Tag Archives: สปอยหนังใหม่ 2022

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

 

 

รีวิวหนังไทย สืบเนื่องจากความสำเร็จของ ATM เออรัก เออเร่อ (2555) ที่ทำรายได้รวมกว่า 150 ล้าน กับ พี่มากพระโขนง (2556) ที่ยอดรวมทะลุหลักพันล้าน บวกกับความล้มเหลวเมื่อกลางปี 2557 ของ ฝากไว้..ในกายเธอ ทางค่ายหนังไทยยักษ์ใหญ่จึงต้องฝากความหวังครั้งสุดท้ายของปีไว้กับ เมษ ธราธร ผู้กำกับฯ เจ้าของผลงาน ATM เออรัก เออเร่อ ให้กอบกู้ชื่อเสียงและหน้าตากลับมาสู่ GTH อีกครั้ง!

 

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

ถ้าอ้างอิงจากผลงานเก่าๆ ที่ทะลุ 100 ล้านแบบลอยตัวของ GTH จะเห็นว่าหลายเรื่องเป็นหนังแนวตลก (comedy) เช่น กวน มึน โฮ, ATM เออรัก เออเร่อ, และ พี่มากพระโขนง ซึ่งวิเคราะห์ที่มาของรายได้ได้หลายทาง

การพีอาร์และการตลาดที่สายแข็งเหนือยุทธภพของค่าย
ดารานักแสดงที่ไม่ได้หล่อสวยโอเวอร์แต่มีเสน่ห์เป็นของตัวเอง มีเอกลักษณ์ และเข้าถึงง่าย
กระแสปากต่อปาก และพลังแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์ก (ทั้งทางบวกและทางลบ)
มุกตลกที่เน้นสายแมสและชนชั้นกลางเป็นหลัก
“ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้” ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานหนังตลกของ GTH ที่มีจุดแข็งตาม 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น (โดยเฉพาะคลิปพระนางเต้นเพลง “ABC ชักกระตุก” นี่เราชอบมาก) แต่แข็งแกร่งกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยมีมาของ GTH ตรงที่ “อาศัยกินบุญเก่า” ของชื่อค่าย, ชื่อ ATM เออรัก เออเร่อ, ชื่อของพระนาง รวมถึงชื่อตัวประกอบอย่างบร๊ะเจ้าโจ๊ก (เช่นเดียวกับกรณีตุ๊กตาผี Annabelle ที่มีคนหลงไปดูเยอะเพราะความฮอตของ The Conjuring) ได้อย่างสบายๆ

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

สำหรับเนื้อเรืองก็ประมาณว่า คายะ(แสดงโดยโซระอาโออิ) ต้องการจะเลิกกับแฟนของเธอ ยิม(ซันนี่) ซึ่งไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เข้ากันได้เรื่องเดียวคือเรื่องจุดจุดจุด….คือไม่ต้องการการสื่อสารอะไรใดๆทั้งสิ้นว่างั้น คายะก็เลยวานให้ติวเตอร์เพลง(ไอซ์ ปรีชญา)ไปแปลคำพูดเพื่อบอกเลิกเป็นภาษาไทยให้(จากภาษาอังกฤษ) ครูเพลงเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษที่ท่าทางจะชื่อดังและร่ำรวยพอสมควรดูจากบ้านและไลฟ์สไตล์ของเธอ

คายะติดสินบนให้กับครูเพลงเป็นกระเป๋าหลุยส์ เธอจึงยอมตกลงรับงานนี้ โดยเมื่อเธอไปแปลให้ยิม บอกว่าคายะไปอเมริกาแล้วและเธอก็คงไม่กลับมาอีกขอให้ยิมโชคดี ส่วนยิมก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเนื่องจากแฟนหนี เขาจึงบังคับให้ติวเตอร์เพลงมาติวภาษาอังกฤษเพื่อไปตามคายะ โดยขู่ติวเตอร์เพลงจนติวเตอร์เพลงต้องยอมจำนนทำงานนี้ ในระหว่างนั้นทั้งสองคนก็ค่อยๆรักกันค่ะหลังจากนี้จะเป็นสปอยล์และความรู้สึกหลังดูนะคะ ใครไม่อยากดูอย่าเลื่อนลงไปนะ

เอาเรื่องความรู้สึกก่อนคือหนังก็ทำได้ไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโอ้ว ว้าว วู้ว เฮ้ยยย สนุกโคตรๆๆๆๆหรืออลังการโคตร อะไรแบบนี้ค่ะ มันเป็นแบบมาตรฐานหนังไทยตลกฟีลกู้ดทั่วๆไป มุขแป้กไม่แป้กมั่ง หนังดำเนินเรื่องเร็วส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษไม่มีแปลเลยสงสารแม่ที่ไปดูด้วยดูไม่เข้าใจตอนนั้นๆ เพราะบางตอนทำได้ดีมากเช่น ตอน 1 minute speech ที่ให้พูดถึงคำว่า mole

แล้วพฤกษ์(ตัวละครในเรื่องที่นางเอกเคยชอบตอนแรก) บอกว่า mole หรือไฝนั้นเลือกที่ๆมันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ คนเรามักจะตามหาคนที่มีไฝที่เดียวกันเพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นพรหมลิขิตแต่มันอาจจะไม่เจอเลยก็ได้ทั้งชีวิต น่าแปลกที่ว่าไฝนั้นเหมือนกันกับโชคชะตา โชคชะตาเลือกที่จะเกิดที่จะเป็นไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะลิขิตชีวิตตัวเองได้ หลังจากนั้นพฤกษ์ก็เอาปากกามาจุดเป็นไฝที่เดียวกันนางเอก เป็นคำพูดหรูหราโลกสวยที่น่าประทับใจค่ะ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

 

อีกตรงหนึ่งก็คือตอนจบที่นางเอกบอกว่า เจ้าหญิงซิลเดอเรลล่าในโลกแห่งความเป็นจริง อาจจะไม่ได้ต้องการเจ้าชายรูปงาม แต่ต้องการช่างทำรองเท้าธรรมดา และช่างทำรองเท้า อาจจะไม่ต้องการซินเดอเรลล่าก็ได้ เรื่องราวเหล่านี้อาจจะไม่จบแบบสมบูรณ์หรือ happily ever after เสมอไป แสดงถึงเรื่องของความรัก คนไปดูหนังรักมักจะเจอฉากจบที่ตัวละครแต่งงาน แฮปปี้ แต่ดูๆไปพบว่านั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นของชีวิตคู่ นอกจากนี้หลายคู่ต้องจบด้วยการเลิกกัน

ส่วนมุขในเรื่องดูขาดๆเกินๆสนุกดีแต่มันดูล้น บางอันดูขาด แต่ตัดภาพได้ดีมากค่ะ ตัดต่อได้ดึงอารมณ์คนทั้งๆที่เป็นฉากธรรมดาๆแต่ทำให้ซึ้งหรือรู้สึกน่ารักกินใจได้ ชีวิตนางเอกดูสมบูรณ์เกินไป เรื่องดูเวอร์ๆ แต่อย่างว่ามันเป็นหนัง ต้องทำใจว่าความเว่อร์มันก็มีอยู่แล้ว ถ้าไปดูหนังชีวิตเรียลมันก็คงไม่สนุก

ความต่างระหว่างพระเอกกับนางเอกมีมาก พระเอกดูจน ดูซกมก นางเอกดูไฮโซ และกลับไม่เลือกคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าบางครั้งความรักเราก็เลือกไม่ได้ว่าจะรักคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน หรือคนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าหรือแม้จะฝืนหลักการของสังคมเช่น ติวเตอร์รักกับนักเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสียจรรยาบรรณในสายตาคนส่วนใหญ่

นางเอกจึงมีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ตอนท้ายสุดและยินยอมที่จะคบกับพระเอกในที่สุด นางเอกน่ารักค่ะเรื่องนี้ เต้นตลกดีตอนจบ ด้วยความที่เป็นหนังรักสำหรับวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นๆเราไปดูแล้วเลยไม่อินมาก แต่ก็ตลกมุขพี่โจ๊กฆ่าจิ้งจกด้วยง่ามตูดนี่แหละ ฮามาก แล้วก็มุขของพฤกษ์ที่บอกว่าผมมีชีวิตเพื่อเพลง ไม่ใช่เพลงเพื่อชีวิต มุขนี่อย่างฮา

บางมุขก็แนวตึ่งโป๊ะคาเฟ่ไปนิด สรุปหนังดูเพลินอย่าไปคิดมากอีกเรื่องหนึ่ง อ้อ พระเอกนี่ก็ประหยัดจริงจังคือเอาน้ำซุปข้าวมันไก่มารวมทำเป็นซุปมาม่า สุดยอดเลยวิธีนี้ ขนาดซุปแข็งเป็นวุ้นยังเวฟได้ แถมกัขฬระนักเลงจนน้องที่ไปดูด้วยกันบอกเป็นตูๆเลือกคุณพฤกษ์แสนไฮโซ

มุขที่เราชอบ ชอบตอนพระเอกสัมภาษณ์งานค่ะ มันมั่วได้ใจมาก นางเอกก็ช่างเก็งข้อสอบมาถูกเหลือเกิน ช่วยเหลือพระเอกขนาดนี้เราว่าเป็นใครๆก็หลงรักนะ ชุดตอนเธอไปกับพระเอกที่เป็นล่ามที่บอกว่าให้ใส่ชุดคล้ายงานแต่งสวยมากค่ะ สรุปรวมๆอีกที ไปดูอย่าไปคาดหวังอะไรมาก เอาฟีลกู๊ดแนว GTH พอค่ะ

ที่เราชอบคือโซระ อาโออิ เธอแสดงดีนะคะ น่ารักมากด้วยถึงแม้จะออกแนวอีโรติคไปนิด แต่มันไม่ได้น่าเกลียดมากค่ะ แค่ส่อ ซันนี่เล่นได้เข้ากับบทดี ดูดีมาก ไอซ์นางเอก น่ารักทุกท่วงท่า ส่วนไม่ชอบคือ มันไม่เรียลเลย ไม่เหมือนโลกแห่งความเป็นจริง ออกการ์ตูนๆ เข้าใจว่าเป็นฟีลนิยมหนังสมัยนี้ และก็ไม่ได้ซึ้งขนาดนั้นตามที่หนังรักควรจะเป็น เผลอๆบางคนไปเชียร์คุณพฤกษ์พระรองด้วยซ้ำ ให้คะแนนความเพลิน

