” ดัดแปลงจากบทภาพยนตร์เรื่อง “โหมโรง” ในปี 2547 เราเคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก คือเด็กมากจนปะติดปะต่อเนื้อเรื่องไม่ได้เลย ภาพจำของเราในภาพยนตร์เรื่องนี้มีแค่ โอ อนุชิต เป็นพระเอก อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เป็นทหาร มีการเล่นระนาด …จำได้แค่นี้จริง ๆ ซึ่งพอเราตัดสินใจจะไปชมละครเวที คิดวันนี้ก็ซื้อบัตรรอบพรุ่งนี้เลย ไปแบบโล่งๆ เข้าไปทำความรู้จักกับเรื่องราว กับตัวละครที่หน้างานเลยละกัน

เป็น 3 ชั่วโมงครึ่ง ที่มีความสุข เรายิ้ม เราหัวเราะ เราลุ้นระทึก แต่ที่สุดของโหมโรง เดอะมิวสิคัล คือละครเวทีเรื่องนี้ทำเราน้ำตาคลอถึง 6 ครั้ง !

 

รีวิว โหมโรง

เรื่องราวของ “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” ได้แรงบันดาลใจจากชีวประวัติของ หลวงประดิษฐไพเราะ หรือท่านครูศร ศิลปะบรรเลง ปูชนียบุคคลผู้มีคุณูปการต่อวงการดนตรีไทย ชีวิตของศร ตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่ม จนถึงวัยชรา เพื่อความฝันของเขา เขาต้องต่อสู้ ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมายในทุกช่วงชีวิต การเล่าเรื่อง ตัดฉากสลับระหว่างช่วงวัยหนุ่มกับวัยชรา ยิ่งทำให้เรื่องสนุกและน่าติดตามมากขึ้น
องก์ 1 รุ่มรวยด้วยความสุข มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อิ่มเอมในความงาม ความไพเราะของดนตรีไทย
องก์ 2 คือการขมวดปมด้วยแรงกดดัน ลุ้นไปกับนายศร เสียน้ำตาให้กับท่านครูและอีกหลายชีวิต ก่อนจะจบอย่างจับใจ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว โหมโรง

รีวิว โหมโรง

ตลอดชีวิตของท่านครู หรือนายศร เขาล้วนต้องต้องสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาปรารถนา

“เด็กชายศร” ต้องต่อสู้กับความรักของพ่อ…ความฝันที่จะเล่นดนตรีไทยต้องยุติลง เพียงเพราะความตายของพี่ชายอันเกิดจากชัยชนะในการประชันระนาด แต่นั่นใช่ความผิดของดนตรีไทยหรือ? เมื่อพ่อตัดสินใจเช่นนั้น เด็กน้อยก็ไม่มีทางเลือก น้องที่เล่นเป็นศรคือร้องเพลงเพราะมาก แสดงดีมากเช่นกัน ความรู้สึกของคนที่ถูกห้ามทำในสิ่งที่รัก ซีนพ่อพาศรไปไหว้ครูนี่คือดีมาก แค่ซีนแรกๆ พระเอกยังไม่ทันโต เราก็น้ำตาคลอแล้ว… ถึงแม้พาร์ตวัยเด็กจะใช้เวลาไม่นาน แต่ก็อัดแน่นด้วยความประทับใจ

“นายศร” การต่อสู้กับหัวใจตัวเอง… ละครเวทีเรื่องนี้ทำให้เราอยากให้ประเทศไทยมีการแจกรางวัลให้กับวงการละครเวทีบ้างเหลือเกิน ซึ่งถ้ามี ในปี 2561 นี้ ผู้ที่คู่ควรกับรางวัลนักแสดงนำชายคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก อาร์ม-กรกันต์ สุทธิโกเศศ หน้าตาดี ร้องเพลงเพราะ การแสดงเป็นเลิศ ฝีไม้ลายมือการเล่นระนาดถึงขั้นประชันกับรุ่นครูแล้วชนะ คุณสมบัติเหล่านี้ยากที่จะอยู่ในตัวคนคนเดียว แต่พี่อาร์มทำได้!

ศรในวัยหนุ่ม เขาอยู่ในยุครุ่งเรืองของดนตรีไทย เขาคือระนาดเอกแห่งอัมพวา ความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง บางครั้งก็มากเกินไปจนกลายเป็นความผยอง จนกระทั่งเขาได้พบ ได้ยินเสียงของระนาดที่เหนือกว่าเขา เข้มแข็งและดุดันกว่าเขา จนยากที่จะเอาชนะ นั่นกลายเป็นความกลัว เสียงนั้นยังคอยหลอนให้ชายหนุ่มอย่างศรหวาดผวา และไม่กล้าเล่นระนาดอีก…แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเขากับขุนอินเลย แต่นี่คือการต่อสู้ของศรกับใจของเขา…

รีวิว โหมโรง

 

พาร์ตวัยหนุ่มของศร ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือบทของ “ทิว” เพื่อนสนิทของศร ที่ตัวติดกันตลอด ทิวจัดได้ว่าเป็นตัวสร้างสีสันของเรื่อง ด้วยคาแรคเตอร์ที่จัดจ้าน เล่นใหญ่ไฟกะพริบ แต่การแสดงของ นาย-มงคล กลับเรียกรอยยิ้มให้กับผู้ชมและไม่ทำให้ตัวละครตัวนี้น่ารำคาญเลย
หลายตัวละครในพาร์ตวัยหนุ่ม ทำให้เราสัมผัสและเข้าใจคำว่า “น้อยแต่มาก” ด้วยไทม์ไลน์ของเรื่องที่ยาวนาน ทำให้บางตัวละครปรากฏตัวออกมาน้อย แต่กลับสร้างความประทับใจให้คนดู…ยากที่จะลืมได้ ครูรัก-ศรัทธา มาในบทของ “ครูเทียน” ผู้สอนศรเล่นดนตรีในวัง ออกมาน้อยแต่มาเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม

 

“ขุนอิน” ระนาดเอกแห่งสยามประเทศ รับบทโดย ครูเบิ่ง-ทวีศักดิ์ เป็นขุนอินที่บรรเลงระนาดแล้วให้ความรู้สึกไพเราะ เข้มแข็ง ดุดัน ไปถึงขั้นน่ากลัว! คือเป็นลีลาระนาดที่คนธรรมดาอย่างเราฟังแล้วยังหวั่นเกรง นับประสาอะไรกับพ่อศร

ไฮไลต์ของพาร์ตวัยหนุ่มคือการประชันระนาด ตั้งแต่หลับตาตีระนาด ประชันต่างเมืองสองรุมหนึ่ง มาจนถึงการประชันกับขุนอิน เล่นกันสดๆ ไม่มีลิปซิงก์ ท้าทายผู้ชม ให้เห็นกันไปเลยว่าดนตรีไทยไม่ได้น่าเบื่อ เป็นการประชันระนาดที่น่าตื่นเต้น ลุ้นระทึกในทุกท่วงที ทุกลีลาที่บรรเลง หนังฟรี หนังใหม่

เรื่องย่อ โหมโรง

 

รีวิวภาพยนตร์ เรื่องย่อ โหมโรง ละครโทรทัศน์แห่งความภาคภูมิใจในคุณค่าศิลปวัฒนธรรมความเป็นไทย อันเป็นรากของแผ่นดิน ความงดงามและความไพเราะจากเครื่องดนตรีไทยอย่าง “ระนาดเอก” เริ่มต้นบรรเลงขับขานไปพร้อมกับเรื่องราวอันเข้มข้นของ “ศร” บุรุษผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “มหาคีตกวี” กับเส้นทางชีวิตมุ่งหน้าสู่ความเป็น “นักระนาดเอกมือหนึ่งของแผ่นดิน” บรมครูของนักดนตรีไทย ผู้ผ่านทั้งยุคทองที่รุ่งเรืองอย่างสูงสุด และยุคตกต่ำที่สุดของวงการดนตรีไทย ยอดคนระนาดเอกแห่งสยามประเทศ จะกลับมาโลดแล่นบนจอแก้ว
ยุครัชกาลที่ 5

“ศร” ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เขาสามารถเล่นระนาดได้เองโดยไม่มีใครสอน แต่อาจจะด้วยที่ชีวิตของเขาเกิดมากับเสียงของวงปี่พาทย์ของผู้เป็นพ่อคือ”ครูสิน” หัวหน้าวงปี่พาทย์มีชื่อในอัมพวา สมุทรสงคราม พี่ชายของศรเองก็เป็นนักเลงปี่พาทย์มีฝีมือ แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้นักเลงระนาดอีกหมู่บ้านหนึ่งมาดักฟันพี่ชายของเขาจนตายไปเมื่อเขาอายุได้เพียง 10 ขวบ จากนั้นมาครูสินจึงเลิกยุ่งเกี่ยวกับดนตรีโดยเด็ดขาด เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับใครในครอบครัวอีก

หลวงตาจึงได้ให้ข้อคิดกับครูสิน ว่าคนที่ฆ่าลูกชายคนโตนั้นคือผู้ที่ไม่เข้าใจดนตรีที่แท้จริง ครูสินจึงตัดสินใจกลับมาเปิดวงและรับศรเป็นลูกศิษย์ โอกาสที่ศรจะได้เรียนรู้ดนตรีไทยทุกชิ้นกลับมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง ครูสินพร่ำสอนกับศรว่า “ความงามของดนตรีคือ ทำให้คนมีจิตใจงดงามตามท่วงทำนอง อย่าได้ใช้ดนตรีไปในทางที่เสื่อมโดยเด็ดขาด” คำเหล่านี้จดจำอยู่ในใจศรเสมอมา

แต่เมื่อผันเข้าสู่วัยหนุ่ม ศรกลายเป็นดาวโดดเด่นในอัมพวาจนมีชื่อเสียงมีคนในพื้นที่ใกล้เคียงมาคอยเฝ้าชื่นชม ความเหลิงทำให้เขาเริ่มใช้ดนตรีในทางผิด จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีวงราชบุรีมาท้าประชัน พ่อตัดสินใจไม่เอาศรลงตีระนาดเอก แต่กลับให้ไปตีฆ้องวงแทน เพื่อเป็นการดัดสันดาน แต่เมื่อให้คนในวงคนอื่นเล่นระนาดแทนก็เกิดทำให้เจ้าเมืองราชบุรีไม่พอใจ หาว่าสบประมาทฝีมือกันที่ครูสินไม่เอาของดีออกมาแสดง ในที่สุดศรก็ได้มาตีระนาดเอกและทำให้”พ่อมั่น” ระนาดเอกแห่งราชบุรีที่มาประชันนั้นต้องพ่ายแพ้ไป

 

ต่อมาครูสินจึงพาศรเข้ามาสู่บางกอก เพราะอยากให้ศรได้เปิดหูเปิดตาดูในงานประชันระนาดว่ายังมีคนเก่งอีกมาก พ่อจึงฝากฝังไว้กับครูแก้วเพื่อนของพ่อ แต่แล้วพ่อมั่น ซึ่งได้มาอยู่กับวงครูแก้วเกิดกลัวคู่ประชันขึ้นมาและต้องการจะแก้แค้นศรก็เลยหาเรื่องหลบการประชัน เพราะคู่ต่อสู้นั้นฝีมือฉกาจนัก และขอให้ศรขึ้นประชันแทน ศรด้วยความอยากอวดฝีมืออยู่แล้วจึงตัดสินใจขึ้นโดยไม่ลังเล ขุนอินเมื่อได้ยินเสียงระนาดก็ตีทับขึ้นมาทันที ความแข็งกร้าวดุดันของทางระนาดขุนอินนั้นไม่มีทางที่ใครจะทานได้ ศรจึงพ่ายแพ้กลับไปอย่างยับเยิน ศรพยายามฝึกตีระนาดให้ได้อย่างขุนอิน แต่ก็ทำไม่ได้เสียที จนวันนึงศรก็ได้พบทางระนาดของตน พระองค์ชายเล็กจากในวังที่เสด็จมาตามหานักระนาดมือเอก มาเจอศรจึงชวนเข้าไปอยู่ในวัง

เมื่อศรได้เข้ามาอยู่ที่วัง ก็ได้ครูหมึกและครูเทียนช่วยกันสั่งสอน และศรก็ได้พบรักกับแม่โชติ สมเด็จให้ศรประชันกับขุนอิน ศรกลัวจึงหนีกลับไปที่อัมพวาแต่ครูเทียนก็ไปตามศรกลับมาประชันจนได้ ครูเทียนให้สติศรจนศรได้ค้นพบตัวเองและทางระนาดของตัวเอง จึงสามารถเอาชนะขุนอินได้ ส่วนเรื่องของแม่โชติก็กลับกลายเป็นดี นายศรได้พิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวแม่โชติยอมรับจนในที่สุดทั้งสองได้ครองคู่ชีวิตกัน ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว Friend Zone…ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

รีวิว Friend Zone…ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

 

 

รีวิวหนังไทย อ่านได้ ไม่ค่อยสปอย มีนิดเดียวจริงๆนะ  เรายังคงเป็นติ่งหนังค่ายจีดีเอชอย่างเหนียวแน่น เรียกได้ว่าตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยมา หนังค่ายนี้เข้าเมื่อไหร่ จะต้องไปดูเป็นวันแรก และถึงแม้จะกล้าบอกว่าหนัง2 เรื่องก่อนหน้าอย่าง น้อง.พี่.ที่รัก และ Homestay จะไม่ใช่หนังที่เราชอบมาก ว้าวมาก หรือประทับใจในภาพรูปของเรื่องมากถึงขั้นบอกต่อ แต่พอ Friend Zone เข้าฉาย ก็ไม่รอช้าที่จะไปดู (ติ่งที่ดีมันต้องแบบนี้ ชอบบอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่!!!)

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

 

ก่อนจะเริ่มรีวิว หรือพูดถึงเนื้อหนัง ขอเล่าความห้าวของตัวเองหน่อย อยากจะเปลี่ยนนามแฝงตัวเองจากอุ้มสมเป็น “ผู้ชายที่ดูหนังรักคนเดียวในวันวาเลนไทน์” ใครไปดูคนเดียวในวันแห่งความรักมาเหมือนเราบ้าง ยกมือหน่อย หาเพื่อน!!!

เรื่องราวของ Friend Zone ถูกเล่าในมุมมองของ “ปาล์ม” (ณภัทร เสียงสมบุญ) ชายหนุ่มที่ตกอยู่ในสถานะ Friend Zone มา 10 ปี เมื่อในงานแต่งงานแห่งหนึ่ง เขาเจอเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 3 ชีวิต ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะบอกเล่า เพื่อระบาย เพื่อแชร์ประสบการณ์ และเพื่อ… ซึ่ง Friend Zone ของปาล์มก็คือ “กิ๊ง” (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) เพื่อนสนิทของเขา ที่ไม่ว่าพ่อจะมีบ้านเล็ก เธอจะมีแฟนคนแรก จะเลิกรากับผู้ชายไปอีกกี่คน เรื่องราวของกิ๊งก็ยังอยู่ในความทรงจำของปาล์ม เพราะทุกความเศร้าของเธอ ปาล์มคือคนแรกที่กิ๊งจะนึกถึง!