ในวันหยุดที่เป็นวันพุธอย่างนี้ อาจจะดูเป็นเรื่องดีก็ได้ที่มีหนังใหม่รอบสื่อให้ดู ไม่ต้องรีบต้องร้อนตะเกียกตะกายไปดู แต่ที่ไหนได้ กลับพบตัวเองติดแหง็กอยู่บนถนนท่ามกลางจราจรที่ติดขัด เหมือนตัวเองคิดผิดที่เลือกเดินทางในแบบนี้ แม้ว่าสุดท้ายจะมาถึงโรงหนังทันเวลา และได้พบกับหนังเรื่องใหม่จากค่ายหนัง GTH หนังคอมิดี้ที่ผสมเอาความโรแมนติกพ่วงเอาสิ่งที่เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของค่ายๆ นี้เสมอมาอยู่ในนี้ด้วย

สองนักแสดงนำจากหนัง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’
หนังเรื่องนี้มีทั้ง ไอซ์ ประกบ ซันนี่ ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’ จากผู้กำกับจากหนัง ‘ATM เออรัก..เออเร่อ’ ที่กลับมาพร้อมกับนางเอกคนเดิม แต่เรื่องราวเปลี่ยนไป จากเรื่องเพี้ยนๆ ฮาๆ กลายเป็นเรื่องที่รับกับการเข้ามาของ AEC

เรื่องราวของวิศวกรช่างซ่อมบำรุงอย่าง “ยิม” (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ที่กำลังถูกแฟนสาวชาวญี่ปุ่นอย่าง “คายะ” (โซระ อาโออิ) ขอบอกเลิกและบอกลาไปอยู่อเมริกาด้วยเหตุผลที่พวกเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง และเพราะเขาไม่รู้ภาษาอังกฤษจึงเลือกที่จะเรียนรู้ภาษาเพื่อสอบสัมภาษณ์ให้ผ่านไปทำงานที่เดียวกับเธอให้ได้ และนั่นทำให้เขาเลือกมาเรียนกับ “เพลง” (ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร) ซึ่งดันเป็นติวเตอร์คนเดียวกันที่สอนภาษาอังกฤษให้กับคายะอีก ทำให้เพลงต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก

ว่าจะเป็นตัวกลางในการเลิกกันดี หรือทำให้สองคนกลับไปพบกันอีกครั้งดี

แต่มันก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เมื่อเพลงเองก็รู้สึกดีอยู่กับศิษย์หนุ่มหล่อรวยที่ดูจะเก่งภาษาซะจนไม่รู้มาเรียนทำไม อย่าง “คุณพฤกษ์” (ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ) เรื่องชุลมุนวุ่นรักเกิดขึ้น ก็เมื่อความรักของเธอกับศิษย์หล่อรวยกำลังถูกป่วนจากศิษย์ผู้หยาบคายที่พูดอังกฤษไม่ได้เอาเสียเลยน่ะสิ หนังฟรี หนังใหม่

ความคิดเห็นส่วนตัว

สิ่งที่คิดหลังดูหนังเรื่องนี้จบก็คือ จากที่คิดว่าหนังเรื่องนี้จะมีแต่ฉากตลก ขำ ฮากลิ้ง กลับกลายเป็นว่าหนังมีมากกว่านั้น มันคือหนังที่รวมทั้ง Comedy และ Romance เข้าด้วยกัน ครึ่งแรกเราอาจจะชวนหัวไปกับมุกโน่นนี่นั่นที่บ้างก็ทำได้อยู่หมัด แม้บ้างก็ฟังแล้วฝืดๆ บ้างก็ดูน่าเกลียดเกินก็มี แต่กับครึ่งหลัง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’ ทิ้งเทไปที่แง่มุมความรักมากขึ้นและก็ทำได้ค่อนข้างดี เมื่อหยิบจับเอาภาษาอังกฤษ(ที่คนไทยส่วนใหญ่ยังมีปัญหากับมัน)มาเป็นแกนในการสร้างพล็อตและใช้ได้อย่างลงตัว

ถ้าจะพูดนักแสดงเป็นคนๆ ไป อาโออิในเรื่องนี้ไม่ได้รับบทบาทแค่เป็นสาวสวยญี่ปุ่นหุ่นดีที่มารักกับพระเอก แต่กลับได้บทบาทที่มีสำคัญต่อการกระทำของพระเอก เธอมีบทพูดมากขึ้น แม้สำเนียงอังกฤษของเธอจะฟังยากอยู่สักหน่อย โจ๊ก โซคูล และตุ๊ยตุ่ย คือส่วนผสมที่สร้างความฮาให้กับหนัง อาจจะยังดูไม่ได้สำคัญกับเนื้อเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ยอมรับว่าฮาตุ๊ยตุ่ยมาก อีกคนที่ฮาได้อย่างเซอร์ไพรส์ก็คือ ตู่ ภพธร บทหนุ่มหล่อรวยดูจะไปกันได้กับภาพลักษณ์ของเขา แถมยังได้บทพูดที่คมคายพอๆ กันกับไอซ์ ที่นอกจากจะสวยแล้ว ยังแสดงบทตลกได้ดีเช่นเคย ส่วนซันนี่ คงไม่ต้องสงสัยในความเป็นตลกหน้าตายของเขามากนัก เพราะเขาก็ทำมันได้มาตลอดอยู่แล้ว

แต่บางมุกในหนังเรื่องนี้ยังดูจะเซอร์ไพรส์เมื่อเขากล้าจะเอามาเล่น

ซึ่งก็แน่นอนว่า คงไม่ใช่ทุกมุกที่ผมจะชื่นชอบ แต่เมื่อดูโดยรวมของหนังแล้วพาร์ทโรแมนติกของหนังทำได้น่าประทับใจมาก จากที่จะมานั่งขำ กลับกลายว่าต้องมานั่งน้ำตาไหลในหนังตลก ดูๆ ไปก็ให้รู้สึกว่า คุณครูเพลงนี่จะแต่งตัวสวยเซ็กซี่ไปไหน แต่ครูก็น่ารักมากจนบางครั้งก็หลุดโฟกัสจากเรื่องไปเลย หนังมีกำแพงอยู่หน่อยๆ เรื่องภาษาและการอ่านซับไตเติล แต่นั่นกลับเป็นส่วนหลักๆ เลยที่ให้มันกลายเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้นมา

บทหนังร้อยเรียงไว้อย่างดี หยิบจับเอามาใช้ได้เหมาะเจาะ ทำให้ฉากโรแมนติกช่างแสนพีค ขณะมุกเลี่ยนๆ ก็ถูกวางเอาไว้อย่างถูกที่ การ tie-in สินค้าในหนังทำได้ค่อนข้างแนบเนียนไม่ดูโดด แถมยังสอนคนดูให้รู้จักภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ไม่พอ ยังมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเป็น Easter Egg ให้แฟนตัวยงของค่ายนี้ได้ยิ้มย่องเมื่อยามได้เห็น ดูเหมือนว่า…หนัง GTH เริ่มจะกลับมาเข้าฟอร์มอีกครั้งแล้วนะ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

 

 

รีวิวหนังไทย เมื่อวานนี้ (31 สิงหาคม 2559) เราได้มีโอกาส ไปชมภาพยนตร์ ที่โครตหน้าตื่นเต้นอ่ะทุกคน เพราะเป็นภาพยนต์ เบอร์แรกจากค่ายน้องใหม่ เลยทีเดียว แต่บอกไว้ก่อนว่า….ไม่ใหม่ประสบการณ์นะค้าบ อย่าง GDH ที่ประเดิมด้วยภาพยนตร์ที่จะเรียกว่าโรแมนติก็ไม่เชิง แต่ก็มีความอิ่มในด้านของความรู้สึกประมาณหนึ่ง กับ แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว ผลงานชิ้นล่าสุดจาก โต้ง บรรจง ปิสัญธนกูล ผู้กำกับพันล้านจากภาพยนตร์เรื่อง พี่มากพระขโนง ซึ่งเมื่อช่วงค่ำวานนี้ก็เป็นรอบพิเศษก่อนที่จะเข้าฉายจริงในวันนี้ (1 กันยายน 2559) แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว เป็นเรื่องราวของ เด่นชัย (เต๋อ ฉันทวิทย์ ธนะเสวี) พนักงานไอทีของบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งสุดแสนจะปากหมาและไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครที่ดันไปตกหลุมรัก นุ้ย (มิว นิษฐา จิรยั่งยืน) มาร์เก็ตติ้งสาวในออฟฟิศเดียวกัน เด่นชัยสามารถจดจำทุกรายละเอียด ทุกอิริยาบทของนุ้ยได้ในทุกๆ อย่าง แต่ว่ายังไงหมาก็ยังเป็นหมา มันก็คงทำได้แค่เพียงมองเครื่องบินจากด้านล่าง ไม่มีทางที่จะทำให้ทุกอย่างที่คิดเป็นจริงได้ สาวสวยอย่าง นุ้ย มารักกับคนที่อยู่นอกสังคม อย่าง เด่นชัย ได้อย่างไร

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว
ภาพยนตร์เรื่อง แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว หากจะมองเผินๆ แล้วก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้าผลงานของ โต้ง บรรจง อย่าง กวนมึนโฮ ว่ากันว่า แฟนเดย์ ใช้เวลาปั้นถึง 3 ปี ได้มือเขียนบทคู่บุญและเป็นนักแสดง อย่าง เต๋อ ฉันทวิทย์ มาร่วมงานกันอีกครั้ง ซึ่งจากที่ได้ฟังคอมเมนต์จากหลายๆ คนที่มีโอกาสได้ไปชมในรอบสื่อบ้างก็มีทั้งที่ประทับใจ เข้าใจในความรู้สึกและความเป็นตัวละคร บ้างก็มีทั้งที่บอกว่านี่อาจจะเป็นก้าวแรกที่ดีของบ้านหนังหลังใหม่ อย่างนี้ GDH นี้ แต่อาจจะเป็นก้าวถอยหลังของการทำหนังในแบบที่แตกต่างของโต้ง ในแง่ของเนื้อเรื่องโดยรวมอาจจะไมีมีอะไรที่หวือหวามากนัก ดูไปเรื่อยๆ อาจไม่มีอะไรแปลกใหม่ หากแต่ว่าเป็นการหยิบเอาเรื่องราวที่เราเคยได้รู้ได้เห็นมาเล่าให้ละเอียด และมีมิติของความรู้สึกมายิ่งขึ้น

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว
จุดเปลี่ยนเดียวของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการที่จู่ๆ นางเอกนั้นก็เกิดอาการบางอย่างกับตัวเองที่เรียกว่าโรคความจำเสื่อมชั่วคราวระหว่างเล่นสกี ซึ่งถือได้ว่าเรื่องนี้ก็ทำการบ้านมาดีพอสมควรให้แง่ของรายละเอียด ซึ่งซีนนี้เป็นเหมือนประตูที่พาให้คนดูเข้าไปเห็นความรู้สึกนึกคิดและการกระทำในอีกด้านของตัวละคร เต๋อ ฉันทวิทย์ แสดงเป็น เด่นชัย ออกมาได้อย่างสมบทบาท แสดงความเป็น Looser ได้อย่างเต็มเปี่ยมเอามากๆ เล่นซะเราเชื่อสนิทใจ ส่วน มิว นิษฐา นี่ก็แสดงออกถึงความสดใสได้ทุกครั้งที่ยิ้ม แววตาที่เป็นประกาย ต่อให้เด่นชัยไม่พูดเธอเป็นอย่างไร แต่ก็เชื่อได้ว่าคนดูก็น่าจะเห็นเช่นกัน ชอบมากเวลาที่สองคนนี้เข้าคู่ มันเป็นความรู้สึกที่อึมครึม ไม่ถึงกับฟิน แต่ก็ทำให้อิ่มและยิ้มได้เป็นระยะ ชอบในความที่ไม่มีอะไร แต่ก็ดูมีอะไร คล้ายกับว่าตัวละครทั้งสองเข้ามาเติมเต็มซึ่งกันและกัน (จริงๆ แล้วอยากให้ไปชม ไม่มีหนังเรื่องไหนที่จะมีความสุขไปซะทั้งเรื่องหรอก)

อีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่องนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็เห็นจะเป็นเรื่องของภาพ โดยเฉพาะการยกกองไปถ่ายทำที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีให้เราได้ชมกว่าครึ่งเรื่อง ก็ถือได้ว่าเป็นความแตกต่างจากเรื่องก่อนซึ่งอยู่ที่เกาหลี แต่ก็ยังคงความเป็น บรรจงสไตล์ เอาไว้ได้มาก ยอมรับว่าภาพสวยมาก สวยจริงๆ เหมือนกำลังดูภาพวาดยังไงอย่างงั้น (นี่ไม่ได้เวอร์นะ) ประกอบตัวละครที่อยู่ในจุดที่เรียกว่าพอดี การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การเคลื่อนไหว ก็เลยกลายเป็นส่วนที่ช่วยเติมเต็มให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

 

คราวนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องเดินทางไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะดี หรือจะดับ แต่ตัวเราเองก็ถือว่าประทับใจในระดับหนึ่ง ขอให้คะแนนสำหรับ แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว ภาพรวมเอาไว้ด้วยความเป็นกลาง 7/10 ก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าตัวหนังจะออกมาดี สร้างความรู้สึกให้กับผู้ชมได้ขนาดนี้ แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรแปลกใหม่ออกมาให้ผู้ชมได้จดจำมากสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่รอยยิ้มและแววตาของมิวนี่แหละที่เราและคนดูหนังคนอื่นๆ จะจำได้ อย่างไรก็ตามนี่ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ GDH ในการเป็นผู้สร้างหนังไทยที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ลงตัวไปซะหมด ฝากให้เพื่อนไปชมกันด้วยนะ สนับสนุนหนังไทย เข้าฉายวันนี้เป็นวันแรก …

 

แฟนเดย์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า One day เป็นหนังแนวโรแมนติก-ดราม่าจากค่าย GDH 559 ผลงานการกำกับของบรรจง ปิสัญธนะกูล นำแสดงโดยเต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวีและมิว นิษฐา จิรยั่งยืน

เรื่องราวเกิดขึ้นจากเรื่องของเด่นชัย(เต๋อ ฉันทวิชช์) พนักงานด้านไอทีของบริษัทแห่งหนึ่ง เขาออกจะเป็นผู้ชายที่จืดชืดและดูไร้ตัวตนในสายตาของเพื่อนร่วมงาน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตของเขา คือ คุณนุ้ย(มิว นิษฐา) พนักงานสาวสวยคนหนึ่งจากแผนกการตลาด เขาคงเริ่มแอบชอบคุณนุ้ยและเริ่มพัฒนาเป็นแอบรัก เหมือนเป็นแฟนพันธุ์แท้ ตั้งแต่ตอนที่คุณนุ้ยได้เห็นเขามีตัวตนในสายตาเป็นครั้งแรก

แต่เหมือนคุณนุ้ยก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีการกระทำแบบนั้นอยู่ เธอเป็นผู้หญิงอีกคนของ ท้อป(ตุ้ย ธีรภัทร์) หัวหน้าของทั้งสองคน ทั้งที่เธอก็รู้อยู่ว่าท้อปมีภรรยาแล้ว และก็ได้แต่เชื่อว่าท้อปจะหย่าขาดจากภรรยาจริง ๆ

ที่บริษัทของทั้งคู่ได้พาไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งด้วยอะไรบางอย่างทำให้ทั้งคู่กลายมาเป็นแฟนกัน แม้ว่านั่นจะยาวนานแค่เพียงวันเดียวเท่านั้น แต่เด่นชัยจะจัดการกับหนึ่งวันนั้นอย่างไร หนังฟรี หนังใหม่

ตัวบทของหนัง

 

ตัวบทของหนังเรื่องค่อนข้างดี มีการแสดงออกถึงความไร้ตัวตน ทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับความ loser นั้น และความรู้สึกของการเป็น ‘เมียน้อย’ ของนุ้ยที่ดูน่าเกลียดในทีแรก แต่พอได้รู้จักกับเธอนานเข้าจึงเริ่มเข้าใจเหตุผลขึ้นมาบ้าง

อีกสิ่งที่ถือว่าดีมากคือฉากการถ่ายทำที่ทุ่มทุนไปถ่ายทำกันถึงฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ภาพในทุก ๆ ฉากการถ่ายทำนั้นดูสวยงามและชวนหลงใหล การนำเพลงเก่า ๆ มานำเสนอก็เช่นกัน ล้วนแต่เป็นเพลงที่คุ้นหูและเมื่อได้ยินอีกครั้งจึงติดหูได้ในเวลาไม่นาน

เด่นชัย คือตัวแทนของคนพื้น ๆ บ้าน ๆ ดูไม่มีอะไรโดดเด่น และไม่ได้อยู่ในสายตาของใคร แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัยมี คือ ความทุ่มเท ที่มากเกินคนปกติ เราจะเห็นได้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนกระทั่งจบ ว่าเด่นชัยคือตัวละครที่มีความพยายามมากจริง ๆ และแม้ว่าการกระทำของเขาจะใกล้เคียงกับการเห่า ‘เครื่องบิน’ แต่ความจริงใจและตรงไปตรงมานั้นคงทำให้เครื่องบินร่อนลงมาจอดข้างเขาได้สักวัน

คุณนุ้ย คือ ตัวแทนของผู้หญิงหัวปัจจุบัน ดูสนุกสนานร่าเริง คนทั่วไปอาจมองเธออย่างนั้น แม้ว่าทัศนคติที่หลาย ๆ คน มีต่อเมียน้อยนั้นจะไม่ดีนัก แต่นุ้ยเป็นตัวละครอีกตัวที่เป็นเมียน้อยได้ซื่อตรงและดูเจียมตัวอย่างน่าประหลาด เธอดูน่าสงสารและน่าเห็นใจ คนดูอาจจะเผลอเอาใจช่วยเธอในบางครั้งก็ได้

ท็อป คือ ตัวแทนของผู้ชายที่ไม่รู้จักพอ เต็มไปด้วยคำหว่านล้อมให้คนเชื่อ การเสนอและให้ความหวังแบบส่งเดชนั้นทำให้ผู้หญิงซื่อ ๆ แบบนุ้ยเชื่อและพร้อมจะทำตาม การกระทำของท้อปนั้นมีเพียงลมปาก ปราศจากความจริงใจ

แฟนเดย์…แฟนกันแค่วันเดียวหนังเรื่องนี้ถูกสร้างตอนจบไว้ 2 รูปแบบ ซึ่งไม่ว่าจะรูปแบบไหนสุดท้ายปลายทางก็ไม่ค่อยต่างกัน แต่อย่างไรซะหนังเรื่องนี้ก็ได้สะท้อนมุมมองไว้หลาย ๆ อย่างทีเดียว

แต่ผมไม่ลืมนี่ครับ
หากอยากสัมผัสบรรยากาศประเทศญี่ปุ่น กับความรักที่แฝงไปด้วยหลายแง่มุม ก็สามารถกดรับชมทาง True ID ได้โดยคลิกที่นี่ แล้วแฟนเดย์จะกลายมาเป็นวันของคุณ

 

ประเดิมภาพยนตร์เรื่องแรกของค่ายหนังชื่อใหม่แต่ยังคงความเก๋าไว้เช่นเคยอย่าง
GDH ด้วยหนังโรแมนติกดราม่าที่ผู้กำกับร้อยล้านหน้าตี๋
โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล อยากลองทำอะไรใหม่ๆ มากไปกว่าหนังฮาที่เขาอยู่มือ
เรื่องนี้ดึงเอาพระเอกระดับแม่เหล็ก เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
โคจรมาเจอกับนางเอกนัยน์ตาเศร้าที่ทำเราใจละลายอย่าง มิว-นิษฐา
จิรยั่งยืน แล้วจูงมือพาคนดูเที่ยวฮอกไกโดในหนึ่งวันที่เขาทั้งคู่จะเป็นแฟนกัน…ได้แค่วันเดียว

นอกจากเมจิกโมเมนต์ที่เกิดขึ้นในทุกฉากที่มิว นิษฐา ปรากฏตัว ไม่ว่าเธอจะพูด
หัวเราะ ร้องไห้ รอยยิ้มกว้างและนัยน์ตากลมโตที่เจือด้วยความเศร้าก็โดดเด่นออกมานอกจอกระทบใจเราทุกครั้งแล้ว
เรายังชอบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังเลือกมาใช้เสริมเส้นโรแมนติกและพล็อตความทรงจำ
อย่างตุ๊กตากาชาปอง ตราประทับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เทศกาลหิมะที่ซัปโปโร ที่ช่วยให้เรื่องน่ารักพลิกกลับมาเป็นฉากซึ้งๆ
ได้ไม่ยาก

 

ถึงอย่างนั้น ใน แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว ก็มีหลายอย่างที่น่าเสียดายไม่น้อย
อย่างช่วงแรกๆ ของหนังที่ปูตัวละครเด่นชัยกับนุ้ยให้คนดูรู้จักอาจยืดยาวไปหน่อย ฟีลลิ่งช่วงกลางเรื่องหลายฉากก็พานให้นึกว่ากำลังดูโฆษณาการท่องเที่ยวฮอกไกโดไม่น้อย
(ซึ่งก็ชวนให้เราอยากไปเล่นสกีที่ฮอกไกโดจริงๆ นะ) แต่สิ่งที่ช่วยขยับความสัมพันธ์ของนุ้ยและเด่นชัยให้ใกล้ชิดและรู้สึกดีต่อกัน
ในฐานะว่าวันนี้ฉันจำแฟนของฉันไม่ได้ กลับไม่มีมากเท่าที่เราหวัง