หากเปรียบเป็นอาหาร ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คืออาหารที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นกะเพราไก่ไข่ดาว เป็นต้มเลือดหมู หรือเป็นเมนูใดๆ ก็ตาม แต่เชื่อได้เลยว่าหากปรุงรสแบบนี้ ปรุงโดยพ่อครัวจากจีดีเอชภัตตาคาร แน่นอนว่ายังไงอาหารจานนี้ก็ออกมาอร่อยถูกใจนักชิม

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

หากถามหาความคิดสร้างสรรค์ ความเก๋ไก๋ หรือแปลกใหม่ Friend Zone อาจไม่ตอบโจทย์คุณเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณอยากชมภาพยนตร์รักสักเรื่อง ที่เล่าเรื่องได้อย่างน่ารัก มุกตลกคมคายไม่ฝืด เสน่ห์ของนักแสดงหลักที่ดึงดูดให้ตามจนจบ ออกจากโรงหนังด้วยความสุขและไม่ต้องคิดอะไรมาก Friend Zone ก็คืออีกเรื่องที่ตอบโจทย์เหล่านั้น เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว Friend Zone…ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

เมื่อพล็อตเรื่องธรรมดา เล่าเรื่องในแบบที่คนดูเดาได้ สิ่งที่ทีมงานต้องทำการบ้านเพื่อให้หนังเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำคนดู ก็คือองค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งที่เรามองเห็นชัดเจนคือ นักแสดง บท โลเกชัน และกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ

ในส่วนนักแสดง ต้องขอชื่นชมพระนางของเรื่อง นาย-ณภัทร ในบทบาทปาล์ม ลบภาพชายหนุ่มผู้สุขุม พูดน้อยออกไปเลย สิ่งที่เราจะเห็นนายในเรื่องนี้คือความนิ่งแต่ทะเล้น ความกวน ความทะลึ่งตึงตังที่มีเสน่ห์ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เราเชื่อว่าผู้ชายคนนี้เป็นเสือผู้หญิง ถึงจะยังรัก Friend Zone ของตัวเอง แต่ก็ไม่แปลกที่จะมีสาวๆ เข้ามาในชีวิตมาก และในขณะเดียวกันก็ทำให้เราเชื่อว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เป็นความสบายใจเพียงหนึ่งเดียวของกิ๊ง

ส่วนกิ๊งที่รับบทโดยใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ก็เป็นภาพใบเฟิร์นในแบบที่เราไม่เคยเห็น ความบ้า ความรั่ว ความเพี้ยน ความจู้จี้จุกจิก ความทำอะไรโดยไม่แคร์โลก ไม่สนสี่สนแปด เชื่อว่าผู้หญิงคงต้องแอบรู้สึกหมั่นไส้จนถึงขั้นอยากตบ เชื่อว่าผู้ชายคงเกิดคำถามว่าไอ้ปาล์มมันรักยัยนี่ไปได้วะ!

นักแสดงรองอย่างเจสัน ยัง ในบทของพี่เท็ด ก็ดูเป็นผู้ชายที่อ้อนแฟนเก่ง น่ารัก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะไว้ลาย จนทำให้แฟนสาวอย่างกิ๊งต้องหวาดระแวงอยู่บ่อยๆ แต่ที่ขอชื่นชมเป็นพิเศษคือทีมพันธมิตร Friend Zone ทั้ง 3 ของปาล์ม คือเล่นกันได้อย่างเข้าขา ให้ความรู้สึกว่าสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางไหน โดยไม่จำเป็นต้องใช้สรรพนาม-กู (ทั้งที่ก็เป็นผู้ชายกันหมด) แสดงดีจนสุพรรณหงส์ปีหน้า อยากให้เข้าชิงสมทบชายกันไปทั้ง 3 คนเล้ย!

ในความธรรมดาของหนัง Friend Zone กลับมีกิมมิคที่ไม่ธรรมดาหลายอย่างที่ทำให้เราจำได้ ไม่ว่าจะการโฆษณาอย่างหน้าด้านๆ แต่กลับไม่น่าเกลียด และเราให้ผ่าน เรื่องราวที่บอกเล่าเกี่ยวกับวงการเพลง นางเอกชอบร้องเพลง นางเอกกับแฟนทำอาชีพเกี่ยวกับเพลง จึงมีบทเพลงหลายเพลงที่อยู่ในความทรงจำของผู้คน ปรากฏอยู่ในเรื่อง และเพลงที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องเลยคือเพลงคิดมาก จากต้นฉบับปาล์มมี่ สู่นักร้องนานาประเทศ

ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องโลเกชันก็ดีงามไม่แพ้กัน ทั้งในประเทศ และนานาประเทศเพื่อนบ้าน ภาพสวย สถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดให้ไปตามรอย เราชอบตอนที่พระนางอยู่กระบี่แล้วกล้องก็แพลนให้เห็นถึงภาพรวมของหมู่เกาะที่นั่น คือแค่ไปดูเรื่องสถานที่ ความสวยงาม ความน่าตามรอยเท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว

ส่วนเรื่องบท การเล่าเรื่องทำได้ดี แม้จะเล่าในมุมมองของปาล์ม แต่คนดูอย่างเราๆ ก็สามารถคาดเดาความรู้สึก ความคิดของกิ๊งได้ไม่ยาก จุดที่เนือยคือช่วงกลางเรื่องที่นางเอกตามหึงพี่เท็ดไปแทบทุกประเทศ แล้วก็มีเหตุให้ต้องลากหรือมีเหตุให้ดึงพระเอกเข้ามาเกี่ยวด้วย ช่วงนั้นค่อนข้างเนือยในความรู้สึกเรา (มาติดลมก็ตอนอยู่ฮ่องกง)

มุกตลกไหลรื่น ไม่ฝืด มีตั้งแต่ระดับอมยิ้มไปจนถึงระดับขำกร๊าก ฮากระจาย หลายซีนมากที่เป็นซีนตลกแล้วทำให้เราชอบ ประทับใจจนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ ไม่ว่าจะเป็น การแปลงเพลงของพระเอก ซีนโหนที่ฮ่องกง สารพีดซีนที่นางเอกร้องเพลง ซีน 4 หนุ่ม Friend Zone ประชุมกัน ซีนขับมอเตอร์ไซค์ที่กระบี่ ซีนซื้อถุงยาง ฯลฯ ถ้ายกมาหมดเชื่อว่ากระทู้นี้คงยาวยิ่งกว่านี้แน่ หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว

Friend Zone เป็นหนังรักที่การเล่าเรื่องมีเสน่ห์มาก แม้จะเล่าในมุมมองความรู้สึกของปาล์ม แต่คนดูสามารถรับรู้ คาดเดา และเข้าใจความคิด ความรู้สึกของกิ๊งได้ไม่ยาก (ตั้งแต่ซีนแรกๆ บนเครื่องบินก่อนถึงสุวรรณภูมิเลย) บทสนทนาเป็นธรรมดา นาย กับ ใบเฟิร์น ทำให้เราเชื่อได้ว่าเป็นเพื่อนกันมาสิบปีจริงๆ เล่นได้เข้ากันจนเรารู้สึกได้ว่าสองคนนี้อินกับบทบาทที่ตนได้รับมาก

ซีนที่เราประทับใจมาเป็นพิเศษมีอยู่สองซีน ซีนแรกคือสปาเบียร์ ปกติหนังค่ายนี้ ต่อให้เป็นโทนคอเมดี้ แต่ช่วงท้ายเรื่องก็จะต้องมีจุดดราม่าจี๊ด ๆ ที่ทำให้คนดูรู้สึกเศร้าตาม หน่วงหัวใจตาม แต่สำหรับ Friend Zone ซีนดราม่าที่สปาเบียร์ ไม่ได้ดราม่าหนักหน่วงอะไร แต่มันผสมกับความคอเมดี้ลงไป ซึ่งมันกลมกลืนมากๆ กลายเป็นว่าจะหน่วงก็หน่วงไม่มากเพราะยังมีอารมณ์ขำ แต่จะขำก็ขำได้ไม่สุดเพราะรู้ว่าในสถานการณ์นี้ ในความรู้สึก ณ ตอนนั้นของปาล์มกับอิ๊ง ยังไงก็ขำไม่ออก เป็นสองความรู้สึกที่ดูจะไม่เข้ากัน แต่เมื่อมารวมอยู่ซีนเดียวกันใน Friend Zone สปาเบียร์ค่ำคืนนั้นก็ทำให้เราเชื่อได้ว่านี่จะเป็นอีกซีนที่อยู่ในความทรงจำของผู้ชมไปอีกนาน (แอบเมาท์ว่าสาเหตุที่ปาล์มลุกออกมาจากอ่างไม่ได้ ไม่ต้องรอให้เฉลยเลย คนสัปดนอย่างเราก็เข้าใจได้แล้ว ฮาาา รู้สึกว่าถ้าไม่เฉลยว่าทำไมถึงลุกไม่ได้ ปล่อยให้คนดูคิด น่าจะให้ความฮาไปอีกแบบนึง)

อีกซีนคือซีนที่พระนางไปสักการะพระธาตุชเวดากองด้วยกัน ด้วยบรรยากาศ ด้วยแสงในยามกลางคืน ด้วยแสงเทียนในมือของปาล์ม มันสร้างความโรแมนติกได้อย่างกลมกลืน และสวยงาม เป็นความสวยงามที่ทำให้เรเกิดความรู้สึกอยากไปเที่ยวพระธาตุชเวดากองในทันทีทันใด แสงเทียนในมือปาล์มที่ถูกส่งต่อไปยังเทียนในมือกิ๊ง ทำให้เรารู้ว่าความหวังของกิ๊งที่อับแสงไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความหวังเรื่องความรักที่ดับมอดลง แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในความมืดมนของกิ๊งก็คือปาล์ม เขาคือแสงสว่างที่โชนฉานในชีวิตกิ๊ง นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่ามกลางผู้ชายที่ผ่านมาในชีวิตของกิ๊ง ผ่านไปเพื่อผ่านไป แต่ปาล์มคือผู้ชายคนเดียวที่เธอไม่ต้องการสูญเสีย

เรื่องราวดำเนินเรื่องแบบเรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง ค่อยๆ ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพระนาง ว่าจะเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นมากกว่าเพื่อนได้อย่างไร แต่จุดที่เราเสียดายมากที่สุด คือจู่ๆ ก็เล่ารวบรัดเอาดื้อๆ กับตอนที่กิ๊งตัดสินใจกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่เธอจะได้ไปดูแสงเหนือ คือเรามองว่านั่นคือจุดพีคของเรื่อง ควรจะเป็นซีนที่สำคัญอีกซีนของหนังเรื่องนี้เลยนะ แทนที่จะเรารวบรัดผ่านคำพูดของนางเอก น่าจะขยายรายละเอียดเหตุการณ์นั้นเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

โดยรวมแล้วสาระสำคัญที่เราได้จากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน คนที่คบกันเป็นเพื่อนมากกว่า 10 ปี เป็นมากกว่าเพื่อน เป็นทุกอย่างให้กันและกัน การจะฝ่าฟันอะไรมาได้จนคบกันได้ยาวนานขนาดนี้ สิ่งสำคัญคือการยอมรับข้อเสียของกันและกัน ยอมรับในสิ่งที่ต่างฝ่ายมี การอยู่เคียงข้างกันและกันทั้งยามสุขสุดสุด และยามทุกข์สัดสัด เมื่อยอมรับ เมื่อเปิดใจ และเมื่อรักกัน ไม่ว่าจะในสถานะใดก็คบกันรอด จะ 10 ปี หรือ 20 ปีก็เถอะ

ข้อเสียของนางเอกมีเยอะมาก งี่เง่า เจ้าอารมณ์ จู้จี้ เอาแต่ใจ ขี้ระแวง ใจร้อน ในขณะที่พระเอกเหมือนจะไม่มีข้อเสียอะไร แต่ความยอมไปเสียทุกเรื่อง ความตามใจสาวเจ้าทุกเรื่องของเขานี่แหละที่เรามองว่าเป็นข้อเสีย มันยิ่งทำให้ยัยกิ๊งทวีความน่าลำไย แต่ก็นั่นละ…เมื่อยอมรับกันได้ เมื่อไม่ทอดทิ้งกัน เมื่อรักกัน เมื่อเวลาที่ยาวนานเพียงใดก็ไม่อาจทำลายหรือพรากหนุ่มสาวคู่นี้ให้ไกลกัน ไม่ว่าจะคบกัน หรือจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน จะเพื่อน หรือแฟน อย่างไรก็ไปกันรอด.

ใครไปดูมาแล้ว มีความคิดเห็นอะไร มาคุยกันได้นะครับ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

 

 

รีวิวหนังไทย น่าจะตั้งใจเอาดีกับแนวผีอย่างเดียวแล้วล่ะสำหรับผู้กำกับจิม โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ เพราะรู้สึกจะไปได้ดี จิมจึงสร้างหนังผีเฉลี่ยทุก ๆ 3 ปี ตั้งแต่ โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต (2551) ลัดดาแลนด์ (2554) และ ฝากไว้ในกายเธอ (2557) แล้วก็มาถึง “เพื่อน..ที่ระลึก” ผลงานกำกับเรื่องที่ 4 ซึ่งจิม ยังคงพ่วงหน้าที่เขียนบทเองเช่นเคย จิมรับไอเดียมาจากพี่เก้ง จิระ มะลิกุล ที่เห็นข่าวว่าบรรดาฝรั่งในไทยขนานนามตึก “สาทรยูนิคทาวเวอร์” ว่า “Bangkok Ghost Tower”ก็เลย

 

มาคุยกับจิมว่าน่าสร้างหนังเกี่ยวกับผีตึกร้างนะ บวกกับ วัน วรรณฤดี ผู้อำนวยการสร้างก็ซื้อลิขสิทธิ์ไอเดียเรื่อง เพื่อนสองคนนัดกันไปฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่อีกคนกลับกลัวแล้วไม่ฆ่าตัวตายตาม จิมก็นำทั้ง 2 ไอเดียผนวกกันออกมาเป็นบทภาพยนตร์ “เพื่อน..ที่ระลึก”

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

หน้าหนังมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เป็นจุดน่าสนใจ ทั้งพลอตเกี่ยวกับผีอาฆาตทวงสัญญาที่ว่าจะฆ่าตัวตายไปด้วยกัน เป็นชื่อภาษาอังกฤษของหนังด้วย “The Promise” ก็เป็นพลอตที่เหมาะมากสำหรับหนังผีซักเรื่อง และการที่ทีมงานได้รับอนุญาต

จากเจ้าของตึก “สาทรยูนิคทาวเวอร์” ให้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำได้ ยิ่งเข้ากับธีมเรื่อง ตึกเองก็มีความสยองอยู่มาก เพราะเคยเป็นมีข่าวดังตอนปี 2557 ที่ช่างภาพไปเจอศพฝรั่งผูกคอตาย และเรื่องนี้ก็เป็นการกลับมาร่วมงานกันของเมนเทอร์บี และลิลลี่ ลูกทีมของเธอเองจาก The Face Thailand Season 2 เป็นการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกของทั้งคู่ด้วย

จิม ดึงความน่ากลัว ทัศนียภาพของตึกสาทรยูนิค มาใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ทั้งภาพโดรนจากภายนอกตึก กล้องบินวนรอบ ถ่ายจากมุมสูง ทำให้เราได้เห็นมุมแปลก ๆ ของตึกที่คุ้นตาคนกรุงเทพฯ มาตลอด 20 ปี มีทั้งความสวยและน่ากลัว รวมถึงฉากภายใน ก็ดึงซอกหลืบ ทางเดิน มืด ๆ น้ำแฉะ ๆ มาใช้ในฉากสยองได้ดีเช่นกัน ดูแล้วเห็นพ้องกับที่ทีมงานได้เกริ่นไว้ว่า ตึกสาทรยูนิคทาวเวอร์ เปรียบได้กับอีก 1 ตัวละครของเรื่องนี้ ตัวตึกทำหน้าเชื่อม 2 ช่วงเวลาที่ห่างกัน 20 ปีได้ตรงโจทย์ที่สุด เป็นจุดที่ทำให้เกิดเรื่อง และจบเรื่อง

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

ชอบบทนำของหนังครับ กับการเล่าเรื่องในปี 2540 ชนวนเหตุจาก อิ๊บ กับ บุ๋ม 2 เพื่อนรักลูกสาวมหาเศรษฐีที่รวมหุ้นกันสร้างตึก”สาทรเสตท” (ชื่อตึกในเรื่องนี้) แล้วพ่อของทั้งคู่ก็อยู่ในกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่ร่วงไปพร้อมกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ชีวิตของอิ๊บ กับ บุ๋ม พลิกจากสุขสบายมาลำบาก ความบีบคั้นรอบด้าน ทำให้ 2 สาวคิดสั้นและเลือกชั้น 47 สูงสุดของตึกเป็นที่นัดปลิดชีวิตด้วยกัน ฉากนี้ถือว่าช็อคคนดูได้โหด ได้แรงมาก เรื่องราวในปี 2540 เป็นจุดที่ต้องชืนชมทีมงานที่ทำให้คนเคย

ผ่านยุคนั้นได้หวนคิดถึงบรรยากาศทั้งที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำ ด้านความรู้สึกดี ๆ ทำให้เราได้หวนคิดถึงช่วงวันเวลาเคยวนเวียนกับ เพจเจอร์ ตู้สติกเกอร์ สเก็ตซ์น้ำแข็ง ส่วนด้านความทรงจำอันเลวร้ายก็คือบรรดาภาพฟุตเตจของวิบากกรรมที่บางคนได้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในวันนั้น ก็ถือว่าทีมงานทำการบ้านตรงนี้มาได้ละเอียดดีครับ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