สารภาพว่าเราแอบตะขิดตะขวงใจเล็กๆ
ตอนแรกที่ฟังพล็อตว่าจะเป็นได้จริงไหม ไอ้อาการความจำเสื่อมชั่วคราว (Transient Global Amnesia: TGA)
ที่ถูกเอามาใช้เป็นสถานการณ์หลักให้นุ้ย นางเอกของเรื่องสูญเสียความทรงจำไปแค่วันเดียว
สบโอกาสพอดีให้เด่นชัย พนักงานไอทีเข้าสังคมไม่เก่งที่แอบชอบนุ้ยอยู่ไกลๆ ได้สวมรอยเป็นแฟนนุ้ยเสียเลย
แต่พอได้ดูจริงๆ สถานการณ์ในเรื่องก็ถูกออกแบบมาให้การเป็นแฟนกันแค่วันเดียว ‘เข้ารูปเข้ารอย’ จนเรายอมรับได้ แถมยังแอบเอาใจช่วยให้วันที่เด่นชัยมีความสุขนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
(ซึ่งจะมีอะไรหักมุมมากน้อยแค่ไหน ขอชวนให้ไปหาคำตอบกันเอาเองในโรงภาพยนตร์) ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ

 

 

รีวิวหนังไทย ตอนแรกที่เห็นโปสเตอร์หน้า ของหนัง เรื่อง เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ ความรู้สึกคือ หนังดูติ๊งต๊อง ไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ และดูขายเฉพาะกลุ่ม พูดตรงๆ ก็คือมันดูไม่แพงเอาเสียเลย และน่าจะเป็นหนังแนวเน้นขายดารามากกว่า แต่พอ GTH ปล่อยตัวอย่างเต็มๆ และคลิปฐานันดรออกมาให้ดู เออ ปรากฏว่าข้างในมันดูมีอะไรและน่าสนใจกว่าที่คิด หนังไทยnetflix

 

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

บางทีมันอาจจะจริงอย่างที่เขาว่า Don’t judge a movie by its poster. ดังนั้นเราต้องไปพิสูจน์เอง

เรื่องย่อ เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ
ป๋อง (แบงค์-ธิติ) แบ่งนักเรียนในโรงเรียนเป็นฐานันดรต่างๆ คือ คนทั่วไป, อันธพาล, เด็กเนิร์ด, นักกีฬา, คนหน้าตาดี, และนักกิจกรรมตัวท็อป โดยจัดตัวเองเป็นบุคคลผู้ไม่มีฐานันดร ไร้ตัวตน ไม่มีคนสนใจ แต่คนไม่มีศักดิ์อย่างป๋องก็ดันไปแอบชอบมิ้ง (ฟรัง-นรีกุล) นักกิจกรรมตัวท็อป ว่าที่ประธานสีคนต่อไป ทั้งที่เธอไม่เคยเหลียวแลเขาเลย

จนวันนึงป๋องได้รู้จักกับเมย์ไหน (ปันปัน-สุทัตตา) ผู้หญิงเก็บตัว ไม่เข้าสังคม และไม่มีฐานันดรเช่นเดียวกับเขาป๋องล่วงรู้ความลับของเมย์ไหนว่าเธอแอบชอบพี่เฟม (ต่อ-ธนภพ) สุดฮอต ผู้เป็นทั้งนักกีฬา หน้าตาดี และประธานสี แล้วป๋องยังรู้อีกว่า เมย์ไหนเลือกที่จะไร้ตัวตนเพราะเธออยู่กับใครไม่ค่อยได้ ร่างกายของเธอจะปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาเหมือนปลาไหลไฟฟ้าทุกทีที่เหนื่อย ตื่นเต้น หรือตกใจ

ทั้งสองตกลงเป็นเพื่อนกัน รักษาความลับของกันและกัน ค่อยๆ สนิทกัน และช่วยกันจีบมิ้ง-เฟมตัวท็อปของโรงเรียนอย่างลับๆ

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ
หมู ชยนพ ผู้กำกับ “SuckSeed ห่วยขั้นเทพ” กลับมานำเสนอชีวิต loser / underdog ของเด็กวัยรุ่นม.ปลายอีกครั้ง โดยเอาความเป็นหนัง GTH มาผสมผสานกับอะนิเมะแบบที่เขาชอบ (นี่บางทีก็สงสัยว่า เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ นี่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปลาไหลหรือปิกาจู)

เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ เป็นหนังวัยรุ่น rom-com ที่ไม่ใช่แค่โอเวอร์แอ็คติ้งตามสไตล์ GTH แต่ยังเพิ่มความเป็นการ์ตูนอะนิเมะแบบโอเฟร่อได้อีก แล้วซาวนด์ประกอบนี่ก็ไม่รู้จะเอาฮาไปไหน ในส่วนของมุกตลกอาจฮาบ้างไม่ฮาบ้าง ขึ้นอยู่กับอายุ วัย หรือประสบการณ์ส่วนบุคคล แต่ก็คลายเครียดได้อยู่

ในส่วนของความซึ้ง เราว่ามันก็ซึ้งนะ มีเสี่ยวบ้างไรบ้าง กระตุ้นต่อมมโนบ้างไรบ้าง แต่มันก็มีความโรแมนติกแบบน่ารักๆ แบบเด็กๆ ที่ชวนอมยิ้ม เออ โดยส่วนตัวเราชอบพาร์ทดราม่ามากกว่าพาร์ทตลก ถึงแม้มันจะดราม่าไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ เพราะแม่งชอบตลกแทรก แต่โดยรวมก็สนุกดี

เสียดายก็แต่ประเด็นเรื่องฐานันดร และประเด็นเรื่องการพยายามมีตัวตน (ไหนๆ ก็ชื่อหนังว่า “เมย์ไหนฯ” อะ เก๊ตปะ) ที่น่าจะทำให้สุดควบคู่ไปกับความตลกโปกฮาและรักโรแมนติกกุ๊กกิ๊กไปด้วยซะหน่อย นี่อะไรไม่รู้ 80% เป็นมุก “อีไฟช็อต”

เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

ตอนปล่อยโฆษณาโปรโมต หนังทำท่าทางเหมือนจะเน้นประเด็นเรื่องฐานันดรในโรงเรียน และช่วงฉากเปิดของหนังก็ยังเปิดด้วยการแนะนำฐานันดรต่างๆ ในโรงเรียน เช่น พวกอันธพาล, เด็กเนิร์ด, นักกีฬา, คนหน้าตาดี, นักกิจกรรมตัวท็อป, จนไปถึงกลุ่มจัณฑาลผู้ไร้ตัวตน แต่สุดท้ายแล้วหนังก็ไม่ได้เน้นให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวให้สุด

80% ของหนังแทบไม่เน้นการนำเสนอเรื่องฐานันดรเท่าไหร่ ก็นั่นแหละ ไปเน้นเอาฮาและเน้นเอาฉากกุ๊กกิ๊กตามประสา จนกระทั่งกลับมาโผล่อีกทีก็ช่วงท้ายๆ เรื่อง ซึ่งเหมือนจู่ๆ ก็วกกลับมา และยังดูมีความพยายามมากเกินไปจนดูขาดความเป็นธรรมชาติ เช่น การเล่นคำระหว่างคำว่า ฐานันดร “ศักดิ์” กับ “ศักย์” ไฟฟ้า แต่จริงๆ ก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะหนังมันเซอร์เรียลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

 

เช่นเดียวกับการ์ตูนสั้นหลายเรื่อง ตัวละครส่วนใหญ่ค่อนข้างแบนราบและมีคาแรกเตอร์แบบการ์ตู๊นการ์ตูน (ตามความตั้งใจของผู้กำกับนั่นแหละ) อย่างเช่น เมย์ลีด (ต้าเหนิง กัญญาวีร์) และเดอะแก๊ง (แพรว นฤภรกมล) นี่ดูสวยใสไร้สมอง แถมยังชอบใช้กำลังและเล่นพรรคเล่นพวก แต่เราก็ชอบนะ คาแรกเตอร์ชัดดี ตลกดี มีมุกเป็นของตัวเอง ดูดีมีซิกเนเจอร์

มีติดใจตรงคาแรกเตอร์ (และหน้าตา) ของป๋องนิดหน่อย หน้าตาก็ดี๊ดี บุคลิกนิสัยก็ดูเป็นคนปกติและเฟรนด์ลี่ดี แต่ทำไม้ทำไมถึงกลายเป็นคนไร้ตัวตนไปซะได้ก็ไม่รู้ (แต่ก็เข้าใจนะ ถ้าป๋องจืดกว่านี้ หนังก็คงไม่สนุกแบบนี้)

อย่างไรก็ตาม เราชื่นชมที่เด็กๆ นักแสดงนำแสดงได้ดีมีพัฒนาการ ถึงแม้ในภาพรวม เราจะยังสลัดภาพ “ฮอร์โมนส์” ของพวกเขาออกได้ไม่หมด 100% แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีความตั้งใจเกินร้อย และทำได้ดีตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย

อย่างปันปันนี่ไม่ค่อยสงสัย นางเล่นหนังเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่แบงค์กับต่อนี่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์เรา แบงค์แสดงดีเกินคาด ในเรื่องนี้ได้เห็นแล้วว่าน้องคนนี้ “เล่นตลกก็ได้ เล่นดราม่าก็ถึง” อนาคตไกลได้อีก ส่วนต่อในเรื่องนี้นี่เวรี่หล่อเกาหลีออร่าพุ่ง 4×100 เมตร ที่สำคัญต่อเล่นบ้าๆ บอๆ ชนิดไม่ห่วงหล่อเลยทีเดียว คนละเรื่องกับไผ่-ฮอร์โมนส์เลย

บทของพี่เฟม (ต่อ-ธนภพ) เป็นตัวแทนของฐานันดรคนหน้าตาดี ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ถ้าเกิดมารูปร่างหน้าตาดี ทำอะไรก็ดูดี ป็อปปูล่าร์ ไปไหนมาไหนก็เหมือนมีสปอตไลท์ติดตามตัวเป็น GPS แถมยังมีอิทธิพลต่อคนฐานันดรอื่นอีก แล้วยิ่งถ้าหน้าตาดีแล้วยังมีความสามารถ เช่น เล่นกีฬาได้ ความหน้าตาดีนั้นก็จะเป็นบันไดให้เขาไปถึงจุดสูงสุดได้โดยใช้ความพยายามน้อยกว่าคนที่หน้าตาดีอย่างเดียวหรือมีความสามารถอย่างเดียว

ฐานันดรตัวท็อป เช่น บทของมิ้ง (ฟรัง-นรีกุล) เป็นกลุ่มนักเรียนที่มีพาวเวอร์ มีความเป็นผู้นำ และจริงจังกับการทำกิจกรรมมาก คนบางคนก็เหมือนเกิดมาเพื่ออยู่ในฐานันดรนี้โดยกำเนิด แต่ในขณะเดียวกัน ตัวท็อปบางคนก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้มีจุดยืน มีตัวตนในโรงเรียน หรืออยู่ในสายตาของใครสักคนบ้าง ทั้งๆ ที่ที่จริงแล้ว เขาอาจจะไม่ได้อยากมาเหนื่อยหรือรับผิดชอบอะไรหนักหนาขนาดนี้เลยก็ได้

ฐานันดรเด็กเนิร์ด มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือแว่นและตำรา เนิร์ดจริงๆ มีหลายระดับ หนักหน่อยคือเรียนเอาเป็นเอาตาย เลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษ จะทำอะไรก็ต้องเอาเกรดมาล่อ ไม่สนใจกิจกรรม ไม่สนใจวิชายิบย่อย เช่น ศิลปะ งานไม้ งานประดิษฐ์ หรือวิชาใดใดที่ไม่ใช่เชิงวิชาการหรือไม่เกี่ยวกับเป้าหมายในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในฝันของพวกเขาโดยตรง

ส่วนคนชายขอบหรือบุคคลไร้ศักดินา มีสองประเภทย่อยใหญ่ๆ ได้แก่ คนที่สังคมไม่ยอมรับ ไม่ให้ความสำคัญ ไม่เห็นค่า อย่างเช่น บทของป๋อง (แบงค์-ธิติ) กับ คนที่พิเศษ แปลกแยก แตกต่างจากคนทั่วไป เช่น เมย์ไหน (ปันปัน-สุทัตตา) แล้วคนกลุ่มนี้จะมีความแปลกตรงที่ ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่ชอบใครเลย ก็จะไปชอบตัวท็อปไปเลย หนังฟรี หนังใหม่

ความคิดส่วนตัว

เราคิดว่า การที่เราเห็นบุคคลไร้ตัวตนไปชอบบุคคลตัวท็อปไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่ว่าเขาไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเสมอไป เราคิดว่า บางทีคนพวกนี้ก็แค่กลัวการมีความรัก กลัวการไม่ยอมรับหรือการปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก กลัวคนคนนั้นจะเข้ากับเขาไม่ได้อย่างที่เขาเข้ากับใครไม่ได้ ดังนั้นบางครั้งการแอบชอบและแอบมอง (คนที่เป็นไปไม่ได้) อยู่ข้างเดียวที่มุมมุมหนึ่ง ก็เป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากความผิดหวังอย่างหนึ่ง และขณะเดียวกัน ก็ยังมีความสุขกับการแอบรักไปได้ด้วยเช่นกัน

เพราะคนบางคนจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าก็ต่อเมื่อเขาได้รักใครสักคน เช่นเดียวกับคนบางคนที่จะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนมารัก (ไม่ว่าจะรู้ตัวกันหรือไม่ก็ตาม) ซึ่งมันก็ไม่มีความรักแบบไหนดีกว่าแบบไหน ขึ้นอยู่ที่แต่ละคนว่าใครจะ value ตัวเองจากความรักแบบไหนมากกว่ากัน แต่ไม่ใช่ว่า พอคนที่เรารักเขาไม่รักเราตอบ เรารู้สึกตัวเองไม่มีค่าทันที รู้สึกที่ตัวเองทำมาทั้งหมดไร้ค่า อันนี้ไม่ใช่ละ… ปรับทัศนคติด่วน

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไง คนที่รักกันจริง เขาจะพยายามหาทางให้อยู่ด้วยกันได้เอง แต่ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พยายาม หรือเลือกที่จะไป คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีใครผิดใครถูก มีแต่ใช่หรือไม่ใช่

วันนึง เราจะเจอคนที่รู้จักเราจริงทั้งข้อดีข้อเสียของเราแล้วเขายังรับเราได้และพยายามปรับตัวให้อยู่กับเราได้… เมื่อถึงวันนั้นแล้ว ก็อย่าปล่อยให้คนคนนั้นหลุดมือไปเป็นอันขาด เพราะเขามีค่า… เขาเห็นคุณค่าของเราและรักเราในแบบที่เราเป็น (แต่เอาจริงๆ นะ จริงๆ แล้ว ทุกคนล้วนมีค่ากันทั้งนั้นแหละ no matter what!)

ที่สำคัญ จำไว้ว่า สำหรับความรักก็ต้องพยายามและให้กันทั้งสองฝ่ายนะ ถ้าเป็นฝ่ายพยายามฝ่ายเดียว หรือให้อยู่ฝ่ายเดียว มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ต่อให้พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือพลีกายถวายหัวทำอะไรเพื่อเขาขนาดไหน ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น คนไม่ใช่ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี

ส่วนคนฐานันดรสูงๆ อย่างพี่เฟมกับมิ้ง จะหันมาสนใจคนฐานันดรต่ำๆ หรือไม่นั้น อย่างที่เราก็เห็นกันถมเถไปในชีวิตจริงและละครหลังข่าว มันเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับคนฐานันดรสูงคนนั้นเขา value อะไรมากกว่ากัน ถ้าเขา value ชื่อเสียงเงินทองมากกว่าความรักความสุข เขาก็คงไม่หาเรื่องลดศักดินาตัวเองให้เหลือห้าไร่

แต่มันก็มีเหมือนกันนะ คนชั้นสูงที่เบื่อและชาชินกับแสงสีเสียงหรือการมีคนมานิยมชมชอบ แล้วพอเจอคนที่ไม่รู้จักเขา ไม่สนใจคลั่งไคล้เขา เขาจะไม่เข้าใจ เขาจะสนใจคนคนนั้นเป็นพิเศษ เขาจะรู้สึกว่าคนคนนี้น่าค้นหาและคงไม่ทำตัวน่ารำคาญใส่เขาแบบพวกติ่งชั้นต่ำ (นั่นไง ละครอีกละ)

ซึ่งทั้งนี้เราก็ต้องไปลุ้นกันต่อไปว่ารักหลายเส้าใน เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ จะลงเอยอย่างไร พี่เฟมกับมิ้งจะหันมาสนใจเมย์ไหนกับป๋องหรือเปล่า แล้วจะรับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้หรือไม่… (สับสน เข้าใจยาก สมกับเป็น “วัยว้าวุ่น” จริงๆ)

ความรู้สึก… ก็มีหลายชั้น หลายระดับ เช่นเดียวกับฐานันดร บางทีมันอาจเป็นแค่ความปลื้ม ความชอบ ความคลั่งไคล้ ความพิศวาส หรือแค่ความรู้สึกดี… แต่มันไม่ใช่ “ความรัก” ซึ่งเราต้องค่อยๆ ไตร่ตรองดูให้ดี มันใช้วัตถุหรือพฤติกรรมภายนอกชี้วัดไม่ได้เสมอไปอย่างตอนแยกชั้นฐานันดร เนาะ… ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

 

 

 

รีวิวหนังไทย ‘The Whole Truth ปริศนารูหลอน’ เป็นภาพยนตร์ Netflix Original แนวดราม่า-ระทึกขวัญผลงานล่าสุดของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ที่บอกเล่าเรื่องราวของ พิม (รับบทโดย ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์) และ พัท (รับบทโดย แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์) สองพี่น้องที่ต้องย้ายไปอยู่บ้านเดียวกับตา (รับบทโดย สมภพ เบญจาทิกุล) และยาย (รับบทโดย ทาริกา ธิดาทิตย์) ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เพราะแม่ (รับบทโดย นิโคล เทริโอ) ประสบอุบัติเหตุนอนโคม่า แต่เมื่อย้ายเข้าไปในบ้านทั้งสองก็ได้พบกับรูหลอนปริศนา ที่เรียกพวกเขาไปพบกับความจริงบางอย่างที่ซ่อนไว้ สปอยหนัง

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

The Whole Truth เปิดเรื่องด้วยชีวิตประจำวันธรรมดาของเด็กนักเรียนสองคนและแม่ของเขา เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ แวะจอดข้างทาง และพาคนดูหักเลี้ยวไปเรื่องที่ร้อยเรียงไปตามลำดับเมื่อความจริงหลังรูเล็กดำมืดค่อย ๆ เปิดเผยปริศนา ความลับดำมืดให้เห็น ดูแล้วอาจจะเหมือนภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์หักมุมทั่วไปหนึ่งเรื่อง แต่เมื่อเรามองให้ดีประเด็นสำคัญของการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่ามันสนุกแค่ไหน แต่อยู่ที่มันกำลังสื่อสารอะไรกับเราผ่านสัญญลักษณ์ในเรื่อง และเมื่อเราได้ดู ภาพที่เราเห็นในจอจึงไม่ใช่แค่ตัวละคร บ้านหนึ่งหลัง และรูหนึ่งรู แต่ขยายใหญ่กว่านั้นขึ้นอยู่กับผู้ชมว่าจะตีความเห็นเป็นอะไร

 

[เนื้อหาของบทความต่อจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องที่อาจส่งผลต่ออรรถรสในการรับชม]

‘ความจริงบางครั้งก็เหมือนรู้สีดำเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในความมืด มันอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา เพียงแต่เรามองไม่เห็น แต่ทันทีที่แสงสว่างสาดส่องไปถึง มันจะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน จนเราตกใจว่ามันอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’

ประโยคนี้ที่ดังขึ้นในเรื่องถึงสองครั้งตอนเปิดเรื่องและตอนเฉยปมเป็นเหมือนการเปิดลายแทงที่ทำให้เราค้นเจอชิ้นส่วนต่าง ๆ และปะติดปะต่อต่อสิ่งที่เห็นในจอจนเป็นภาพของประเทศไทยซ้อนทับอยู่ในบ้าน ตัวละครเป็นตัวแทนของคนแต่ละยุค รู นาฬิกา นมที่พัทดื่ม หรือแม้แต่ชั้นวางของในเรื่อง ต่างก็มีความหมายในตัวของมันเอง

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

ตา ตัวแทนของ ไซเลนท์เจนเนอเรชั่น (Silent Generation) ที่ถูกเรื่องนำเสนอให้มีคาแรกเตอร์ที่ให้ความสำคัญของการมีระเบียบแบบแผน มีความสัมพันธ์ที่พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้กุมอำนาจสูงสุดในบ้าน ทุกคนในบ้านต้องเห็นคล้อยตามผู้นำ เหมือนที่คุณตาจะมีอารมณ์ทุกครั้งหากหลานมีความเห็นที่ต่างออกไป และการบังคับให้คุณยายกินยาเพื่อลืม แม้จริงนั้นจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ติดอยู่กับตำแหน่งใช้ตำแหน่งและอำนาจในมือให้เป็นประโยชน์แก่ตน เน้นความเป็นพวกพ้องรุ่นพี่รุ่นน้องแสดงผ่านการใช้เส้นสายส่วนตัวในวงการตำรวจ ยึดความถูกต้องในแบบที่ตัวเองเข้าใจเป็นหลัก
ยาย ตัวแทนของ ผู้หญิงยุคเบบี้บูมเมอร์ส (Baby Boomers) ที่ภาพยนตร์นำเสนอให้มีหน้าที่เป็นผู้ตามในครอบครัว ยึดถือหลักการคล้ายกับคุณตา ยังคงให้ความสำคัญกับแบบแผนและตำราเช่นการกินอาหารให้ครบห้าหมู่ ความเข้มงวดในเรื่องต่าง ๆ และหากมีสิ่งไหนที่แตกแถวไปจากความสมบูรณ์แบบตามความเข้าใจของพวกเขาจะต้องถูกกำจัดไป เชื่อในการอดทนต่อปัญหามากกว่าแก้มัน
แม่ ตัวแทนของเจ็นเอ็กซ์ (Gen-X) ที่ผู้หญิงพึ่งพาตัวเองมากขึ้นและความเป็นผู้นำครอบครัวไม่ติดกับเรื่องเพศอีกต่อไป ให้อิสระกับลูกมากกว่า แก้ปัญหาอย่างประนีประนอม หลับตาข้างเดียวได้