จุดหนึ่งที่ชื่นชมสปิริตของ GDH ในขณะที่เป็นค่ายหนังของแกรมมี่ แต่กลับเลือก “เดียวดายกลางสายลม”ของ นรีกระจ่าง คันธมาส ซึ่งเป็นผลงานของค่ายวอร์เนอร์มิวสิคมาใช้เป็นเพลงธีมของหนัง เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากครับ เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม “ราชินีพระจันทร์” ออกมาปี 2537 ใกล้กับเหตุการณ์ในหนังปี 2540 อารมณ์เพลงหลอนเข้ากับบรรยากาศหนัง เนื้อหาก็หดหู่ ท้อถอยหมดหวัง เป็นเพลงในอันดับต้น ๆ ที่คนฟังแล้วอยากฆ่าตัวตาย ก็เข้ากับเนื้อหาของหนังที่อิ๊บฟังเพลงนี้ก่อนเข้าฉากฆ่าตัวตาย บี น้ำทิพย์ คัฟเวอร์เพลงนี้มาใช้เป็นเวอร์ชั่นโปรโมตหนังด้วย อารมณ์ต่างจากต้นฉบับอยู่มากนะ

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

หนังยาวเกือบ 2 ชั่วโมง แต่เดินเรื่องได้เร็ว พอตัดเข้าเรื่องราวในปีปัจจุบัน ก็ใช้เวลาไม่นานกับการกลับมาของ “อิ๊บ” ที่จัดเต็มตอบสนองคอหนังผีได้อย่างอิ่มเอม เพราะผีอิ๊บถือว่าแค้นและดุมาก ยิ่งเพิ่มโจทย์เรื่องกรอบเวลา ที่ผีอิ๊บจะต้องเอาชีวิตของเบลไปให้ได้ก่อนที่เบลจะอายุครบ 15 ปี ในอีก 6 วันข้างหน้า เพราะอิ๊บและบุ๋มก็อายุ 15 ในวันที่ทั้งคู่นัดกันฆ่าตัวตาย เราก็เลยได้ดูการรังควานของผีอิ๊บที่ตามแม่ลูกมาถึงที่พัก ก็เปิดโอกาสให้ใส่ฉากลุ้นผีได้ถี่ ๆ มีทั้งหลอกให้ลุ้นเก้อ และลุ้น

แล้วก็เจอตุ้งแช่แรง ๆ หนังเขียนมาให้แม่ลูกอยู่กันแค่ 2 คนในคอนโดหรู สถานะผู้หญิง 2 คนโดนผีหลอกกลางดึก จัดได้ว่าเป็นเหยื่อที่น่าสงสารในหนังผี แต่ขณะเดียวกันจุดนี้ก็กลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในบทหนังที่ไกลความเป็นจริง ชวนให้ตั้งคำถามว่าทำไมไม่หาใครมาอยู่ด้วยในสภาวะเช่นนี้ หนังฟรี หนังใหม่

จุดแตกต่าง

จุดแตกต่างอย่างหนึ่งที่ “เพื่อน..ที่ระลึก” เลือกใช้ให้แตกต่างจากขนบหนังผี คือการเล่นกับจินตนาการคนดู “เพื่อน..ที่ระลึก” เป็นหนังผีที่แทบไม่เห็นผี ตลอดเรื่อง เราเห็นร่างของผีอิ๊บน้อยมาก ไม่มีภาพผีน่ากลัวพุ่งเข้าใส่กล้อง แต่ใช้ประโยชน์จากเสียง แสง ฉาก สร้างบรรยากาศหลอนได้สัมฤทธิ์ผล และที่สำคัญคือการแสดงของลิลลี่ ที่รับหน้าที่สื่ออารมณ์หลอนเองล้วน ๆ เพราะบทเขียนให้เบล สื่อสารกับผีอิ๊บได้ หลาย ๆ ฉากคนดูก็ได้หลอนไปกับตัวเบลเนี่ยแหละ ไม่ใช่ผีอิ๊บหรอก บางทีเบลก็พูดกับอิ๊บ บางทีเบลก็อยู่ในอากัปกิริยาที่เหมือนโดนผีเข้า จัดเป็นงานแรกที่ยากสำหรับลิลลี่ แต่เธอก็ทำได้ดีครับ

นอกจากตึกสาทรยูนิคทาวเวอร์ ทำหน้าที่สำคัญในหนังแล้ว บรรดาอุปกรณ์สื่อสารเองก็มีบทบาทอย่างมาก ตอนต้นก็คือ “เพจเจอร์” ที่อิ๊บและบุ๋มสื่อสารกัน มีข้อความที่ทั้งคู่ส่งหากันค้างอยู่ในเครื่องเป็นสิ่งตอกย้ำคำสัญญา ผ่านมา 20 ปี โทรศัพท์มือถือก็รับหน้าที่สำคัญต่อ มันทำหน้าที่ทั้งในส่วนดราม่าและฉากหลอนของหนัง แม่ลูกโทรหากันหลายครั้งมากทั้งในยามแฮปปี้กุ๊กกิ๊ก และในยามคับขันลุ้นระทึก ในทางตรงกันข้าม ผู้กำกับจิมก็ใช้มัน ทำหน้าที่ ได้ดีมากในฉากหลอน ชอบมากกับฉากในห้องมืด ๆ แล้วตัวละครมองอะไรไม่เห็นจึงต้องมองภาพผ่านกล้องมือถือแทน เป็นฉากที่ชวนลุ้นมากจริง ๆ อีกฉากที่ชอบมากคือฉากของ “หม่อน” ไม่บอกรายละเอียดครับ ไปลุ้นกันเองเถอะฉากนี้ โคตรสงสารเด็ก

ผู้กำกับ จิม โสภณ ศักดาพิสิษฐ์
สิ่งหนึ่งที่ต้องเน้นย้ำกันไว้ ว่าแม้ผีจะดุหนังจะหลอนรุนแรง แต่ปริมาณความหลอนของหนังก็ไม่ได้กลบเนื้อหาอารมณ์ในส่วนของดราม่าที่คลออยู่กับเรื่องราวตลอด ความรักความผูกพันของเพื่อนทั้งตอนเป็นและตอนตายที่กลายมาเป็นประเด็นของเรื่องราว และความรักของแม่ลูกที่มีต่อกัน สื่อให้เรารับรู้ผ่านการแสดงของบีและลิลลี่ โดยมีสื่อต่าง ๆ อย่างอัลบั้มภาพเก่า จดหมาย วอยซ์เมล ที่ทั้งคู่ต่างส่งหากันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งหมดล้วนถูกใช้เป็นแรงขับเน้นพลังของตัวละครแม่ลูกให้ฮึดสู้กับผี

อิ๊บ ทั้งยังเป็นการเปิดประเด็นให้คนดูคาดเดาว่าหนังจะลงเอยด้วยแม่ยอมเสียสละให้ลูก หรือจะพลิกเป็นลูกยอมเสียสละให้แม่ หนังลากช่วงท้ายต่ออีกยาวเหมือนหาทางออกสวย ๆ ไม่ได้ ไปดูเองแล้วกันว่าหนังจะหาทางออกกับโจทย์นี้ยังไง บทเขียนมาให้ตัวละครบุ๋มต้องทำหน้าที่เหนื่อยมาก เป็นบทที่ใช้งานบีได้คุ้มค่ามาก บทบุ๋มมีดิ่งลงสุดหดหู่ ฟูมฟาย ยอมแพ้ แล้วก็มีช่วงลูกบ้าขึ้น เดิมพันกับผีแบบที่เราก็คาดไม่ถึง มองเห็นถึงความทุ่มเทตั้งใจของบีจริง ๆ ครับ เล่นแบบไม่ห่วงสวยเลย

เป็นหนังผีที่เต็มไปด้วยฉากผีหลอก ทั้งหลอนทั้งตุ้งแช่ โดยไม่ต้องมีภาพผีแหวะ ๆ น่ากลัวให้เห็น แม้ผลลัพธ์จะยังไม่ถึงขั้นงานระดับต้น ๆ ของ GDH แต่ก็จัดได้ว่าเป็นงานในกลุ่มด้านบวกที่ควรค่าแก่เวลาและค่าตั๋วครับ

สรุป .. หนังสนุกตามสไตล์ค่าย ถึงแม้มันจะไม่พีคเหมือนที่เราคาดหวังใว้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าหนังผีไทยเรื่องอื่นในพักหลังๆมานี้ ที่สำคัญ ดรามาตอนท้ายคือดีมาก เรียกน้ำตาได้เลยนะสำหรับคนอ่อนไหวง่าย ส่วนใครที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะดูเรื่ีองอะไรดี เพราะมีทั้งผีตัวตลกitกับผีไทย ผมแนะนำว่าให้ดู 2 เรื่องนั่นแหละ สนุกทั้งสอง แต่ดูเพื่อนที่ระลึกก่อน จะเป็นการซ้อมกรี๊ดเบาๆ และ ค่อยไปกรี๊ดแบบจัดหนักกับ it
… ดูหนังให้สนุกนะ นอกจากรักลูกเพจทุกคนแล้วผมก็ไม่เก่งอะไรอีกเลย ..
8/10 คะแนน .. ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

 

 

รีวิวหนังไทย คนเก่าที่ติดอยู่ในใจใคร ๆ ก็มี รีวิว One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ ภาพยนตร์เรื่องเหล้าว่าด้วยแฟนเก่าส์ ความรัก มิตรภาพ และการเดินทาง ค็อกเทลแก้วใหญ่ที่ หว่องกาไว และ บาส นัฐวุฒิ ร่วมกันคิดสูตรขึ้นมา คุณไม่มีทางสัมผัสได้ว่ามันสวยงามยังไง จนกว่าจะได้เข้าไปลิ้มรสชาติด้วยตัวคุณเอง

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

นักแสดงหลัก ต่อ และ ไอซ์ ผู้รับบทบาสและอู๊ด ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ดีมาก ส่วนบทของแฟนเก่า ออกแบบชนะเลิศแม้ว่าจะโผล่มาแค่ช่วงสั้นๆ ส่วนนักแสดงระดับเทพอาวุโสทั้งธเนศและรฐาก็กลมกลืนไม่ข่มนักแสดงหลักเหมือนเรื่องอื่นๆ
สำหรับผู้โพสต์รู้สึกว่าเรื่องนี้ดูแล้วมีความสุขเกินคาด ไม่เศร้าหรือกดดันอย่างที่กลัว ชื่นชมที่ตัวละครแสวงหาความเข้าใจในกันและกัน ส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็มีเรื่องของครอบครัวสองตัวเอกท่ีจงใจให้เกิดปมชีวิต
เพลง Tiny Dancer ของ Elton John ใส่เข้ามาก่อนออกเดินทางตรงนี้รู้สึกเหมือนหนังเรื่อง Almost Famous ก่อนออกเดินทางเหมือนกัน เพลงเพราะมากแต่แอบสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเพลงนี้

ติดต่อเพื่อเริ่มต้นเดินทาง

อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) ติดต่อหา บอส (ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร) เพื่อบอกว่าเขากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง และต้องการให้บอสซึ่งเป็นเพื่อนของเขาช่วยอะไรบางอย่าง บอส ซึ่งเปิดบาร์อยู่ที่นิวยอร์กจึงเดินทางกลับมาประเทศไทยตามคำขอของเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน

อู๊ดต้องการบอกลาและนำของไปคืนแฟนเก่าเติม s แต่ละคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตและเลิกรากันไป คือ อลิซ (พลอย หอวัง) หนูนา (ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) และ รุ้ง (นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) โดยให้บอสเป็นสารถีขับรถเก๋งคันเก่าแต่ยังเก๋า ไปส่งอู๊ดทำตามความตั้งใจครั้งสุดท้ายในชีวิต

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

 

อู๊ดได้ตั้งคำถามถึงแฟนเก่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของบอส ซึ่งก็คือ พริม (วี วิโอเลต วอเทียร์) คำถามนี้ได้เขย่าเรื่องราว รวมถึงความทรงจำเก่า ๆ มากมายที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของบอสและพริม ให้หวนกลับมาพูดถึงอีกครั้ง ส่วนบทสรุปของการเดินทางครั้งนี้จะเป็นยังไง ต้องไปติดตามกันต่อเองในโรงภาพยนตร์ค่ะ

ภาพยนตร์ที่มีมากกว่าการกลับไปบายแฟนเก่า

เรื่องราวในอดีต ตัวตนของเราที่เปลี่ยนไป และแฟนเก่า ล้วนเป็น “ความเก่า” ที่ผ่านไปแล้ว และหลายคนคงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรรื้อฟื้น ไม่ได้อยากเคาะสนิมมันขึ้นมาอีกครั้ง หรืออาจตั้งคำถามเหมือนบอสอีกด้วยว่า “มึงกลับไปทำไม” แต่แน่นอนแหละว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง อู๊ดก็เหมือนกัน และเหตุผลของอู๊ดก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของเรื่องราวนี้ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ หนังไทย

เราจะเห็นสิ่งสำคัญสองสามอย่างในทีเซอร์

แฟนเก่าส์ของอู๊ด
ค็อกเทลแฟนเก่าที่บาร์เทนเดอร์บอสชงให้อู๊ด
การเดินทางไปเจอแฟนเก่า
คำว่า แฟนเก่า ดูจะเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ แต่ One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ เป็นภาพยนตร์คนเหงาที่มีอะไรมากกว่านั้นเยอะ(มาก) ด้วยชื่อของผู้กำกับหว่องกาไว ในบทบาทผู้อำนวยการสร้าง และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ หัวเรือสำคัญอีกหนึ่งคน บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ซึ่งเขาเคยฝากฝีมือที่น่าประทับใจไว้ในภาพยนตร์เรื่อง ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius) มาแล้วด้วยค่ะ

นอกจากนี้คุณบาส ยังเป็นผู้กำกับชาวไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล World Dramatic Special Jury Award จาก Sundance Film Festival 2021 เทศกาลภาพยนตร์นอกกระแสอีกด้วย รับรองเลยว่าหลังจากได้ดูจบแล้ว เรื่องราวทั้งหมดจะเดินทางเข้าไปอยู่ในใจคุณได้ไม่ยาก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนค็อกเทล ที่มีบาร์เทนเดอร์ชื่อ หว่องกาไว และ บาส ช่วยปรับรสชาติให้ดื่มได้ทุกคน

งานภาพระดับรางวัล

แฟนหนังหว่องที่เคยมีภาพในหัวว่า ถ้าทำหนังไทยแบบหว่อง ๆ มันจะออกมาเป็นยังไง คำตอบนั้นก็คือ One for the Road เรื่องนี้แหละ ความเฉียบในการกำกับของคุณบาส ทำออกมาได้ชัดเจนพอ ๆ กับลายเซ็นความเหงาของหว่องกาไว การันตีด้วยรางวัลด้าน Creative Vision ทั้งจังหวะเล่าเรื่องและการตัดต่อ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นค็อกเทลรสเข้มข้น ที่เมื่อได้สัมผัสแต่ละคนจะรู้สึกต่างกันออกไป แล้วแต่ประสบการณ์ในชีวิตที่เจอมา

นอกจากหนังจะพูดถึงความรัก มันยังพูดถึงชีวิตอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวนี้ทำให้อาจจะมีสักจุดหนึ่งในหนังที่กระตุกความรู้สึกบางอย่างในใจคุณ และกระตุกต่อมน้ำตาได้ไม่ยากเลย

ความดีงามอีกเรื่องที่อยากพูดถึงก็คือ เพลง “Nobody Knows” และเพลง “ถ้าเธอ” ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ ถ้าใครไม่เคยฟัง อยากแนะนำให้ไปลองฟังดูสักครั้ง เพลงเพราะและติดอยู่ในใจสุด ๆ ชนิดที่ว่าฟังแล้วต้องนึกถึงหรือแอบใส่ใครสักคนไว้ในเพลงแน่นอน

รีวิว One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ หนัง

One for the Road ค็อกเทลรสชาติดีที่อยากบอกต่อ หนังฟรี หนังใหม่

 