 

 

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน
ส่วนลูกสองคนคือตัวแทนของกลุ่ม เจ็นแซด (Gen-Z) ที่ตั้งคำถาม ใคร่รู้ และมองตรงไปยังปัญหา แต่พิมอาจจะเป็นตัวแทนของกลุ่ม privileged หรือ ผู้มีสิทธิพิเศษ ด้วยความ ‘สมบูรณ์แบบ’ ของเธอ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่ได้ตั้งคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหลายครั้งเลือกที่จะไม่มองเข้าไปใน ‘รู’ ทั้งที่มันส่งเสียงเรียกหาอยู่ข้างหน้า ในขณะที่พัทอาจจะเป็นตัวแทนของคนกลุ่มชายขอบสะท้อนผ่านความพิการของขา ที่ส่งให้เขาอยากไขปริศนาและไม่กลัวที่จะมองเข้าไปแม้สิ่งที่เขาจะมองอยู่มันน่าสยองแค่ไหนก็ตาม
พินยา ตัวแทนของปัญหา ความจริงที่บิดเบี้ยวน่ากลัวซึ่งถูกซ่อนไว้ แต่ไม่เคยหายไปไหน เหมือนกับร่างของพินยาที่ถูกซ่อนไว้ในตู้ใต้บันได แต่ยังคงออกมาเรื่อย ๆ หรืออาจจะเป็นคนที่เห็นต่างมีความคิดไม่สมบูรณ์ตามแบบแผนในสายตาของคนบางกลุ่มที่ต้องถูกกำจัดไปเหมือนที่คุณยายต้องการกำจัดพินยาที่มีใบหน้าย้อยออกมาเป็นเหลี่ยมอยู่ครึ่งหนึ่ง
รู เป็นตัวแทนของความจริงและปัญหาที่โดนมองข้ามและถูกซ่อนไว้ในอดีตและภาพในรูที่พิมและพัทเห็นชัดขึ้นทุกทีก็อาจจะเป็นตัวแทนของเวลาคนเรามองตรงไปยังความจริงที่ซ่อนไว้และยิ่งให้เวลาพิจารณาค้นหามากเท่าไหร่ ความจริงก็จะยิ่งปรากฏชัดให้เห็นกับตา เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

 

นม ตัวแทนของแนวคิดของคนรุ่นก่อนที่คนรุ่นใหม่ถูกขืนให้ฝืนกิน สะท้อนผ่านการที่ยายบังคับให้พัทดื่มนมด้วยเหตุผลของความหวังดี โดยมองว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะรักษาความแตกต่าง เหมือนกับที่ยายบอกว่านมจะช่วยให้กระดูกขาที่บกพร่องของพัทแข็งแรง แต่ยาพิษที่ถูกผสมอยู่ข้างในนั้นกำลังจะฆ่าพัทให้ตาย
นาฬิกา อาจจะสื่อถึงอดีตที่เคยเรืองรองที่คนบางกลุ่มเคยสัมผัสและยังคงเห็นมันอยู่ แต่สำหรับคนอีกรุ่นที่มองเห็นแค่เพียงราง ๆ เหมือนร่องรอยบางเบาในกำแพงตรงที่นาฬิกาเคยอยู่
ชั้นวางของที่มีทั้งถ้วย โล่รางวัลที่เก่าจนสีหม่น และสิ่งละอันพันน้อยจากยุคต่าง ๆ ทั้งเครื่องลายครามจากจีน ตุ๊กตากระเบื้องของฝรั่ง เปรียบได้กับเกียรติยศและความภูมิใจในอดีตและวัฒนธรรมที่หยิบยืมและหลอมรวมจากหลายชาติไว้ในชั้นสูงใหญ่ที่ถูกนำมาปิดบังรูเจ้าปัญหานั่นไว้ แต่ก็ปิดไม่ได้และทุกอย่างก็ล้มลงมา แตกกระจายเป็นเสี่ยง

 

และเมื่อนำสัญญลักษณ์เหล่านี้มารวมกับสถานการณ์ในเรื่องและการย้ำถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ ‘15 ปีที่แล้ว’ ช่วงเวลาที่เกิดหนึ่งในจุดหักเหสำคัญของการเมืองไทยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นอย่างรัฐประหารปี พ.ศ. 2549 ก็ยิ่งทำให้ประเด็นที่เรื่องต้องการจะสื่อชัดเจนขึ้น อย่างเช่น

การตายของพินยาและพ่อ อาจจะสื่อถึงการกำจัดคนที่คิดว่าเป็นปัญหา เพราะว่าเขาไม่ตรงกับมาตราฐานความถูกต้องสมบูรณ์ที่คนรุ่นก่อนวางไว้ เหมือนที่ยายรังเกียจพินยา และรังเกียจพัทเพราะทั้งสองมีความแตกต่างอย่างที่ยายไม่ต้องการ และการที่ตาและยายไม่ยอมให้พิมและพัทมองภาพเหล่านี้และมักจะไล่พวกเขาให้ ‘ไปนอน’ ก็เหมือนเป็นการบอกให้เพิกเฉยต่อปัญหาเหมือนที่พวกเขาทำมา
ความขัดแย้งของคนแต่ละยุคสมัยที่ทัศนคติทางการเมืองไม่เหมือนกัน สื่อผ่านความขัดแย้งของคุณตาคุณยายและหลาน ๆ ที่ถกเถียงกันเรื่องความมีอยู่ของรูและสไตล์การแสดงที่ต่างกันของแต่ละเจนเนอเรชั่น ในขณะที่เจนเนอเรชั่นตรงกลางที่ควรเป็นสะพานระหว่างคนสองวัย หลับอยู่ในโคม่า ทำให้ความคิดของคนสองรุ่นยิ่งยากจะหาจุดตรงกลางได้ ในตอนจบที่แม่ลูกทั้งสามย้ายกลับไปบ้านตัวเอง ในขณะที่ตายายต้องอยู่กันสองคนกับความรู้สึกผิดที่จะหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต อาจจะสื่อว่าหากเราไม่ยอมรับปัญหาและการมีอยู่ของรูและเรียนรู้จะอยู่กับมัน หนทางเดียวคือความแตกแยก ต่างคนต่างอยู่ในโลกที่ตัดกันเหมือนสีขาวสว่างในบ้านของแม่ และความหม่นหมองมืดทึมในบ้านของตายายเท่านั้น
การที่แต่ละคนเห็นรูและภาพในนั้นไม่เหมือนกันก็เหมือนกับการที่แต่ละคนมองปัญหาและเห็นความรุนแรงของมันไม่เท่ากัน คุณตามองไม่เห็นรูเลย ส่วนคุณยายเลือกที่จะไม่ใส่ใจกับมัน เช่นเดียวกับแม่ที่เลือกจะย้ายออกมาเพื่อจะได้ไม่เห็นรูนั่นและปิดบังลูก ๆ ไม่ให้รู้เรื่องนี้ตลอดมา พินเห็นภาพพินยาที่ป่วยใกล้ตาย ในขณะที่พัทเห็นพินยาที่ตายไปแล้วหัวเป็นโพรง สะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาที่ขึ้นอยู่กับสายตาคนมองหรือเลือกที่จะมองข้ามไป

ความตายของพินยาและโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับพ่อที่เฉลยมาว่าทั้ง ตา ยาย พ่อ และแม่ต่างก็มีส่วนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งนั้นสะท้อนให้เห็นว่าผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็มีส่วนให้เกิดความวุ่นวายทั้งนั้น แต่ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองในขณะที่คนรุ่นหลังคือพิมกับพัทต้องมารับกรรม
อาการป่วยกระอักเลือดของพัทและการตั้งคำถามของพิมที่คิดว่าเป็นเพราะพัทมองรูนั่นทำให้พัทป่วย แต่ที่จริงแล้วเป็นยาพิษที่ถูกผสมไว้ในนมต่างหากที่ฆ่าพัท เหมือนจะสื่อว่าการมองไปที่ปัญหาไม่ใช่สิ่งที่จะฆ่าใคร แต่เป็นการที่ถูกยัดเยียดแนวความคิดที่เป็นพิษต่างหากที่ฆ่าคนได้
การเฉลยในตอนท้ายที่พิมและพัทสุดท้ายได้รู้ความจริงเกือบทั้งหมดเป็น irony กับชื่อ ‘The Whole Truth’ ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษที่แปลว่าความจริงทั้งหมด เป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่าสิ่งที่คิดว่ารู้ อาจจะไม่ใช่ความจริง แม้แต่คนที่ปกป้องเราก็อาจจะมีความลับดำมืดของเขาเองที่เราไม่อาจรู้ได้เลย
ฉากจบที่พิมนอนหลับตาพริ้มนอนตรง ฮัมเพลงโดยมีพินยานอนอยู่เคียงข้าง อาจตีความได้สองทาง ทั้งการสื่อว่าการที่เราสามารถประนีประนอม ทำความเข้าใจ และอยู่กับความจริงในอดีตที่น่าเกลียดน่ากลัวได้ ใจเราก็จะสงบ หรืออาจจะหมายถึงว่าแม้เราจะหลับตาแต่ความอดีตจะไม่มีวันหายไปไหน แต่จะติดตามเราไปเหมือนที่พินยาจะอยู่ข้าง ๆ พิมไปอย่างนั้นอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว 

The Whole Truth ปริศนารูหลอน จึงไม่ใช่ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่พูดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากราวกับอยู่ในบ้านของเรา และการสื่อเรื่องผ่านสัญญลักษณ์ทำให้การดูเหมือนกับการเติมคำในช่องว่างว่าผู้ชมจะเลือกแทนค่าตัวละครในเรื่องเป็นใคร เป็นอะไร และเพลงปิดเรื่องที่พิมฮัมซึ่งมีเนื้อร้องว่า ‘เสียแรงหลงกู่ ยู้หู ยู้หู ยู้หู ยู้หู หลงอยู่ทุกคืนทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ละเมอ…หาเธอ หาเธอจนสิ้นลมหายใจ’ ‘เธอ’ ที่ว่านั้น หมายถึงใครกัน

แต่ลำดับการเล่าเรื่องและบรรยากาศของหนังยังคงทำได้ในระดับกลางๆ ที่ยังดูไปสุดมากกว่านี้ได้อีก หนังมีการปูเรื่องราวเอาไว้หลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายก็มัวแต่ยุ่งเหยิงอยู่กับแกนเดียวที่เพียงแค่แกนนี้ก็ถือว่าเกือบจะพาหนังไปไม่รอดเสียแล้ว คอนเซ็ปต์ดีที่ของหนังถูกนำมาถ่ายทอดในแบบที่ค่อนข้างคลีเช่ทั่วไป อยากจะให้ดูระทึกและหฤหรรษ์ตามไปด้วยแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงใจอีกอยู่ดี

The Whole Truth จึงออกมาเป็นเพียงหนังระทึกที่มีแนวเนื้อเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พยายามที่หักเหตรงนั้นตรงนี้ แต่ยังทำได้ไม่ถึงจุดที่จะชวนให้ผู้ชมรู้สึกว้าวกับการคลี่คลายในแต่ละประเด็น เพราะโทนเรื่องที่ไม่ได้ชวนน่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น กับภูมิหลังของครอบครัวที่คนดูน่าจะเดาทางกันได้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าตระกูลน่าจะมีความไม่ชอบมาพากลและความลับปกปิดเอาไว้อยู่แน่ๆ จึงทำให้การเฉลยปมต่างๆ ยังไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น

รีวิวหนัง The Whole Truth ปริศนารูหลอน

แต่จุดสตรองของหนังก็แน่นอนว่าต้องเป็นทีมนักแสดง “ปันปัน สุทัตตา” กับ “แม็ค ณัฐพัชร์” ถือว่าเป็นตัวยืนเรื่อง ที่บอกตามตรงว่าพวกเขาก็เกือบจะเอาหนังทั้งเรื่องไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน ต้องมาได้ความเป็นมืออาชีพของรุ่นใหญ่ “ก้อย ทาริกา” กับ “หมู สมภพ” มาช่วยซัพพอร์ต จึงทำให้ทั้งหมดต่างช่วยกันประคองหนังเรื่องนี้ไปตลอดรอดฝั่งได้สำเร็จ แม้ว่าทิศทางการแสดงของพวกเขาจะไม่ได้ชวนตื่นตาอะไรก็ตาม แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของพวกเขา

เอาเป็นว่า The Whole Truth ปริศนารูหลอน เป็นหนังที่พยายามจะฉีกแนวออกมาในมุมมองที่ไม่ค่อยได้เห็นในหมู่หนังไทยสักเท่าไหร่ แต่ความพยายามนี้ถือว่ายังไม่ประสบสำเร็จเปี่ยมเลี่ยม เป็นความครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่ได้แย่แต่ก็ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร หนังที่สามารถดูได้สนุกเพลินๆ ตามการเล่าเรื่องแบบพยายามชวนให้ระทึก แต่หากว่าใครชอบหนังแนวสืบหาปมปริศนาความจริงก็น่าจะชอบเรื่องนี้พอได้อยู่

แต่ลำดับการเล่าเรื่องและบรรยากาศของหนังยังคงทำได้ในระดับกลางๆ ที่ยังดูไปสุดมากกว่านี้ได้อีก หนังมีการปูเรื่องราวเอาไว้หลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายก็มัวแต่ยุ่งเหยิงอยู่กับแกนเดียวที่เพียงแค่แกนนี้ก็ถือว่าเกือบจะพาหนังไปไม่รอดเสียแล้ว คอนเซ็ปต์ดีที่ของหนังถูกนำมาถ่ายทอดในแบบที่ค่อนข้างคลีเช่ทั่วไป อยากจะให้ดูระทึกและหฤหรรษ์ตามไปด้วยแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงใจอีกอยู่ดี

The Whole Truth จึงออกมาเป็นเพียงหนังระทึกที่มีแนวเนื้อเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พยายามที่หักเหตรงนั้นตรงนี้ แต่ยังทำได้ไม่ถึงจุดที่จะชวนให้ผู้ชมรู้สึกว้าวกับการคลี่คลายในแต่ละประเด็น เพราะโทนเรื่องที่ไม่ได้ชวนน่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น กับภูมิหลังของครอบครัวที่คนดูน่าจะเดาทางกันได้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าตระกูลน่าจะมีความไม่ชอบมาพากลและความลับปกปิดเอาไว้อยู่แน่ๆ จึงทำให้การเฉลยปมต่างๆ ยังไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น

รีวิวหนัง The Whole Truth ปริศนารูหลอน

แต่จุดสตรองของหนังก็แน่นอนว่าต้องเป็นทีมนักแสดง “ปันปัน สุทัตตา” กับ “แม็ค ณัฐพัชร์” ถือว่าเป็นตัวยืนเรื่อง ที่บอกตามตรงว่าพวกเขาก็เกือบจะเอาหนังทั้งเรื่องไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน ต้องมาได้ความเป็นมืออาชีพของรุ่นใหญ่ “ก้อย ทาริกา” กับ “หมู สมภพ” มาช่วยซัพพอร์ต จึงทำให้ทั้งหมดต่างช่วยกันประคองหนังเรื่องนี้ไปตลอดรอดฝั่งได้สำเร็จ แม้ว่าทิศทางการแสดงของพวกเขาจะไม่ได้ชวนตื่นตาอะไรก็ตาม แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของพวกเขา

เอาเป็นว่า The Whole Truth ปริศนารูหลอน เป็นหนังที่พยายามจะฉีกแนวออกมาในมุมมองที่ไม่ค่อยได้เห็นในหมู่หนังไทยสักเท่าไหร่ แต่ความพยายามนี้ถือว่ายังไม่ประสบสำเร็จเปี่ยมเลี่ยม เป็นความครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่ได้แย่แต่ก็ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร หนังที่สามารถดูได้สนุกเพลินๆ ตามการเล่าเรื่องแบบพยายามชวนให้ระทึก แต่หากว่าใครชอบหนังแนวสืบหาปมปริศนาความจริงก็น่าจะชอบเรื่องนี้พอได้อยู่ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

 

 

รีวิวหนังไทย ด้วยคำสั่งของบิดา ของเขา คนหนุ่มคนนี้ จึงตัดสินใจ นั่งรถฝ่าดงโคลนที่ชื้นแฉะจนทำรถติดหล่ม ผ่านพื้นที่แสนทุรกันดาร เข้าไปยังเหมืองแร่ห่างไกลความเจริญ ที่ อ.กระโสม จ.พังงา เพื่อหวังหางานทำเป็นบทเรียนชีวิต

ในช่วงเวลา 3 ปีกว่า เกือบ 4 ปี เขาได้เรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่างจากที่เขาเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง จาก ‘คนเมือง’ ลูกข้าราชการในกรุงเทพ ต้องพลิกผันมาเป็น ‘คนเหมือง’ เป็นกรรมกรใช้แรงงานแลกค่าแรงจากนายฝรั่งวันละไม่กี่บาท ใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำไปวันๆแบบไม่ต้องคิดถึงอนาคตมากนัก สปอยหนัง

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

อาจกล่าวได้ว่า เหมืองแร่กระโสมในฉากหลังเปื้อนควันสีน้ำตาลอ่อน ภายใต้แสงส้มของดวงตะวันยามเย็นและไฟเหลืองที่ห้อยอยู่ตามหลังคาเรือขุด เป็นมหา’ลัยชีวิตของอาจินต์ ปัญจพรรค์ คนหนุ่มผู้นี้ ที่นี่ เขาได้เรียนรู้ทักษะชีวิตมากมายที่ในมหาวิทยาลัยไม่มีวันสอนเขาได้

มหา’ลัยแห่งชีวิต
ในปีแรกเขายังปรับตัวไม่ได้ แม้แต่จะหุงข้าวกินเองก็ยังทำไม่เป็นจนกลิ่นน้ำมันก๊าดซึมเข้าข้าวไปหมด ต้องอาศัยแกงจืดจากลุงแถวบ้านประทังชีวิต แม้รสชาติไม่อร่อยแต่บรรยากาศที่ได้นั่งซดน้ำแกงอยู่ใต้เพิงหมาแหงนพอให้คลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

แรกเริ่มเขาเป็นเพียงกรรมกรช่วยงานทั่วไปในเรือขุด ความรู้จากคณะวิศวะบวกกับการเป็นคนหนุ่มทำให้เขามั่นใจในตัวเองเสียหนักหนา แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า แค่สั่งน็อตมาซ่อมเรือขุดเขายังเขียนรายการผิด ความไม่มีประสบการณ์ทำให้เขาต้องตั้งใจอย่างจดจ่อ เรียนรู้จากคนอื่นๆที่แม้ระดับการศึกษาต่ำกว่าเขา แต่ก็ชินและช่ำของในงาน เรือขุดนี้มีพี่จอน ฝรั่งที่พูดสำเนียงใต้ไฟแล่บเป็นนายหัวเรือขุด หนังไม่ได้บอกว่าพี่จอนมาจากไหน รู้แต่ว่าแกเป็นคนสู้งานและคุมทุกคนได้อยู่ แกมีพรรคพวกที่คอยเดินตามเมื่อตรวจเรือขุด และดูเหมือนว่าเหมืองนี้เป็นเลือดเนื้อและชีวิตแก เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

วันหนึ่งเจ้านายฝรั่งให้อาจินต์คอยจับตามองขโมยที่จะมาขโมยแร่ที่เหมือง แม่อาจินต์เฝ้าอยู่ เขากลับเห็นพี่จอนกับพรรคพวกมาขนแร่ไป อาจินต์โกรธจัด เทศนาทุกคนว่าแร่นี้เป็นของนายฝรั่ง เพราะเครื่องมือเครื่องจักรและค่าแรงทุกอย่างเป็นของนาย แต่คนขนแร่กลับตอกกลับมาว่าแร่นี้อยู่ในแผ่นดินไทย ไม่สมควรให้ฝรั่งมาเอาไป ความขัดแย้งก่อตัวขึ้นชัดในใจอาจินต์เสียจนเขาเดินไปลาออกในวันรุ่งขึ้น หารู้ไม่ว่าเขาจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากบทเรียนนี้

 