ความรู้สึกส่วนตัว

เราไม่อยากให้คะแนนหนังเรื่องนี้ออกมาเป็นตัวเลข เพราะเกณฑ์เรื่องคุณภาพ การแสดง องค์ประกอบต่าง ๆ ในหนังมันอาจจะไม่ได้หยุดแค่เต็มสิบ เพราะเราสามารถพูดได้เต็มปากว่ารสชาติมันเข้มข้นมากพอ ที่จะทำให้เราอยากแนะนำและบอกต่อให้คนอื่น ๆ ได้ไปดูด้วยตัวเอง

เมื่อดูจบแล้ว ถ้าไม่คลายปมก็อาจจะขมวดปมความรู้สึกในใจบางอย่างขึ้นมา เพราะเหตุการณ์ในเรื่องมันช่าง Nobody Knows เราไม่มีทางรู้ว่าถ้าทำลงไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกันถ้าเราไม่ทำ มันก็อาจจะติดค้างในใจเราไปตลอดก็ได้

เหมือนหนังกำลังสะกิดบอกให้เราเลือกใช้ชีวิตแบบที่จะไม่รู้สึกผิดกับตัวเองดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วเราทุกคนต่างก็แวะมาที่โลกใบนี้แค่ไม่นาน นี่คือรสชาติค็อกเทลแก้วนี้ที่เราสัมผัสได้ แล้วถ้าอยากรู้ว่ารสชาติของคุณจะเป็นแบบไหนก็ไปชมกันได้ เข้าฉายแล้วทุกโรงภาพยนตร์ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

อาจจะรู้สึกแปลกสักนิดแต่จะขอทิ้งท้ายไว้ว่า ก่อนเข้าไปชมภาพยนตร์อยากให้คุณลืมทุกอย่างที่รีวิวนี้เขียนไว้ แล้วทำใจให้โล่ง ๆ ปล่อยใจไปกับชีวิตที่ดำเนินไปของแต่ละตัวละคร เหมือนคุณเป็นแก้วเปล่าใบหนึ่ง รอให้ One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ รินเรื่องราวเข้ามา และเมื่อจบเรื่องมันจะปริ่มขอบแก้วแบบพอดี

รับรองว่าถ้าคุณทำตามคำแนะนำนี้ คุณจะพบเจอชิ้นส่วนสักเสี้ยวในภาพยนตร์ที่ทำให้คุณรู้สึกไปกับพวกเขาอย่างจัง และอย่างน้อยพอถึงวันต้องเดินทางไปจากโลกใบนี้ คุณอาจจะได้คำตอบว่าตัวเองต้องการ one for the road แก้วสุดท้ายแบบไหนก็ได้นะ

 

สารภาพว่าตั้งตารอดูหนังเรื่องนี้ หลังจากไม่ได้สนใจดูหนังมาสักพัก หลังจากวนดู teaser มาเกือบ 20 รอบ
บวกกับสะดุดหูกับเพลงประกอบภาพยนต์ทั้งเวอร์ชั่นไทย และเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
จุดที่ทำให้อยากดู คืออะไรที่ทำให้คนๆนึงที่ใกล้ตายอยากกลับไปหาแฟนเก่าว่ะ เพื่อ???
เลยจัดไปเลยวันนี้ รอบแรก
ออกตัวก่อนว่ารีวิวแบบคนดูบ้านๆ นะคะ ?
เรื่องของนักเเสดง ไม่ติดอยู่แล้ว ทุกคนถูกการันตีในเรื่องของการแสดงอยู่แล้ว

 

หนังเดินเรื่องดี ส่วนตัวไม่รู้สึกว่าเนือย เข้าเรื่องไว มีปมพีคที่บางคนอาจจะเดา

ได้ แต่เรานึกไม่ถึง55
มีตัวหลอกเยอะ ที่ดู teaser เทียบไม่ได้เลย พอดูจบ teaser หลอกเราเต็มๆ
ภาพสวย mood ดี สรุปว่าตอนแรกคิดว่าจะเป็นหนังเนือยๆอารมณ์คนใกล้ตายย
อยากทำอะไรก่อนตายย อุตส่าเตรียมทิชชูมา สรุปผิดถนัด เราชอบนะ ให้ 8/10
อยากให้ทุกคนไปดู แล้วมาคุยกันนะ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รีวิวหนังไทย จากเวอร์ชัน ภาพยนตร์ ที่ทำรายได้สูงมากๆ เลยทีเดียว ในประเทศไทย ก้าวไปลือลั่น ในต่างประเทศ ถูกซื้อในฉายในหลายๆ ประเทศ คว้ารางวัลจากหลากเทศกาลหนังทั่วโลก ถูกตีพิมพ์เป็นนิยาย และวันนี้กลายเป็นละครที่ฉายให้คนไทยได้ดูกันทั้งในทีวีและออนไลน์ แน่นอน ผมกำลังพูดถึง ‘ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์’ หรือชื่ออังกฤษก็ ‘Bad Genius The Series’ นั่นเอง

ข้อสอบชุดนี้เป็นการรีวิว ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ EP.1-2 ที่ฉายไปแล้วทางช่อง ONE 31 และทางออนไลน์ในแอปพลิเคชัน WeTV และ EP.3-4 ซึ่งมีการจัดฉายรอบ Special Screening ณ Paragon Cineplex เมื่อวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ

 

จากจุดเริ่มต้นการโกงข้อสอบในห้องเรียน.. จะลุกลามบานปลาย จนกลายเป็นการโจรกรรมข้อสอบระดับประเทศ พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่แค่นักเรียนมัธยม แต่คือตัวแทนที่สะท้อนการโกงในทุกระดับชั้นของสังคมไทย จากภาพยนตร์ปรากฏการณ์ ฉลาดเกมส์โกง สู่ละคร ฉลาดเกมส์โกง ที่จะพาคุณไปไกลกว่าเดิม ด้วยเรื่องราว ตัวละคร

เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

 

 

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

 

และบทสรุป ที่ใหญ่กว่า ใหม่กว่า และท้าทายยิ่งกว่า! หลังจากที่ ‘ฉลาดเกมส์โกง’ (Bad Genius) เวอร์ชันภาพยนตร์ที่กำกับโดย นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ที่ออกฉายในปี 2560 สามารถกวาดเสียงตอบรับชื่นชมท่วมท้น กวาดรายได้ไปกว่า 113 ล้านบาทในประเทศไทย แถมยังออกไปโกยรายได้ในอีกหลาย ๆ

 

ประเทศทั่วโลก มาในปีนี้ GDH จึงได้เริ่มพัฒนาหนังเรื่องนี้ให้อยู่ในรูปแบบของซีรีส์ และเปลี่ยนนักแสดงใหม่ทั้งหมด ในชื่อ ‘ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์’ (Bad Genius The Series) โดยครั้งนี้ ทาง GDH ได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงเจ้าใหญ่ของจีนอย่าง WeTV ที่จะฉายซีรีส์นี้ในรูปแบบ Simulcast ให้คนไทยและคนจีนกว่าพันล้านคน ได้ชมไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าโดยรวมของซีรีส์เรื่องนี้ จะมีภาพรวมที่ชวนให้คิดไปว่าจะดึงเอากลิ่นอายเดิมจากในหนังมาชัดเจน และให้หมายรวมไปถึงพล็อตที่เน้นหนักในเรื่องของการเปิดโปง ตีแผ่เรื่องราวดราม่าในโรงเรียน ทั้งเรื่องของความเหลื่อมล้ำ โอกาสทางการศึกษาที่มี

 

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

 

ไม่เท่ากัน รวมไปถึงประเด็นดาร์กโลกแตกอย่างเรื่องของการ เรียกแป๊ะเจี๊ยะ การที่ครูหารายได้เสริม ด้วยการติวพิเศษ แล้วแอบเอาข้อสอบมาเฉลยก่อน อันนำไปสู่สาเหตุของการ “โกง” ตั้งแต่การโกงข้อสอบเล็ก ๆ ในโรงเรียน จนถึงการโกงข้อสอบระดับโลก แต่สิ่งที่ในซีรีส์สามารถทำให้ต่างออกไปได้อย่างชัดเจนมาก ๆ คือการเพิ่มเรื่องราวตีแผ่ประเด็นต่าง ๆ ที่ตัวละครแต่ละตัวต้องเจอ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นการสะท้อนเรื่องราวของสังคมไทยแทบทั้งนั้น ทั้งเรื่องของความหวังในการใช้การศึกษาเพื่อที่จะเปลี่ยน

 

ฐานะและสถานะทางสังคม การทำตาม Passion ของเด็กวัยรุ่น ม.ปลาย ที่แต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน แต่กลับต้องถูกวัดผลความสามารถด้วยคะแนนการสอบ การมี Conflict of Interest (ผลประโยชน์ทับซ้อน) ในโรงเรียน รวมถึงเรื่องของประเด็นปัญหาเรื้อรังในสังคมในหลาย ๆ จุดที่แก้ไม่หายด้วย

 

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

 

ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ตามเหตุผลต่อไปนี้ เห็นด้วย แน่นอนว่า ในหนัง เรื่องราวของการ “โกง” นั้นถือว่าเป็น Theme ใหญ่ที่ครอบคลุมตัวหนังไว้อยู่ ซึ่งแม้ว่าตัวหนังจะเล่าเรื่องของการออกแบบกลไกการโกงของครูพี่ลินและพรรคพวก แต่สิ่งที่ในหนังพยายามจะเล่าต่อออกมานั่นก็คือ เรื่องของ การ “โกง” แม้ว่าการโกงของลินนั้นเป็นสิ่งผิด แต่การที่ลินต้องยอมโกง ก็ทำอยู่ภายใต้เหตุผลของการ “โกงล้างโกง” อีกทีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็หนักแน่นพอที่จะทำให้เราเอาใจช่วยลินในการโกงข้อสอบไปโดยปริยาย

เรื่องย่อ รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รวมถึงเรื่องของการออกแบบเนื้อเรื่อง และโจทย์ของการโกงในรูปแบบต่าง ๆ ให้ “ฉลาด” สมกับชื่อหนัง มีความสนุก ตื่นเต้น พลิกล็อกอยู่ตลอดทั้งเรื่องจนแทบจะเดาทางหนังไม่ถูก อีกทั้งยังสามารถคุม Mood & Tone ของหนังให้ออกมาเหมาะสม ซึ่งนี่คือสิ่งที่หนัง และในซีรีส์สามารถทำได้อย่างสำเร็จสวยงามในระดับที่ใกล้เคียงกัน หนังฟรี หนังใหม่

 

ส่วนที่ไม่เห็นด้วยเพราะ สิ่งที่ซีรีส์กำลังจะทำ คือการแผ้วทาง “ทางเลือกใหม่ ๆ ” ในการเล่าเรื่องนี้ให้ต่างจากความเป็นหนังอยู่พอสมควรเหมือนกัน แม้ว่าพล็อตโดยรวมของ 2 อีพีแรก จะมีทิศทางคล้าย ๆ กับเนื้อหาในช่วงครึ่งแรกในหนัง แต่สิ่งที่ในซีรีส์เติมต่อมาจากหนังนั่นก็คือเรื่องของการพยายามอุดรูรั่วต่าง ๆ ในหนัง เช่นการออกแบบการโกงข้อสอบด้วยตัวโน้ตเปียโน ซึ่งในซีรีส์ก็มีการปรับแต่ง “อะไรบางอย่าง” ทำให้ตัวซีรีส์ในอีพี 1-2 มีความแตกต่างจากเนื้อหาครึ่งแรกของหนังอย่างน่าสนใจ

 

 

 

เป็นเรื่องของ ลิน เด็กอัจฉริยะที่เพิ่งย้ายมาเข้าเป็นนักเรียนทุนของโรงเรียนเอกชน แต่ด้วยความที่พ่อของเธอต้องเสียค่าแป๊ะเจี๊ยะแพงมากเพื่อให้เธอได้เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ลิน เด็กสาวที่มีระบบความคิดแตกต่างจากเด็กในรุ่นเดียวกันจึงได้ปิ๊งไอเดียระบบการลอกข้อสอบขึ้นมา โดยใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อแทน ก ข ค และ ง

 

ลินทำเงินได้มหาศาลจากการให้เพื่อนลอกข้อสอบนี้ แต่มันยังไม่หยุดแค่นั้นเมื่อเธอต้องการที่จะโกงข้อสอบ STIC ซึ่งเป็นข้อสอบระดับโลกที่จะจัดสอบพร้อมๆ กับทุกประเทศ ทำให้นี่จึงเป็นความเสี่ยงครั้งรุนแรงที่สุดที่เธอต้องเจอ และเธอทำด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ แบงค์ (เด็กเรียนทุน ที่เกลียดการโกงที่สุด) จึงต้องเข้ามามีส่วนในมหากาพย์การโกงข้อสอบของเธอ

 

 

เบื้องหลังก่อนมาเป็น “ฉลาดเกมส์โกง” ที่ทำเอาผู้ชมตื่นเต้นไปในทุกจังหวะนั้น เกิดจากโปรเจกต์ที่พี่เก้ง–จิระ ส่งต่อให้กับ ‘บาส–นัฐวุฒิ พูนพิริยะ’ (ผู้กำกับสุดหล่อ) โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเด็กกลุ่มหนึ่งที่ใช้ความต่างเวลาในการโกงข้อสอบระดับโลก (ไม่ใช่เด็กไทยนะ) จนเป็นเรื่องราวที่โด่งดังขึ้นมาช่วงหนึ่ง และเมื่อได้โจทย์มา พี่บาสก็เอามาปรับให้เข้ากับสภาพสังคมแบบไทยๆ จนออกมาเข้มข้นและรับประกันว่าใครดูก็ต้องชอบ

 

“ประเด็นใหญ่ๆ มันคือเรื่องการโกงในสังคมปัจจุบัน ประเด็นที่โขลกลงมาในหนังก็คือ มันพูดถึงเด็กวัยรุ่น ซึ่งสนามแห่งการโกงของเด็กวัยรุ่นมันไปไหนได้ไม่ไกลเท่าไหร่นอกจากโรงเรียน ก็เลยหยิบยกเรื่องการโกงข้อสอบมาเป็นประเด็นหลักของหนัง” บท

 

 

สัมภาษณ์ นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับหนังเรื่อง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ จากนิตยสาร FILMAX ฉบับที่ 118 ประจำเดือน เมษายน 2560จากที่ได้ชมนั้นจะรู้ได้เลยว่าทุกฉากทุกตอน มันสะท้อนอะไรที่ไปไกลกว่าห้องสอบ จะว่าง่ายๆ ก็คือมันการพูดถึงทัศนคติของคน โกงมากกว่าการโกง เลยยิ่งน่ากลัวเพราะคนที่มีความคิดว่า ‘การโกงไม่ผิดหรอก’ วันหนึ่งเขาก็จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดแบบเดิม แล้วสังคมเราจะต้องมีคนที่มีชุดความคิดแบบนี้เยอะแค่ไหนกันเชียวล่ะ

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

ต้องยกเครดิตให้นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ที่แสดงฝีมือออกมาได้ระดับโปรมากๆ  ‘ออกแบบ’ นางเอกหน้าใหม่ของเรื่องมี character ที่น่าสนใจมาก แค่ทำหน้านิ่งๆ ก็รู้สึกว่ามีพลังงานความโหดบางอย่างถูกส่งออกมาสู่คนดูทำให้เราเชื่อไปเลยว่าคนคนนี้คือตัวละครอย่างที่หนังอยากให้เราคิดตาม นอกจากนี้นักแสดงอีกหลายๆ คนที่เราอาจเคยเห็นจากซีรีส์ฮอร์โมนส์มาบ้างแล้ว ในหนังเรื่องนี้ก็สามารถฉีกบทเก่าแล้วทำให้เราตื่นเต้นได้อีกครั้งเหมือนกำลังดูนักแสดงหน้าใหม่ทั้งเรื่อง อย่างเช่น ‘นน’ ที่ต้องรับบทเป็นเด็กเรียนดีผู้ซื่อสัตย์ ก็ดีไซน์บุคลิก ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

 

ออกมาได้โคตรจะเจ๋ง หรือจะเป็น ‘เจมส์’ ที่ถึงแม้จะเล่นเป็นคนเจ้าเล่ห์ๆ อย่างที่ได้รับบทมาตลอด แต่ในเรื่องนี้เจมส์ก็ทำได้ดีมากๆ และฉายเสน่ห์ออกมาสุดๆ 10/10 คะแนน เป็นหนัง GDH ที่ทำออกมาได้แมส มีจังหวะตลก และน่าตื่นเต้นครบสูตร.. แต่ว่า! มันเป็นหนัง GDH ที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยมี เพราะถึงจะดูแมสแต่ทำออกมาเท่และแตกต่างมากๆ เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าหนังไทยไม่จำเป็นต้อง เป็นหนังตลกจ๋าถึงจะสนุก นักแสดงทุกคนคุณภาพเต็มเปี่ยม น่าสนใจและมีลุ้นได้รางวัลกันเกือบทุกบทบาท บทเขียนออกมาได้มีชั้นเชิงมีการทำการบ้าน ค้นหาอุดทุกเรื่องจนลงตัว Perfect ! การถ่ายทำและตัดต่อทำออกมาได้น่าสนใจมาก ไม่มีจังหวะ

 

 

ให้ได้เบื่อเลย เป็นหนังที่ดูแปปเดียวจบเพราะตื่นเต้นปนลุ้นไปจนลืมเวลาแม้กระทั่งเพลงและดนตรีประกอบ เองก็ใส่มาได้แบบไม่ยัดเยียดคนดู เป็นความลงตัวมากๆ หนังแสดงเซ้นส์ความขี้เล่นและกวนๆ ของผู้จัดทำ แต่ออกมาแบบไม่ล้นจนกลายเป็นหนังตลก ถือว่าคุ้มค่าที่สุดในการดูหนังช่วงนี้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

รีวิวหนังไทย เป็นตัวเลขที่ทำเอาหลายคนแปลกใจไม่น้อยสำหรับภาพยนตร์ไทยเรื่อง “หลวงพี่แจ๊ส 4G” ผลงานการกำกับล่าสุดของ “พจน์ อานนท์” (พชร์ อภิรุจ) จากค่าย “เอ็มพิคเจอร์” หลัง “มีข่าว” ออกมาว่าหนังเรื่องนี้สามารถทำรายได้ในการเปิดตัววันแรกเมื่อ 6 เมษายนที่ผ่านมาไปถึง 22 ล้านบาท เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

ทั้งนี้จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ “หลวงพี่แจ๊ส 4G” กลายเป็นหนังไทยอันดับ 3 ที่มีรายได้การเปิดตัวในวันหยุดสูงที่สุดไปเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่อันดับหนึ่งนั้นยังเป็นของ “องค์บาก” กับรายได้ 30 ล้านบาท และอันดับ 2 “ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้” ที่กวาดไป 29.17 ล้านบาทตามเดิม นับตั้งแต่วันเข้าฉาย 6 เมษายนจนถึงวันที่ 11 เมษายนหนังหลวงพี่แจ๊สฯ ทำรายได้ไปแล้วทั้งหมด 72.74 ล้านบาท ซึ่งหากวิเคราะห์กันในหลายๆ ปัจจัยก็ต้องบอกว่าตัวเลขดังกล่าวนั้นมีที่มาที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

 

รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวนโรงฉายซึ่งแทบจะเรียกว่า “เหมาโรง” เครือเมเจอร์ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะเอ็มพิคเจอร์กับเมเจอร์นั้นว่าไปแล้วก็คือกระเป๋าเดียวกัน นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของราคาค่าตั๋วเพราะแม้หนังจะเข้าฉายวันพุธซึ่งปกติตั๋วจะถูกกว่าวันธรรมดา แต่เนื่องด้วยวันพุธที่ 6 เมษายนที่หนังเข้าฉายนั้นเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ดังนั้นค่าตั๋วนอกจากจะไม่ถูกแล้วยังแพงกว่าวันธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปอีกต่างหาก

 

แต่กระนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็เห็น “จังหวะ” ของหนังเองที่ต้องบอกว่ามาได้ลงตัว ทั้งความเป็นหนังตลกแบบในรูปแบบที่ค่อนข้างจะถูกกับรสนิยมคนส่วนใหญ่ของบ้านเรา หรือจะเป็นเรื่องของเพลงและภาพยนตร์ตัวอย่างที่ถูกโหมโปรโมตผ่านทั้งทางโลกโซเชียลและในโรงที่ถูกปล่อยออกมาในก่อนหน้าซึ่งทำได้อย่างน่าสนใจและได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีมากๆ รวมไปถึงช่วงจังหวะ “ขาขึ้น” ของตัวเอกของเรื่องอย่าง “แจ๊ส ชวนชื่น” ที่ตอนนี้หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปซะทั้งหมดเนื่องเพราะภาพลักษณ์ของเจ้าตัวที่ออกมานั้นค่อนข้างจะถูกจริตกับเด็กวัยรุ่นยุคนี้ ทั้งสไตล์การแต่งตัว ความเป็นคนตลกแบบ

 

รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

 

นักเลงยียวนกวนบาทา ฯ ซึ่งถึงตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากว่า “แจ๊ส ชวนชื่น” นั้นคือหนึ่งในไอดอลระดับซุปตาร์ของเด็กวัยรุ่นยุคโซเชียลบ้านเราไปแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ “หลวงพี่แจ๊ส 4G” ขึ้นไปถึง 150 ล้านบาทตามที่มีการโหมโปรโมตอยู่ในขณะนี้ได้หรือไม่นั้นสุดท้ายสิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้วัดก็คงจะหนีไม่พ้น “คุณภาพ” ของตัวหนังนั่นเอง

 

จากการสอบถามความรู้สึกไปยังคนดูบางส่วนพบว่าหากเปรียบเทียบกับความอยากดูในก่อนหน้าและความรู้สึกหลังดูแล้วต้องบอกว่ามีหลากหลาย ทั้ง ก็สนุกดี เฉยๆ ไปจนถึงผิดหวังนิดๆ ด้วยเหตุผลว่าหนังไม่มีอะไร แถมการเดินเรื่องก็ค่อนข้างขาดความต่อเนื่องเพราะดูเหมือนตัวหนังจะมุ่งแต่เน้นขายมุกตลกอย่างเดียว

 

รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

 

โดยภาพรวมของ “หลวงพี่แจ๊ส 4G” ที่ออกมาต้องบอกว่าไม่ต่างอะไรไปจากหนังของ “พจน์ อานนท์” ที่ผ่านๆ มา คือเล่นกับกระแสหรือสถานการณ์ที่เป็นประเด็น ซึ่งถ้าเมืองนอกมีหนังสไตล์ “ยำหนังจี้” (scary movie) หลวงพี่แจ๊สก็คงจะเป็นไปในลักษณะ “ยำข่าว(โซเชียล)จี้” อะไรทำนองนี้ แต่ทั้งนี้สิ่งหนึ่งต้องชื่นชมผู้กำกับสำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือความพอดีในการที่จะเล่นมุกตลกที่ไม่หยาบโลน และไม่เลอะเทอะ เลยเถิด เหมือนกับหนังบางเรื่องที่ผ่านมาของเจ้าตัวนั่นเอง

เรื่องย่อ รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

ถึงตรงนี้คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่ายุทธวิธีการโปรโมตของตัวผู้กำกับเองที่ออกมาระบุว่าหากจะดูหนังเรื่องนี้ก็ต้องเสียเงินเข้าไปดูในโรงเพราะจะไม่มีการปั๊มเป็นแผ่นออกมาวางขายนั้นจะสร้างกระแสหรือไปกระตุ้นให้คนทั่วไปยอมเสียเงินเข้าโรงไปดู “หลวงพี่แจ๊ส 4G” กันได้มากน้อยเพียงใด เพราะลำพังถ้าจะไปหวังกระแสจาก “ปากต่อปาก” นั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากจริงๆ ต้องขอบอกตรงๆ จากใจก่อนเลยว่า เรารู้สึกเสียเวลาสุดๆ ที่มาดูหนังเรื่องนี้ (ตอนแรกก็ไม่อยากเสียเวลามารีวิวด้วยซ้ำ แต่ไหนๆ ก็ดูแล้ว และที่ผ่านมาก็เขียนถึงหนังทุกเรื่องที่ดู ก็เลยตัดสินใจเขียนๆ ไปตามหน้าที่) หนังฟรี หนังใหม่

 

หลวงพี่แจ๊ส 4G นี่ถือเป็นหนังของผู้กำกับคนดัง พจน์ อานนท์ เรื่องแรกที่เราเคยดู แล้วมีคนบอกว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G นี่มีเนื้อหาและสนุกกว่าหนังช่วงหลังๆ หลายๆ เรื่องของ พจน์ อานนท์ เขาแล้วนะ เราก็ “อห! แล้วเรื่องอื่นแม่งจะขนาดไหนวะ”ในความคิดของเรา หลวงพี่แจ๊ส 4G นี่จัดว่าแย่เลยนะ โดยทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับที่เขาเอาพระเอาธรรมมาล้อเล่นแต่อย่างใด หรือในส่วนของความไร้สาระ เราจะไม่ด่านะ เพราะมันเป็นหนังตลก ไม่จำเป็นต้องมีสาระก็ได้

 

 

แต่ที่ต้องด่านี่พล็อตล้วนๆ คือพล็อตเรื่องมันเละตุ้มเป๊ะและแก่นสารหามีไม่แบบสุดๆ เช่น มีฉากนึงเกี่ยวกับชาวบ้านขอหวย ชาวบ้านถูกหวยงวด 16 เมษายน แต่คือฉากนี้เสือกมาก่อนฉากประชาชีเล่นสงกรานต์ สงกรานต์บ้านหลวงพี่มาหลัง 16 เมษาฯ หรอ นี่สงสัย

 

มุกตลกปังบ้างไม่ปังบ้าง แต่ส่วนใหญ่ค่อนไปทาง “อะไรของมึง” แต่ส่วนที่ชื่นชมคือการเล่นมุกที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ และเข้ากับสังคมยุคโซเชียลฯ ในปัจจุบัน และดารารับเชิญเยอะดี คิดว่าเด็กวัยรุ่นขาแวนซ์น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักๆ ที่จะชื่นชอบหนังเรื่องนี้

 

 

แต่สำหรับเรา… เราให้ 3/10 พอ ดูแล้วคิดตลอดเวลาว่า “เมื่อไหร่แม่งจะจบ” โดยทั้งนี้ 1 คะแนน แด่นักแสดงหล่อ (เป็นบางคน) + 1 คะแนน แด่มุกตลกที่ทันสมัย (ในบางมุก) และ + 1 คะแนน สำหรับความพยายามที่จะสอดแทรกสอนชาวพุทธและชาวเน็ต (ถึงแม้จะไม่ได้ออกมาเวิร์คเท่าไหร่นักก็ตาม)

 

แต่อย่างไรก็ตาม เราก็เชื่อว่าหนังของพี่ พจน์ อานนท์ ก็ยังจะขายได้เหมือนเดิมอยู่ดี จบ. ป.ล. นี่วิจารณ์หนังอย่างสุภาพและไร้อคติที่สุดแล้วค่ะ เพราะกลัวผู้กำกับฯ เขาจะมาตามด่าและจิกหัวอิชั้นไปทำหนังเอง บรัยส์ในยุคที่โซเชียลมีประเด็นเดือดกันทุกวัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ดราม่า กลายเป็นส่วนหนึ่งที่คนไทยชอบเสพและเป็นอีกสีสันที่ทำให้เรามีเรื่องพูดคุยทุกวัน แต่กระแสมาไวไปไวชนิดที่บางเรื่องเราก็ลืมไปแล้ว การจับประเด็นดราม่ามายำจึงเป็นไอเดียที่น่าสนใจ

 

 

รวมกับการสอดแทรกธรรมมะเข้าไปในหนัง กลายเป็นอีกความบันเทิงที่ต้องยอมรับว่า หลวงพี่แจ๊ส 4G สามารถทำออกมาโดนใจแฟนหนังคนไทยส่วนใหญ่ได้อย่างดีหลวงพี่แจ๊ส 4G เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ พระบวชใหม่ชื่อ หลวงพี่แจ๊ส ที่หนีเรื่องราววุ่นๆความรักไปหลบพบความสงบในชายผ้าเหลือง ซึ่งหลังจากที่ไปบวชไกลได้ไม่นาน หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ได้ส่งให้หลวงพี่แจ๊ส เข้ามาศึกษาพระธรรมในเมืองกรุง เพื่อ

รีวิว หลวงพี่แจ๊ส 4G

เรียนรู้สัจธรรมของชีวิต โดยมีสองเด็กวัดอย่างนายมโน กับ นายสายสิญจ์ มาเป็นคนคอยติดตาม ความวุ่นๆในเมืองกรุงจึงบังเกิด ตั้งแต่การปรับตัวเรื่องวิถีชีวิต เรื่องราวความเชื่อและความงมงายของสาธุชนในกรุงเทพฯ สอดแทรกความฮามาตั้งแต่พระแจ๊สบวชนาคจนถึงจบเรื่อง ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

หลวงพี่แจ๊ส 4G ถือว่ายำความบันเทิงที่โดนใจคนไทยมาไว้ได้แบบซื่อตรง ไม่ต้องอ้อมค้อม ทั้งประเด็นตลก การหยิบจับเรื่องดราม่าที่คนพูดถึงบนโซเชียลมาไว้ในหนัง เช่น คดีของดีเจชื่อดังที่ถอยรถชน ล้อเลียนรถเมล์สาย 8 วินมอเตอร์ไซค์ในเมืองกรุง หรือ แม้กระทั่งประเด็นการเมืองและเทรนด์ตุ๊กตาลูกเทพ ถือได้ว่าหนังเอาความจริงมาย้อนให้เราได้นึกถึงแบบชนิดที่ขำจนกรามค้าง โดย หลวงพี่แจ๊ส พยายามสอดแทรกธรรมมะแง่คิดในเรื่องของการไม่อยากให้ พุทธศาสนิกชนเชื่อและงมงายในสิ่งที่

 

 

มองไม่เห็น ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมหมอง รวมถึงการส่งสารถึงคนดู เรื่องการทำความดี กฎแห่งกรรม เป็นอีกหนังตลกที่ไม่ได้มีแค่ความขำขัน แต่ยังให้คนในสังคมได้หันมามองด้วยว่า ทุกวันนี้บ้านเมืองของเราเป็นอย่างไรบ้าง?สำหรับการแสดงของ แจ๊ส ชวนชื่น ถือเป็นตัวนำของเรื่องที่เก็บทุกมุก ขำทุกเม็ด  ความสำรวมในผ้าเหลืองก็ทำให้เราเห็นภาพของพระแจ๊สในมุมของพระอารมณ์ดีมากกว่าการเห็นภิกษุเป็นตัวตลก ส่วนเด็กวัดสุดกวนทั้งสองก็นำพาเรื่องป่วนๆและเป็นตัว

 

 

ช่วยหลวงพี่แจ๊สในการแก้ปัญหาพาเรื่องราวดำเนินไปอย่างสนุกสนาน และ ความเด็ดอีกอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือการรวมพลตัวพ่อตัวแม่ความตลกเข้ามาไว้ในเรื่องแบบจัดเต็ม ทั้งพ่อดม ชวนชื่น, เป็กกี้ ศรีธัญญา, ตั๊ก ศิริพร , สุเทพ สีใส และนักแสดงรับเชิญที่เคยสร้างความฮาในหนังพจน์ อานนท์หลายเรื่องก็กลับเข้ามาแจมให้หนังมีสีสันจัดจ้านมากขึ้นด้วย หลวงพี่แจ๊ส 4G  เป็นความตลกที่คนไทยดูได้ทั้งครอบครัว สอดแทรกสาระ จะดูเอาฮาก็ดี จะดูเพื่อเสริมสร้างความดีก็ได้ ใครกำลังหนีเรื่องเดือด ๆและอากาศร้อนๆ เชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณใจเย็น และ เย็นใจขึ้นได้มากเลยทีเดียว

รีวิว 4 แพร่ง

รีวิว 4 แพร่ง

รีวิว 4 แพร่ง

รีวิวหนังไทย ในประเทศไทยมีหนังผีมากมายที่มีความสยองและน่ากลัวจนแทบจัดอันดับไม่ถูก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนังเรื่อง “4 แพร่ง” ของค่าย GTH ที่ได้รวบรวมเอาแนวหนังผีหลากหลายแนวคัดมาทั้ง 4 แนว 4 เรื่องให้อยู่รวมกันในหนังหลักเรื่อง ดังนั้นไม่ว่าใครจะชอบดูหนังผีแนวสยองขวัญ ไสยศาสตร์ มีความตลก หรือลุ้นระทึกก็สามารถชวนกันมานั่งดู 4 แพร่งได้ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

รับรองว่าคุณจะได้ลุ้นไปกับอารมณ์ความสนุกของหนังผีที่สนุกสนานลงตัวครบทุกแนวแน่นอน หากอยากรู้ว่าจะมีความสนุกแค่ไหนก็ตามมาอ่านรีวิวกันก่อนได้เลย หนัง 4 แพร่ง จะแบ่งออกเป็นหนังผี 4 เรื่องที่มีความน่าสนุกและลุ้นระทึกแตกต่างกันออกไปตามแนวสไตล์ ดังนี้

 

รีวิว 4 แพร่ง

 

เรื่องที่ 1 เหงา

สี่แพร่งเรื่องที่ 1 ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “ปิ่น” หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในหอพักซึ่งตรงกับทางสามแพร่งได้เกิดอุบัติเหตุจนทำให้ขาหักออกไปไหนไม่ได้ ด้วยความเหงาจึงทำให้เธอส่ง SMS คุยกับชายหนุ่มที่เธอไม่รู้จักแก้เหงาโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นได้ตายไปแล้ว ความหลอนที่มาพร้อมกับความเหงาจึงเริ่มเข้ามาเล่นกับประสาทของเธอที่ค่อย ๆ แตกเข้าไปทุกที

 

เรื่องที่ 2 ยันต์สั่งตาย

สี่แพร่งเรื่องที่ 2 ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของกลุ่มเด็กวัยรุ่นเกเรกลุ่มหนึ่งที่ไปรังแกลูกของหมอผี ทำให้เขาสร้างยันต์ที่เรียกว่า ยันต์สั่งตาย ซึ่งหากใครสบตากับยันต์นี้จะตายโดยทันที ทำให้พวกเขาต้องหลบหนีจากอาถรรพ์ของยันต์ที่คอยติดตามพวกเขาไปทุกฝีก้าวราวกับเงาตามตัวซึ่งมันจะค่อย ๆ ไล่ล่าพวกเขาทีละคนจนเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่มีความน่ากลัวหวาดเสียวอย่างที่คุณคาดไม่ถึง

 

เรื่องที่ 3 คนกลาง

สี่แพร่งเรื่องที่ 3 ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งออกไปตั้งเต็นท์กลางป่าลึกหลังจากล่องแก่งผจญภัยเสร็จและตั้งวงร่วมกันเล่าเรื่องพี่ซึ่งพวกเขาก็ได้พูดถึงคนกลางที่มักจะเจอผีเสมอทำให้ไม่มีใครยอมนอนกลาง แต่หารู้ไม่ว่าความหลอนปนพีคแบบตลกร้ายกำลังจะมาเยือนพวกเขาในไม่ช้า

 

รีวิว 4 แพร่ง

 

เรื่องที่ 4 เที่ยวบิน 224

สี่แพร่งเรื่องที่ 4 ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “พิม” แอร์โฮสเตสสาวที่ได้รับหน้าที่ให้ไปดูแลเจ้าหญิงโซเฟียซึ่งเป็นผู้โดยสารคนเดียวของเที่ยวบิน 224 เพียงลำพังเพราะเพื่อนอีกคนของเธอเพิ่งได้ข่าวว่าน้องชายเสียชีวิตทำให้ไม่สามารถมาได้ เธอพยายามแนะนำตัวกับเจ้าหญิงโซเฟีย

 

แต่พระองค์ก็ไม่สนใจและออกจะกลั่นแกล้งพิมทางอ้อม รวมไปถึงการรับสั่งว่าจะเสวยอาหารที่แอร์โฮสเตสรับประทานกันแต่ด้วยแพ้กุ้ง พิมที่รีบจึงไม่มีเวลาหาอาหารให้ใหม่และนำกุ้งออกจากอาหารแทน จนเป็นเหตุทำให้เจ้าหญิงโซเฟียต้องเข้ารับการรักษาและเสียชีวิตซึ่งทุกอย่างคงจะจบลงแบบคลี่คลายมากกว่านี้หากไม่มีคำสั่งจากพระราชวังให้นำพระศพของเจ้าหญิงโซเฟียกลับโดยให้พิมเป็นคนดูแลด้วยเหมือนเดิม ความสยดสยองที่จะทำให้คุณไม่มีวันลืมจึงได้เริ่มต้นขึ้น

 

เรื่องที่ 1 เหงา จะออกแนวหลอนไปกับการเป้าหมายของผู้ที่ส่ง SMS มาให้นางเอกว่าต้องการอะไรกันแน่ เพราะยิ่งคุยกันตัวหนังก็ยิ่งบีบให้บรรยากาศชวนอึกอัดจากการคุยธรรมดาจนกลายมาเป็นว่าอีกฝ่ายเริ่มคะยั้นคะยอจะมาหาปิ่นซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่มีทางยอม แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาว่า “คุณอยู่คนเดียว ผมเห็น” ทำให้เธอพยายามที่จะล้มเลิกการคุยกับอีกฝ่ายแต่ยิ่งหลีกหนีก็ยิ่งตาม โทนเรื่องก็เป็นแบบมืด ๆ ยิ่งทำให้ดูหลอนและตัวเรื่องก็บอกที่มาที่ไปของหนุ่มใน SMS ได้เป็นอย่างดี ทำเอาเรากลัวการอยู่หอไปเลยพอดูจบ

 

รีวิว 4 แพร่ง

 

เรื่องที่ 2 ยันต์สั่งตาย จะออกแนวน่ากลัวปนหวาดเสียวและลุ้นว่ากลุ่มวัยรุ่นเกเรจะหนีจากอุบัติเหตุอันส่งผลมาจากอาถรรพ์ของยันต์สั่งตายได้อย่างไร อารมณ์เหมือนดูหนังฆาตกรไล่ล่าที่มีวิธีการเหี้ยมโหดมากมายไม่ว่าจะเป็นจุดไฟเผาเห็นถึงน้ำเหลืองต่าง ๆ โดนของแหลมเสียบ รวมถึงควักลูกตาซึ่งต้องใจแข็งมากเวลาดู ผีจะออกมาแนว ๆ คล้ายซาตานหรือปีศาจซึ่งขนลุกเหมือนกัน ดูเรียลมาก

เรื่องย่อ รีวิว 4 แพร่ง

เรื่องที่ 3 คนกลาง แพร่งนี้เราชอบมากเพราะไม่ค่อยน่ากลัว แต่จะมีแบบผีโผล่มาอย่างไม่ตั้งตัวตามสูตรหนังผีปกติซึ่งหน้าก็ไม่ได้เละ ด้วยความที่เป็นผีเพื่อนซึ่งเสียชีวิตตอนเรือล่องแก่งล่มทำให้คนที่เหลือรักเพื่อนก็รักแต่กลัวก็กลัวจึงออกแนวตลกแบบฮา ๆ มีมุขมากมาย วิ่งหนีผีอยู่แต่บริเวณป่า น้ำตกแล้วก็มาเต็นท์อยู่ 3 ที่นี่ล่ะ แล้วจุดพีคก็มาแบบปังจนคนดูร้อง “เฮ้ย!” ตาม ๆ กัน เข้าใจวิถีของคนที่ตายโดยไม่รู้ตัวเลย หนังฟรี หนังใหม่

 

เรื่องที่ 4 เที่ยวบิน 224 จากความตลกร้ายในแพร่งก่อนหน้าก็ได้เวลาของเสียงกรีดร้องลั่นบ้านของจริงกับแพร่งที่ 4 เที่ยวบิน 224 ซึ่งมีบรรยากาศที่ชวนให้กดดันระหว่างพิมกับเจ้าหญิงโซเฟียตั้งแต่แรก คือเหมือนทั้งสองคนต่างแอบรู้จักอีกฝ่ายแบบลับ ๆ จากแหวนและรูปภาพซึ่งตัวเจ้าหญิงโซเฟียรู้มาว่าสามีตัวเองที่เป็นเจ้าชายได้แอบไปมีผู้หญิงคนอื่นซึ่งก็คือ “พิม” นั่นเองจึงได้หาทางกลั่นแกล้งแบบอ้อม ๆ

 

 

ส่วนตัวพิมก็เจ้าคิดเจ้าแค้นอีกฝ่ายที่กระทำตนเช่นเดียวกันจึงทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมลับหลังเจ้าหญิงอยู่บ่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายด้วยความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงทำให้อีกฝ่ายเสียชีวิต ซึ่งเรื่องจะมาสร้างอารมณ์สยองขวัญสั่นประสาทให้กับเราก็ตอนที่พิมต้องเฝ้าพระศพเจ้าหญิงโซเดียตั้งแต่ต้นทางให้ถึงปลายทางที่เครื่องบินลงจอดเพียงลำพังนี่ล่ะ คือคาแร็กเตอร์เจ้าหญิงตอนเป็นคนก็ว่าร้ายเงียบดูน่ากลัวแล้ว

 

พอเป็นร่างไร้วิญญาณก็ยิ่งสยองหลอกหลอนพิมจนสติแตกมากมายทำเอาเปิดตาดูแทบไม่ได้เลย ซึ่งเอาจริง ๆ เรื่องก็จบแบบปลายเปิดอยู่นะ คือ สิ่งที่พิมเจออาจเป็นวิญญาณของเจ้าหญิงที่อาฆาตคนที่ทำให้ตัวเองต้องการและลักลอบเป็นชู้กับสามีก็ได้แต่จะบอกว่าอาจเป็นจิตใต้สำนึกของพิมที่เกรงกลัวบาปที่ตัวก่อเอาไว้กับพระองค์หลายอย่างจนเห็นภาพหลอนเกิดอาการ Phobia จนควบคุมตัวเองไม่อยู่และเผลอทำร้ายตัวเองก็ย่อมเป็นไปได้เช่นเดียวกัน เป็นอีกแพร่งที่สนุกและลุ้นไปสั่นไป

 

 

นางฟ้าพลอยต้องโดยสารไปกับศพเจ้าหญิง เหอๆ ขนลุก เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่ใช้ลูกเล่นในการดำเนินเรื่องทุกอย่างเท่าที่เคยใช้กันมา เพื่อหลอกหลอนนางฟ้าแสนสวยกับคนดูได้อย่างอยู่หมัด เสียดาย ผมไม่กลัวผีในจอมานาน และก็ไม่ใช่แต๋ว ไม่งั้นคงกรี๊ดสลบคาโรงสุดท้ายก็จบแบบไม่ต้องหักมุม แต่ใครจะสนใจตอนจบ เมื่อมันไม่มีทางอื่นให้จบอยู่แล้ว ผู้ชมควรจะสนุกสนานกับการกรี๊ดในฉากสั่นประสาทไม่ใช่หรือ

 

หลังจากไปอ่านพันทิพมา จึงได้สืบทราบว่า “เหงา” นั้นดัดแปลงจากหนังสั้น “ยันต์สั่งตาย” นี่เอามาจาก การ์ตูนจิตหลุด ส่วน น้องขาวๆ ที่เล่นฉากเลิฟซีน (ในเรื่องเธอชื่อ โยเกิร์ต น่ากิ๊น น่ากิน) เธอชื่อ ชลลี่ เคยเป็นพิธีกรคลับเอ็กซ์ (เสียดาย ไม่เคยดู) และเคยแสดงเรื่อง “สวยลากไส้” (นี่ก็ไม่เคยดู) ตอนนี้ รู้แล้ว ว่าเรื่องสุดท้ายคือ “เที่ยวบิน 224” แต่ขอไม่แก้ข้างบน เอาให้มันเก็บไว้ขำๆ เล่นอย่างนั้น

 

 

เป็นเรื่องปกติ ที่หนัง 4 in 1 ไม่มีทางจะโดนใจไปหมดทุกเรื่อง เพราะความที่ทั้งสี่ เป็นคนละเรื่องกัน เขียนโดยคนละคน กำกับโดยคนละคน แถมถูกจำกัดการเล่าอยู่ในเวลาที่สั้นลงถึง 4 เท่า ไม่อาจบอกเล่ารายละเอียดอะไรให้ลึกมากพอ ได้แค่เพียงทำหน้าของการเป็น “หนังผี” ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทคนดูให้อยู่หมัด

รีวิว 4 แพร่ง

หนังผีรวมเรื่องสั้น 4 เรื่องจากค่าย GTH ที่รวมทั้งความสยองขวัญ น่าตื่นเต้น แถมความตลกเอาไว้ในเรื่องเดียวกัน สี่แพร่ง จึงติดอันดับหนึ่งในหมวดหนังผีไทยที่ทำรายได้ไปถึง 85 ล้านบาท และกลายเป็นที่นิยมจนต้องมีภาคต่อในชื่อ ห้าแพร่ง ในปีถัดมา ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

สี่แพร่ง เป็นภาพยนตร์ที่รวมเรื่องสั้นสยองขวัญเอาไว้ 4 เรื่อง ได้แก่ เหงา กำกับโดย ยงยุทธ ทองกองทุน เจ้าของหนังตลกอย่าง สตรีเหล็ก, แจ๋ว และ แก๊งชะนีกับอีแอบ โดย เหงา เป็นเรื่องเกี่ยวกับสาวโสดอย่าง ปิ่น (รับบทโดย มณีรัตน์ คำอ้วน) ที่ได้รับข้อความจากชายแปลกหน้าเข้ามาในมือถือของเธอ ในขณะที่เธอนั่งอยู่ในห้องที่อพาร์ตเมนต์เพียงคนเดียว ท้ายที่สุดเจ้าของข้อความแปลกๆ นั้นกลับตามมาหลอกหลอนเธอถึงห้อง

 

 

ยันต์สั่งตาย เป็นเรื่องสั้นเรื่องที่ 2 ใน สี่แพร่ง กำกับโดย ปวีณ ภูริจิตปัญญา (บอดี้..ศพ#19) เป็นเรื่องราวของกลุ่มเด็กเกเรที่ไปรุมแกล้งลูกชายของสัปเหร่อ ซึ่งเป็นที่มาของยันต์สั่งตายที่ถูกใช้เพื่อแก้แค้นเด็กกลุ่มนี้ นำทีมโดย เดี่ยว (รับบทโดย วิทวัส สิงห์ลำพอง) และพิ้งค์ (รับบทโดย อภิญญา สกุลเจริญสุข) ซึ่งหากใครสบตากับยันต์สั่งตายนี้ก็จะต้องตายทันที เรื่องสั้นอีกเรื่องใน สี่แพร่ง ที่กลายเป็นตอนสำคัญของหนังและเป็นตอนที่หลายๆ คนชื่นชอบ ด้วยความตลก สนุก และหักมุม คนกลาง กำกับโดย บรรจง ปิสัญธนะกูล (ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, พี่มากพระโขนง) เป็นเรื่องราวของแก๊งเพื่อนชายที่ออกไป

 

เที่ยวล่องแก่งกลางป่า นำทีมโดย ชิน (รับบทโดย อัฒรุต คงราศรี), เต๋อ (รับบทโดย ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์), เผือก (รับบทโดย พงศธร จงวิลาส) และเอ (รับบทโดย กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข) เมื่อตกกลางคืนที่พวกเขาต้องนอนรวมกันในเต็นท์ ทุกคนต่างเกี่ยงกันนอนริมเพราะเชื่อว่าคนนอนริมจะเจอผี แต่สุดท้ายคนที่ต้องเจอกับวิญญาณกลับไม่ใช่แค่คนนอนริมเท่านั้น ปิดท้ายด้วยเรื่องสั้นสุดหลอนที่ยังคงติดตาคนดูจนถึงทุกวันนี้ เที่ยวบิน 224 กำกับโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แฝด) นำแสดงโดย พิม (รับบทโดย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) แอร์โฮสเตสสาวที่เป็นชู้กับเจ้าชายอัลเบิร์ต แต่ด้วยความ

 

 

บังเอิญทำให้เธอต้องขึ้นไฟลต์พิเศษเพื่อรองรับ เจ้าหญิงโซเฟีย (รับบทโดย Nada Lesongan) ภรรยาของเจ้าชายอัลเบิร์ตเพียงลำพัง ซึ่งภายหลังเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าหญิงโซเฟียเสียชีวิตกะทันหันและต้องให้พระศพขึ้นเครื่องกลับประเทศ โดยมีพิมดูแล ทำให้เธอต้องเจอกับบทลงโทษของการลักลอบเป็นชู้กับสามีคนอื่นในที่สุด

รีวิว แสงกระสือ ดีกว่าที่คิดเยอะมากกก

รีวิว แสงกระสือ ดีกว่าที่คิดเยอะมากกก

รีวิว แสงกระสือ ดีกว่าที่คิดเยอะมากกก

หนังไทยมาใหม่ ในบรรดาผีไทยประเภทต่างๆ สำหรับเรา ‘กระสือ’ ถือเป็นผีที่น่ากลัวน้อยที่สุด เพราะมองว่าเป็นภูตผีที่มีแค่ศีรษะ ตับ ม้าม ปอด และลำไส้ลอยไปลอยมา ดูแล้วไม่น่าจะมีความร้ายกาจสักเท่าไร
ในอดีตหนังที่เกี่ยวกับกระสือหลายๆ เรื่อง จึงถูกคุมโทนออกมาในแนวตลกขบขันเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็วางให้เป็นลูกคู่กับผีปอปเพื่อเป็นตัวสร้างสีสัน แต่สำหรับ แสงกระสือ ซึ่งถูกนำมาตีความโดย สิทธิศิริ มงคลศิริ ผู้กำกับภาพยนตร์ ที่มีผลงานอย่าง เด็กใหม่ ตอน 2 และ Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย เขียนบทภาพยนตร์โดย ‘มะเดี่ยว’ – ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล พร้อมกับได้ที่ปรึกษาด้านวิชวลอย่าง วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ก็ทำให้กระสือเวอร์ชันนี้น่าสนใจขึ้นมาทันที
รีวิว แสงกระสือ ดีกว่าที่คิดเยอะมากกก
จำ “จูบแรก” ของคุณได้ไหม? เด็กสาวแรกรุ่นในหมู่บ้านอันห่างไกล ค้นพบว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ใช่มนุษย์เหมือนคนอื่น แต่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เก่าแก่ในตำนานที่ถ่ายทอดกันผ่านทางน้ำลาย มีเพียงเด็กหนุ่มคนเดียวในหมู่บ้านที่รู้ความจริง และพยายามปกป้องเธอจากการไล่ล่าของชาวบ้านที่หวาดกลัวผีกระสือ ความใกล้ชิดของทั้งสองเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นความรัก ขณะที่อสูรกายอีกสายพันธุ์หนึ่งก็ต้องการหัวใจของเธอเพื่อความเป็นอมตะ หนทางที่เธอจะอยู่รอดคือหนีออกจากหมู่บ้าน หรือการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ตามล่า… แล้วเขาจะปกป้องเธอได้หรือไม่
รีวิว แสงกระสือ ดีกว่าที่คิดเยอะมากกก
     เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่าพระนคร และในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตัวพระนครเท่าไรนักก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นเมื่อ สาย (ณฑิรา พิพิธยากร) หญิงสาวที่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้เป็นนางพยาบาลคอยช่วยเหลือชาวบ้าน เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย ซึ่งหนังก็บอกกับคนดูตรงๆ ว่าเธอคือกระสือ แต่ก็มีข้อสงสัยบางอย่างว่าในเมื่อสายได้รับการถ่ายทอดเชื้อกระสือมาตั้งแต่เด็กแล้วทำไมถึงมาออกอาการในตอนโตช่วงนี้
     สายมีเพื่อนผู้ชายอยู่สองคนนั่นคือ เจิด (สพล อัศวมั่นคง) และ น้อย (โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์) ซึ่งเจิดนั้นหลงรักและหมายมั่นว่าจะได้ครองคู่กับสายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ส่วนน้อยกลับเป็นคนที่สายมีใจให้ แต่น้อยก็จำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในพระนครเพื่อร่ำเรียนเป็นหมอ และมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำให้เขาต้องกลับมาที่หมู่บ้านนี้อีกครั้ง พร้อมกับเหล่าผู้ล่ากระสืออีกหนึ่งกลุ่ม เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว แสงกระสือ ดีกว่าที่คิดเยอะมากกก

รีวิว แสงกระสือ ดีกว่าที่คิดเยอะมากกก
     เรื่องราวในช่วงครึ่งแรกเป็นการปูที่มาที่ไปของตัวละครหลัก และบอกเล่าถึงวิถีการใช้ชีวิตของคนในหมู่บ้าน ไปพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของกระสือ ซึ่งเนื้อเรื่องในช่วงนี้ค่อนข้างมีความเนิบช้าและเยิ่นเย้อไปสักหน่อย กว่าเรื่องราวจะถูกขมวดให้เข้มข้นและกดดันขึ้นในช่วงครึ่งหลัง
     ทีมนักแสดงของ แสงกระสือ นั้น ทำออกมาได้ดีทั้งเรื่องของการแสดงที่ตัวละครหลักแทบจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ โดยเฉพาะฝีมือของ สพล อัศวมั่นคง ที่เราว่าผู้ชายคนนี้น่าจะพัฒนาจนเป็นนักแสดงที่ขายฝีมือได้ในอนาคต ส่วนทางด้านนางเอกนั้นแม้จะยังไม่เข้าที่อยู่บ้าง แต่การแสดงออกด้วยสายตาทำออกมาในระดับที่ถือว่าสอบผ่าน และ โอบ นิธิ ขวัญใจแม่ยกคนนี้ ต้องยอมรับว่าบทของน้อยมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องอย่างมาก ทำให้เขาต้องแบกความกดดันของหนังเอาไว้สูงจนในหลายๆ ฉาก ยังทำออกมาได้พอให้ผ่าน
     ในงานด้านโปรดักชัน ถือว่าทีมงานมีความตั้งใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างสูงจนเห็นได้ชัดทั้งการจัดองค์ประกอบภาพที่วางแต่ละซีนได้อย่างสวยงาม การถ่ายภาพที่เต็มไปด้วยความพิถีพิถัน และซีจีที่ทำออกมาได้อย่างไม่รู้สึกขัดตา และบทภาพยนตร์ที่เข้มแข็ง
     แม้งานโดยรวมของ แสงกระสือ จะจัดอยู่ในระดับเกรดเอของภาพยนตร์ไทย แต่ก็มาพร้อมกับข้อด้อยบางอย่าง นั่นคือไม่สามารถทำให้เรารู้สึกอินไปกับเรื่องราวของตัวละคร ทั้งประเด็นรักสามเส้า การเมืองในระดับหมู่บ้าน การมาของคนแปลกหน้าพร้อมกับการคลี่คลายปมบางอย่าง ซึ่งทั้งหมดไม่ได้ถูกขยี้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ทำให้ความเข้มข้นในบางประเด็นที่กำลังเหมือนว่าจะมีความพิเศษนั้นอ่อนแรงลง
     งานด้านภาพเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ลดทอนบรรยากาศของความขลังและความน่าสงสัยลงไป เนื่องจากความสวยงามในการจัดแสง และความสดใสของโทนภาพ ที่กลายเป็นดาบสองคมให้กับบรรยากาศของหนังไปบ้าง (ลองนึกถึงฉากที่ใกล้เคียงกันกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจและอะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ใน เปนชู้กับผี ดู)
แต่สิ่งที่เราชอบใน แสงกระสือ คือการที่หนังกำลังบอกกับคนดูว่า สุดท้ายแม้ว่าเราจะกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของใครก็ตาม แต่ถ้าใช้หัวใจในการมองไปที่คนคนนั้น เราจะไม่รู้สึกรังเกียจหรือหวาดกลัวในสิ่งที่เขาหรือเธอกำลังเป็นอยู่แม้แต่น้อย
     เช่นเดียวกับธรรมชาติของกระสือที่เวลาถอดหัวออกจากร่างจะมีการเปล่งแสงประกายออกมา ท่ามกลางความมืดมิดของใจคน แสงของความรักก็ยังคงเปล่งประกายให้เราได้เห็นอยู่เสมอ แม้สุดท้ายเราจะพบกับความจริงที่น่าเศร้าว่ามนุษย์เลือกที่จะกลบฝังแสงสว่างนั้นให้จมหายไปในความมืด เพียงเพราะว่าแสงนั้นเกิดมาจากความผิดปกติที่เราไม่เคยเปิดใจยอมรับมัน

หนังไทยแนวแฟนตาซีเฮอร์เรอร์ที่โปรดักชั่นน่าดูมากถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้เลย  สำหรับหนังผีกระสือ ผีโบราณที่แปลกแหวกความรู้สึกคนยุคใหม่ แต่ก็ทำออกมาได้รสชาติสากลแต่มีความขลังในแบบไทยสูงมาก ใครเด็กยุค 90 น่าจะจำละครช่อง 7 ที่มีกระสือยายสายและเนื้อเพลง “กระสือกลางวันมันเป็นหญิง มีทุกสิ่งธรรมด๊า ธรรมดา” ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นอีกผีที่คู่ขวัญชาวไทยมาตลอดเช่นกันหนังฟรี  หนังใหม่

 

ความรู้สึกส่วนตัวหลังดูจบ

รอบนี้ค่าย ทรานสฟอร์เมชั่น ได้นำผู้กำกับ โดม-สิทธิศิริ มงคลศิริ ผู้กำกับ Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย มาถ่ายทอดจินตนาการเหนือจริง พร้อมด้วยดารานักแสดงรุ่นใหม่ในบทนำทั้ง โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์, มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร และ เกรท-สพล อัศวมั่นคง และยังเป็นการคืนจออีกครั้งของดารารุ่นใหญ่อย่าง เอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย ด้วย เรียกว่าทั้งโปรดักชั่น ซีจี ดารา น่าตื่นตาตื่นใจไปหมดทีเดียวเชียว
สิ่งที่ต้องชื่นชมอย่างมากคือความพิถีพิถันระดับงานคราฟต์ ของผู้สร้างหนัง คือ การถ่ายภาพ ไลท์ติ้ง โลเกชั่น อาร์ตไดฯ คอสตูม แต่งหน้า เทคนิคพิเศษ รวมถึงซีจี คือเนี้ยบมาก ทำดีต้องชมครับ ความตั้งใจนี่ถ่ายทอดมาให้เห็นในทุกเม็ดทุกดอกของหนังเลย และส่วนที่สำคัญมากคือ รสนิยมดี ดีตั้งแต่เริ่มคิดโปรเจ็กต์ พูดถึงกระสือเราก็ติดภาพเก่า ๆ แต่ผู้กำกับโดมกลับมองต่างออกไป ผีกระสือไม่ใช่ความแหวะ แต่มันคือความงดงามในแบบหนึ่ง แสงของกระสือคือแสงแห่งความยวนใจ ไม่ใช่ความสยอง
ผู้กำกับชี้ให้เห็นความต่างของเวอร์ชั่นนี้กับที่ผ่านมาว่า “ในฐานะคนดูหนังพอนึกถึงกระสือเรามักจะยึดติดกับผีสาวที่มีหัวกับไส้และกินอาจม แต่ทางทรานส์ฟอร์เมชั่นพูดขึ้นมาว่า แล้วทำไมเราไม่ทำออกมาให้มันดีล่ะ คำนี้ท้าทายผมมาก โจทย์ในหัวของผมก็คือจะทำยังไงให้ออกมาเป็นกระสือสวยงาม”
คำว่าสวยงามนี้สำคัญมากเหมือนเป็นคีย์ของโปรดักชั่นโดยรวมเลยทีเดียว และก็ตอบโจทย์การผสานงานอาร์ตกับงานบันเทิงที่ลงตัว นี่น่าจะเป็นปัจจัยความสำเร็จของหนังในตลาดเมืองนอกแน่ ๆ
สิ่งที่ต้องชมต่อมาคือ การแสดง คือเราต้องไม่ลืมว่า บทนำ 3 คนนั้น มีถึง 2 คนที่จัดได้ว่าหน้าใหม่เลย และอีก 1 คนอย่างโอบ-นิธิ ก็ยังอยู่ในช่วงของการพิสูจน์ตัวเอง ทว่าการแสดงของทั้งสาม คือเอาอยู่ ไม่ใช่เอาอยู่ธรรมดามันรีดเร้นพลังตั้งแต่หัวใจมาถึงสายตาในการแสดงทีเดียว ต้องยอมรับว่า เราไม่ค่อยเห็นหนังไทยที่ดึงพลังการแสดงด้วยสายตามากนัก ในขณะที่หนังต่างชาติเขาทำเป็นเรื่องปกติ การที่หนังเรื่องนี้ทั้งให้จังหวะเวลาที่พอดี ให้การกำกับการแสดงที่ถูกต้อง และได้การแสดงที่ตรงโจทย์สื่อความอย่างสร้างสรรค์ จึงเป็นพลังด้านการแสดงที่ทำให้เราตราตรึงมากเช่นกัน นี่ยังไม่นับมาตรฐานการแสดงของดารารุ่นเก่าทั้งหลายที่มาช่วยขับเคลื่อนเรื่องซึ่งดีเป็นทุนแล้ว และการแสดงของตัวประกอบที่ชัดเจนว่าไม่ได้คัดมาแบบขอไปที แต่ตัวประกอบทุกตัวมีเรื่องราวมีการแสดงที่ส่งหนังได้อย่างน่าสะพรึง
ในด้านเนื้อหา หนังได้มะเดี่ยว-ชูเกียรติ มาเขียนบท ซึ่งเป็นผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ดีในฐานะคนเขียนบทด้วย และแน่นอนเมื่อหนังขับมาทางความรักสามเส้า ความคิดจิตใจแบบมนุษย์ที่มิติซับซ้อน รวมถึงความเป็นดราม่าแบบย้อนยุค ก็เรียกว่าลงตัว ดึงศักยภาพของมะเดี่ยวออกมาได้เต็มที่ สิ่งหนึ่งที่บทของมะเดี่ยวทำได้ดีมากคือการไม่ทำให้ผู้ชมเบื่อแม้กราฟหนังจะเล่าไปแบบไม่มีจุดลุ้นนัก เพราะบทจะสอดแทรกจุดหักมุมมากให้ช็อกคนดูอยู่ทุกระยะอย่างชำนาญมือ
แล้วผู้กำกับหนังก็ไม่พลาดที่จะใช้บทที่ดีในการสร้างหนังที่ดี นี่จึงคือความสมบูรณ์ที่เราบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีและดูสนุก ไม่ได้สนุกในแบบหนังบันเทิงจ๋า แต่มันคือความสนุกของการดื่มด่ำไปกับรสทางอารมณ์ทั้งสุขเศร้า รักหวานซึ้ง การเสียสละ ความรันทดใจ อย่างยิ่งยวด ซึ่งคู่ควรกับคำว่า คลาสสิก จริง ๆ
การที่ แสงกระสือ นำตำนานที่คุ้นเคยของคนไทยมาเล่าใหม่ มันก็ทำให้เรื่องราวดูทันสมัยไม่เฉิ่มเชย ตอบโจทย์วัยรุ่นด้วยการผูกเรื่องความรัก 3 เส้าเข้ามาด้วย ก็เป็นอะไรที่สูตรสำเร็จแต่ก็ใช้ได้ผลทุกที ที่มาที่ไปของกระสือมีการอธิบายชัดเจนว่า เจ้าผีสางตัวนี้มันมาจากอะไร มีวิธีติดต่อ-กลายพันธ์อย่างไรบ้าง ซึ่งดู ๆ ไปแล้วก็ให้อารมณ์ผีซอมบี้แบบฉบับไทย ๆ นี่แหละ
งานโปรดักชั่น งานถ่ายภาพหรือสถานที่โลเคชั่นการถ่ายทำ บอกเลยว่าดูดีมาก โดยในเรื่องจะเล่าเรื่องราวในเขตชนบทห่างไกลจากเขตพระนคร อาคารสถานที่ให้บรรยากาศอึมครึมไม่น่าไว้วางใจ แม้กระทั่งในฉากตอนกลางวันก็ยังให้ความรู้สึกสยอง บวกกับดนตรีประกอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็พยายามบิ้วท์ เร่งเร้าอารมณ์ให้คนอินกับหนังเหลือเกิน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีและหายากทีเดียวที่หนังไทยมีดนตรีประกอบขับเคลื่อนอารมณ์คนดู
kiss2บทภาพยนตร์ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้แสงกระสือ ดูดีกว่าหนังไทยเรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านมา มีปมปริศนาการเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม มีลูกเล่นชั้นเชิงให้คิดตามตลอด ความดราม่าใส่ได้สุดหรือความรักของตัวละครหลักก็ทำได้ดี จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่แสนเศร้า และที่น่าสนใจก็คือภายใต้แวหนังสยอง-โรแมนติก มันก็มีความเป็นหนัง “แอ็คชั่น” แฝงนิดหน่อยด้วย เชื่อว่าหากนำส่วนของฉากแอ็คชั่นไปต่อยอดก็เรียกว่าน่าสนใจมาก ๆ ทีเดียว
ตัวละครหลักในเรื่องมีความสำคัญ แม้กระทั่งตัวละครรอง ๆ ก็ส่งผลต่อเนื้อเรื่องหลัก สามารถนำไปแก้ประเด็นที่ผูกไว้ บ่งบอกได้ว่าทีมงานใส่ใจกับบทตัวละครได้ดี นางเอกของเรื่อง (มินนี่ – ภัณฑิรา พิพิธยากร) แสดงดีมาก ทั้งในตอนที่เป็นคนหรือกระสือ ซึ่งการแสดงสีหน้าตอนเป็นผีเผลอ ๆ ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ ที่สมทบก็ทำได้ดีไม่แพ้กันช่วยเสริมให้หนังมีสีสันมากขึ้น
ในอีกด้านเราอาจมองได้ว่านี่คือหนังแนวก้าวพ้นวัยในรูปแบบหนึ่ง เด็กสาวที่วันหนึ่งเธอต้องพบว่าชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจะรับมืออย่างไร หากเปรียบเปรยการเป็นกระสือก็อาจเหมือนการเติบโตด้านร่างกาย มีประจำเดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดความเขินอายต้องหลบซ่อน แต่สุดท้ายเรื่องราวของกระสือก็เป็นการสอนว่าเราไม่อาจต่อต้านธรรมชาติของการเติบโตได้ ไม่ว่าทั้งด้านดีหรือด้านร้าย แค่ต้องเรียนรู้และยอมรับ ทั้งการเปลี่ยนแปลงของตนเอง และผู้อื่น ความรู้และการเปิดใจกว้างคือหนทางชนะสิ่งที่ไม่รู้และความกลัว หนังเรื่องนี้จึงให้คุณค่าในหลายระดับ ทั้งความงาม ปัญญา และอารมณ์ ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว บอสฉัน…ขยันเชือด

รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด

รีวิว บอสฉัน…ขยันเชือด

หนังไทยมาใหม่ ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์นับเป็นค่ายหนังไทยที่กล้าผลิตหนังแนวทางใหม่ ๆ แปลกๆ แหวกตาคนดู ฮ่าๆๆๆผ มาสร้างความคึกคักให้วงการหนังไทยเสมอตั้งแต่ปรากฎการณ์นางนาก หนังไทยร้อยล้านเรื่องแรก จนต่อมาได้ร่วมทำหนังกับ GMM ก็ยังได้ผลิตผลงานคุณภาพขวัญใจมหาชนออกมานับไม่ถ้วน หรือจะเป็นก่อนหน้านี้ที่ได้ร่วมงานกับ Mono Films ทำค่าย T-Moment ที่แม้จะมีหนังแค่ 3 เรื่องถ้วนได้แก่ โอเวอร์ไซส์ ทลายพุง, App War แอปชนแอป และ The Pool นรก 6 เมตรก็ยังนับว่าได้สร้างความแปลกใหม่ให้วงการหนังไทยอีกครั้ง
รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด
และหลังเปิดตัวความร่วมมือล่าสุดกับทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์จนได้เปิดค่าย ไทเมเจอร์ และถือเป็นการร่วมงานกันอย่างเป๋็นทางการของคนตระกูลวรลักษณ์ ทั้งวิสูตร (ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์) และ วิศรุต (เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์) ก็ทำให้ความคาดหวังที่มีต่อบิ๊กวงการหนังทั้ง 2 อยู่ในระดับสูงสุดและผลงานประเดิมค่ายที่ขอออกฉายชิมลางก็ได้แก่ บอสฉัน..ขยันเชือด หนังสแลชเชอร์คอมเมดี้เรื่องนี้นี่เอง เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว บอสฉัน…ขยันเชือด

รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex
ตัวหนังเริ่มเรื่องด้วยคลิปจากแชนแนล ‘กี้ษาท้าพิสูจน์’ ที่ช่วยแนะนำให้เรารู้จักกับ โบกี้ (ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร) และเมษา (มุกดา นรินทร์รักษ์) อดีตคู่หูยูทูบเบอร์สมัยมัธยมที่ปัจจุบ้นต้องใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทผลิตเสื้อยืด แต่หลังจากวันดีคืนดีที่พวกเธอรวมถึง หลินฮุ่ย (ผักกาด-พอวิไล อภิรัชฎาพร) ได้พบเจอแฟลชไดร์ฟของนอท (นอท-สัณหณัฐ ทิราชีพ) หนุ่มไอทีที่ทำวิดีโอเปิดเผยว่าคุณต้น (สหรัถ สังคปรีชา) บอสประจำบริษัทเป็นฆาตกรต่อเนื่อง พวกเธอจึงต้องหาทางพิสูจน์ความจริงก่อนจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป
หนังได้ ภูวนิตย์ ผลดี จาก โอเวอร์ไซส์ทลายพุง และ ศรณ์พัฒน์ ปราการะนันท์ มาร่วมกันรังสรรค์เรื่องราวแนบสืบสวนสอบสวนคอมเมดี้ที่มีกลิ่นอายแบบหนังสแลชเชอร์ซึ่งนับเรื่องได้สำหรับวงการหนังไทย โดยหากพิจารณาจากไอเดียตั้งต้นที่มันตั้งใจหยอกล้อกันระหว่างงานออฟฟิศที่ฆ่าความฝันกับฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าเหยื่อสาวออฟฟิศแล้วโยนความไม่น่าไว้วางใจให้กับเจ้านายอย่างคุณต้นก็ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด
ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร ในบท โบกี้
อีกทั้งการได้มุกดานักแสดงสาวช่อง 7 ที่เคมีการแสดงเข้ากันกับไอซ์ ปรีชญาอย่างดีก็ทำให้ตัวหนังมีจุดที่ทำให้คนดูติดตามและลุ้นไปกับทั้งคู่ได้แม้หนังจะไม่ได้มีพระเอกเหมือนหนังไทยเรื่องอื่น ส่วนก้อง สหรัถก็ขายเสน่ห์บอสหนุ่มใหญ่สุดหล่อที่ดูอันตรายไม่น่าไว้วางใจ แค่นี้ตัวหนังก็สามารถเล่นสนุกกับคาแรกเตอร์ที่สร้างมาได้เป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่ตัวบทหนังก็ยังคงมีช่องโหว่ที่ยิ่งหนังเดินเรื่องไปก็ยิ่งถ่างออกจนชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อสังเกตประการแรกที่หนังไม่น่าพลาดเลยคือการปูความสัมพันธ์ของตัวละครโบกี้กับเมษานี่แหละที่บอกตามตรงว่าแม้ฉากเปิดเรื่องจะเปิดด้วยคลิปของทั้งคู่ แต่กว่าหนังจะมาปูความขัดแย้งของทั้งคู่ก็ปาไปองก์สองของหนังแล้ว ที่สำคัญความขัดแย้งของทั้งคู่ยังนำเสนอออกมาในลักษณะเพื่อนสาวที่ง้องแง้งกันมากกว่า และยังไม่พอหนังยังเพิ่มหลินฮุ่ยตัวละครเพื่อนสาวคนใหม่ของเมษาที่แทบไม่มีความจำเป็นกับเรื่องราวเท่าไหร่เข้าไปอีก
ผักกาด-พอวิไล อภิรัชฎาพร ในบท หลินฮุ่ย นอท-สัณหณัฐ ทิราชีพ ในบท โจ๊ก
ประการต่อมาคือการตัวอย่างหนังที่ตัดออกมาโปรโมตคนดูอดคาดหวังไม่ได้เลยว่าตัวหนังควรออกมาระทึกและมีคนตายรายทางจนสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมา ปรากฎว่าทั้งเรื่องการฆาตกรรมเป็นเพียงอดีตที่เกิดขึ้นนานนับปีแค่ศพเดียว แล้วหนังก็เสียเวลาจับแพะชนแกะรายทางเอาทั้งความสงสัยแบบลอย ๆ ไปคุยกับดร.อัง (โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน) หรือพี่ปั่น (เผือก พงศธร จงวิลาส) จนเราอดสงสัยในระดับสติปัญญาของนักสืบ 3 สาวไม่ได้เลย ที่สำคัญคือจุดหักมุมของมันก็มาในแบบจับยัดมากกว่าจะมีการปูปมนี้มาแต่ต้นไปอย่างน่าเสียดาย
เบื้องหลังฉากห้องนักบินในภาพยนตร์ Top Gun: Maverick ใช้กล้อง Sony VENICE และเลนส์ Voigtlander
ประการสุดท้ายเลยคืองานกำกับของหนังยังไม่สามารถทำให้คนดูลุ้นระทึกตามตัวละครหรือสถานการณ์ในเรื่อง ทั้งที่หนังมีฉากที่เอื้อต่อการทำให้คนดูตามติดและอกสั่นขวัญแขวนได้เพียบทั้งฉากในห้องล้างรูปบ้านของบอสต้น ไปจนถึงไคลแมกซ์ของหนังที่แม้จะทำให้คนดูได้หัวเราะและสนุกสนานบ้าง แต่จังหวะของมันก็เอื่อยจนผิดฟอร์มหนังทริลเลอร์ ทั้งการกำกับการแสดงที่เหมือนผู้กำกับเองก็ไม่มั่นใจว่าจะให้ตัวละครรีแอ็กกับเหตุการณ์ตรงหน้ายังไงจนดูประดักประเดิด มุกที่ให้หลินฮุ่ยเอาตัวชนกับฆาตกรก็ดูเป็นมุกสังขารที่เกินความเข้าใจไปหน่อยจนมันดูกระอักกระอ่วนเกินจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ครับ หนังฟรี  หนังใหม่

ความรู้สึกหลังดูหลายๆอย่าง 

แต่กระนั้นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีมาก ๆ แต่ดันมาตอนจบคือคำพูดของฆาตกรที่ว่าด้วยสังคมการทำงานแบบไทย ๆ โดยเฉพาะเรื่องเส้นสายที่เอาคนรู้จักหรือมีความสัมพันธ์เข้ามาทำงานด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งหากหนังปูเรื่องส่วนนี้ดี ๆ มันจะกลายเป็นหนังไทยที่มีบทหนังวิพากษ์สังคมการเมืองที่ทำงานที่เฉียบคมมาก ๆ อย่างไรก็ดีหากใครจะเข้าไปเสพหนังสนุก ๆ สักเรื่องที่มีดารามีเสน่ห์มาเพ่นพ่านกันบนจอ บอสฉัน..ขยันเชือดก็ถือว่ายังตอบโจทย์อยู่ดีครับ
ความรู้สึกหลังดูจบ
หนังเล่าเรื่องได้ไม่ค่อยสนุกเลยฮะ เดินเรื่องวนเวียนไม่ไปข้างหน้าซะที และด้วยความยาวหนังประมาณ 2 ชั่วโมงจึงกลายเป็น 2 ชั่วโมงที่อืดอาดยืดยาดมาก แถมปูมหลังของตัวละครที่พยายามสอดแทรกเข้ามาก็ไม่ได้ช่วยให้หนังมันเมคเซนต์อะไรเท่าไหร่นัก
ก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ตัวผู้กำกับเองหรือได้โจทย์มาจากทางค่ายนะฮะ ถึงได้ตีความและเล่าหนังออกมาในทิศทางแบบนี้ คือหนังไม่มีความชัดเจนในแนวทางใดแนวทางหนึ่งเลย เราจึงได้เห็นว่าหนังมีทั้งความ “พยายาม” ที่จะเป็นหนังตลก (จุดนี้จะเห็นได้ตั้งแต่โปสเตอร์แล้วที่ทำให้คนดูรับรู้ว่านี่เป็นหนังตลกนะ) แต่มันก็ไม่ตลกเลย มุกแป๊กมาก ก็มีบางซีนที่พอให้ขำ หึหึ ได้บ้างแต่จากที่สังเกต คนดูทั้งโรงก็ไม่ได้ หึหึ กันทุกคนนะ
หนังมีทั้งความ “พยายาม” จะเป็นหนังตลกร้ายจิกกัดสังคมแต่ก็ทำออกมาได้ไม่ถึง ทั้งๆ ที่เรื่องราวในแวดวงพนักงานออฟฟิศ มีอะไรให้เอามาเล่นได้อีกเยอะ แต่หนังก็ไม่เอามาเล่น (แค่แตะๆ พอให้เห็นว่ากำลังเล่าเรื่องของพนักงานบริษัทอยู่นะ)
และสุดท้ายหนังยังมีความ “พยายาม” ที่จะเป็นหนังทริลเลอร์ระทึกขวัญหักมุม ซึ่งในพาร์ทนี้แมวโอเคนะ โดยเฉพาะในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องเนี้ย ทำออกมาได้ดีใช้ได้เลย เพียงแต่ว่ามันถูกความอืดอาดยืดยาดน่าเบื่อที่ทำให้มีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่หนังจะจบครอบงำมาเกือบทั้งเรื่องแล้ว พอมาถึงจุดไคลแมกซ์อารมณ์มันเลยไม่พีคอย่างที่ควรจะเป็น
สิ่งที่ต้องขอชมเชยมากที่สุดสำหรับเรื่องนี้เลยก็คือการแสดงของคุณ ดีเจเผือก ฮะ เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นพัฒนาการและศักยภาพทางด้านการแสดงของเขาอย่างชัดเจนเลยฮะ สามารถทำให้เรา “เชื่อ” ในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อกับเราได้
สำหรับหนังเรื่อง My Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือด เป็นหนังไทย อีกหนึ่งเรื่อง ที่เราคิดว่าพล็อตเรื่อง และ แนวของหนังได้ ดีมีความแปลกใหม่ และ น่าสนใจมาก ซึ่งจะไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในประเทศไทย โดยหนังมีการหยิบยกทฤษฎีทางจิตวิทยาเข้ามาพูดถึง และการดำเนินเรื่อง วางทามไลน์หรือนักแสดงภายในเรื่องทุกอย่างออกมาในทิศทางที่ดีโอเคเลย แต่การนำเสนอเรื่องราวนี้เรียกว่าขาดมิติหรือลูกเล่นภายในเรื่องสุด ๆ ไม่มีจุดไคลแมกซ์หรือจุดพีคทำให้คนดูรู้สึกเบื่อไม่ตื่นเต้น อีกทั้งในบางจุดของหนังก็รู้สึกถึงความไม่ Make Sence จับนั้นผสมนี่ ยำใส่กันจน งง ถึงขั้นจะต้องอุทานว่าอีหยังว่ะกันเลยเดียว! หรืออย่างในตอนจบที่มีฉากแอคชั่นต่อสู้กัน หนังต้องการพรีเซนต์ให้ดูตลกแต่เรากลับรู้สึกว่ามันดูพยายามจนทำให้แข็งทื่อไปซะงั้น
My Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือดMy Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือดอีกทั้งในเรื่องนี้จะต้องมีพาร์ทของการสืบสวนแต่ไม่มีความเข้มข้นไปไม่สุด ออกไปแนวครึ่ง ๆ กลาง ๆ มีช่องว่างเยอะเกิน ทำให้ดูไปหงุดหงิดไป กลับกลายเป็นหนังสืบสวน ระทึกขวัญก็ไม่ใช่ หรือจะไปในแนวตลกคอมเมดี้ก็ไม่เชิง เพราะหนังเรื่องนี้แทบมีมุขหรือฉากตลกที่น้อยมาก ถึงมีก็มียังฝืด ๆ
My Boss is a Serial Killer บอสฉัน ขยันเชือดบอก ตรง ๆ ว่า สำหรับเรื่อง My Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือด แอบเสียดายนักแสดงในเรื่องมาก เพราะเป็นนักแสดงชั้นนำที่โด่งดังที่ถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ก้อง สหรัถ , ไอซ์ ปรีชญา , มุกดา นรินทร์รักษ์ , เผือก พงศธร และนักแสดงสมทบอย่าง ผักกาด พอวิไล , โอ๊ต ปราโมทย์และ นอท สัณหณัฐ โดยในเรื่องนี้คนที่โดดเด่นน่าจับตามองก็คือ มุกดา นรินทร์รักษ์ ที่ก้าวขามาเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้และเป็นMain Cast เรื่องแรกเลย นับว่าทุกบทบาทแสดงออกมาได้ดีและเต็มที่มาก ๆ ค่ะ จุดนี้ทางเราขอชื่มชม ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์