เมื่อกร้านขวบวัยมากขึ้น อาจินต์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นคนทำแผนที่ เขาได้ลูกมือมาช่วยคนหนึ่ง คือไอ้ไข่ ผู้ซึ่งยิ้มแย้มตลอดเวลาและมีนิสัยเหมือนเด็ก อาจินต์เล่าว่าเขาและไอ้ไข่แชร์วิถีประชาธิปไตยกันอยู่ เพราะตอนเช้าเขาจะเป็นคนเดินตัวปลิวไปเขียนแผนที่ แต่ตอนเย็นไอ้ไข่จะเป็นคนเดินมือเปล่านำหน้าไปก่อน ด้วยเหตุผลว่า ‘เลิกงานแล้ว’ ไอ้ไข่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่นั่งท้ายรถกระบะลุยโคลนไปกับเขา แหวกพงหญ้าเข้าไปวางไม้วัดพื้นที่ และยังเป็นเพื่อนในวงเหล้ายามเหงา น่าสังเกตว่าเหล้าเป็นสิ่งเชื่อมสายใยของคนในเหมืองที่เป็นผู้ชายล้วนได้อย่างดี แม้กระทั่งนายฝรั่งเองก็ยังดื่มจัดและตั้งวงกับคนงาน พอเมาก็เอาเงินมาแจกเด็กชาวบ้านแถวนั้นไปซื้อเสื้อผ้า วิถีแบบลูกผู้ชายไหลเวียนอยู่ในสายเลือดที่มีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

มุมมองชนชั้นกลางที่ไม่ใช่กรรมกรจริง

ในภาพรวม หนังมหา’ลัยเหมืองแร่ให้ภาพเกี่ยวกับโลกการทำงานของชนชั้นกรรมาชีพได้อย่างโรแมนติก เล่าด้วยเหตุการณ์สั้นๆที่จบในตัวเองหลายเหตุการณ์ เพราะตัวหนังสร้างจากเรื่องสั้นชุด ‘เหมืองแร่’ ที่เป็นประสบการณ์จริงของอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ แต่ในความโรแมนติกนั้น ถ้าเรามองทะลุไป เราจะเห็นความแร้นแค้นในชีวิตกรรมกร อาจินต์นั้นแทบไม่เหลือเงินสักบาทตอนเขาออกจากเหมืองแร่ เพราะเอาเงินไปซื้อเหล้าหมดแล้ว กรรมกรคนอื่นก็ระหกระเหินไม่ต่างกันเมื่อเหมืองแร่ปิด และต้องใช้ชีวิตแบบไม่รู้อนาคตและไม่รู้จะได้กลับมาเจอกันเมื่อใด ในความโรแมนติกที่เล่าจากสายตาชนชั้นกลางของอาจินต์ เราจะเห็นแง่ที่ไม่งามของมันได้จากคำขอของนายฝรั่งที่ให้อาจินต์สัญญาว่าจะไม่มาใช้ชีวิตแบบนี้อีก พร้อมซื้อตั๋วเครื่องบินให้เขากลับกรุงเทพ เมื่อลองคิดดูแล้ว หากอาจินต์เป็นเพียงกรรมกรคนหนึ่งที่มีฐานะเท่าๆกับกรรมกรคนอื่นๆที่เหมือง เขาอาจไม่ได้มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโรแมนติกแบบ Good Old Day ก็ได้ เพราะเขาไม่มีตาข่ายกันตกที่ชื่อว่าครอบครัวเช่นชนชั้นกลางแบบอาจินต์ – อาจินต์ที่เป็นชนชั้นกลางนั้นมีบ้านให้กลับไปเสมอ และที่บ้านพร้อมจะให้การสนับสนุนเขาแม้เขาจะไม่มีงาน แต่กรรมกรทั่วไปไม่ได้เช่นนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าจะหางานได้อีกไหม และจะมีข้าวตกถึงท้องอีกเมื่อใด คงไม่มีใครมีอารมณ์มาเขียนเรื่องเล่าชุดที่ตีพิมพ์จนขายดีแบบอาจินต์ได้

ในแง่หนึ่ง มหา’ลัยเหมืองแร่ และเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ ที่กำกับและเขียนโดยชนชั้นกลาง จึงเป็นแค่การมองไปที่โลกของกรรมกรอย่างคนที่อยู่ข้างนอก ที่มาลิ้มรสความลำบากเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เมื่อออกมาจากโลกแห่งนั้น เขาก็ยังมีที่ให้ไปต่อ ด้วยต้นทุนทางสังคมและการศึกษาที่มากกว่า ตัวเนื้อเรื่องไม่ได้ผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมทางชนชั้นมากขึ้น เพราะยังคงมองชีวิตกรรมาชีพเป็นสิ่งแปลกใหม่ น่าพิศวง (Exotic) เพราะแตกต่างจากชีวิตคนเมือง อย่างไรก็ตาม หนังก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในการให้ความบันเทิงและตอบกลุ่มคนดูชนชั้นกลางได้ดี จนได้รับรางวัลหลายรางวัล และได้ขึ้นทำเนียบหนึ่งในหนังไทยที่ดีที่สุด

สามารถรับชมมหา’ลัยเหมืองแร่ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

 

มหา’ลัย เหมืองแร่ ดัดแปลงมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของ คุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์… ในปี พ.ศ. 2492 อาจินต์ วัย 22 ปี นิสิตชั้นปีที่สองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย เขาได้เดินทางลงใต้ มุ่งหน้าไปทำงานที่เหมืองกระโสม ตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ในยุครุ่งเรืองของเหมืองดีบุกในประเทศไทย

4 ปี ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีความสะดวกสบาย ทว่าสิ่งที่อาจินต์ได้รับกลับเป็นบทเรียนที่ไม่สามารถหาได้จากมหาวิทยาลัย หลายสิ่งเป็นวิถีนามธรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่ก็ล้ำค่าจนเขาสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต…
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
มหา’ลัย เหมืองแร่ (Official Trailer)

มหา’ลัย เหมืองแร่: มหา’ลัยที่สอนให้รู้จักกับ ‘มิตรภาพ’ และ ‘รสชาติของชีวิต’

” กินอย่าอาย ตายอย่ากลัว ยากช่างหัว ตายปลด ”

“มหา’ลัย เหมืองแร่” เป็นหนังที่อบอุ่น นุ่มลึก เชื่อว่าใครหลายคนดูแล้ว ก็ต้องหลงรัก หากให้เลือก Genre ให้กับหนังมหา’ลัย เหมืองแร่ ก็คงถูกจัดอยู่ในแนว ‘Drama – Coming of Age’ ที่เล่าถึงการก้าวผ่านพ้นวัยของอาจินต์ สภาพก่อนและหลังจากที่อาจินต์มาอยู่เหมืองกระโสม เขาได้ก้าวข้ามบางอย่าง ทั้งปมในชีวิต และความสับสนของช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ พร้อมกับการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

ที่เหมืองกระโสม อาจินต์ได้สัมผัสกับประสบการณ์ชีวิต ได้รู้จักกับความรับผิดชอบ ความอดทน ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ความอบอุ่น และความจริงใจ

ที่สำคัญเขาได้เรียนรู้ถึง ‘มิตรภาพ’, ‘บทพิสูจน์จิตวิญญาณของลูกผู้ชาย’, ‘รสชาติชีวิตอันเข้มข้น’ และ ‘สัจธรรมชีวิต’ ซึ่งหาไม่ได้จากมหาวิทยาลัย หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว 

 

ระหว่างรับชม เราจะได้สัมผัสบรรยากาศอันสมจริงของการทำงานในเหมืองแร่ – เรือขุดแร่ ว่าสภาพการทำงานเป็นอย่างไร… ในปี 2492 สภาพถนนยังไม่ดี (ตัวเหมืองยังอยู่ในป่าอีกด้วย) สภาพอากาศทางใต้ฝนตกชุก ทำให้ทุกที่ต่างเต็มไปด้วยโคลนเหนอะหนะ หลายๆ คนอาจจะจินตนาการสภาพการทำงานไม่ออก ยิ่งในปัจจุบัน ยุครุ่งเรืองของเหมืองแร่ดีบุกก็หมดไปจากประเทศไทยแล้ว… มหา’ลัย เหมืองแร่ ช่วยให้เราเห็นภาพเก่าในอดีตได้อย่างแจ่มชัดขึ้น เป็นอีกหนึ่งจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้

ในแง่ภาพยนตร์ ถือว่าหนังทำออกมาได้ดี ด้วย Character แบบภาพยนตร์ GTH ยุคเก่า ไม่หวือหวา โทนไปทางดราม่า ส่วนตัวคิดว่า ภาพรวมหนังอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกว่าสมบูรณ์อย่างหนังต่างประเทศในเวทีดังๆ เช่น บางส่วนของเรื่องยังเชื่อมโยงไม่เนียน หรือนักแสดงยังแสดงไม่เป็นธรรมชาติมาก (แต่ให้ความรู้สึกสมจริงกับบรรยากาศดี)

ที่หนังทำได้น่าประทับใจที่สุดคือ การสร้าง Impact ให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วมได้อย่างแนบแน่น และถ่ายทอดแก่นเรื่องออกมาได้อย่างชัดเจน สละสลวย จริงใจ… นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ ‘มหา’ลัย เหมืองแร่’ ยังอยู่ในใจของทุกคนเสมอมา

พิชญะ วัชจิตพันธ์ ผู้รับบท ‘อาจินต์’

น่าเสียดายว่า ในปี 2548 ที่ภาพยนตร์ออกฉาย ปรากฏว่าภาพยนตร์ขาดทุนอย่างหนัก จากงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท ทำรายได้ไปเพียง 30 ล้านบาท แต่ในแง่คำวิจารณ์ ได้รับคำวิจารณ์ยอดเยี่ยม คว้ารางวัลใหญ่ภายในประเทศไปได้หลายสถาบัน ทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก สุพรรณหงส์ ชมรมวิจารณ์บันเทิง สตาร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์ และ คม ชัด ลึก อวอร์ด นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลสำคัญหลายรางวัล จาก เฉลิมไทย อวอร์ด และStarpics Thai Films Awards

มหา’ลัย เหมืองแร่ ยังได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยไปเข้าแข่งขันชิงรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในเวทีออสการ์ ส่วนในระดับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ มหาลัย’ เหมืองแร่ ก็ได้รับคัดเลือกให้ไปฉายในหลายเทศกาลเช่น Pusan International Film Festival (2005), Hong kong – Asia Film Financing Forum (HAF) (2005), Palm Springs International Film Festival (2006) – California, USA

ในปี พ.ศ. 2556 มหา’ลัย เหมืองแร่ ได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ไทย 1 ใน 25 เรื่องที่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ 3 โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ (แหล่งอ้างอิง)

หลังจากผ่านยุคนี้ไปแล้ว ก็ไม่เคยเจอหนังจาก GTH ที่ทำออกมาในแนวนี้อีกเลย แนวหนังที่ค่อนไปทางสายรางวัล (ในฉบับของ GTH)… หลักๆ คิดว่าก็คงมาจากรสนิยมของผู้ชมในประเทศที่ไม่ได้ตอบรับภาพยนตร์แนวนี้มากนัก หนังที่ดูไม่ง่าย แต่นุ่มลึก ให้ความหวังและกำลังใจแก่ทุกคน

” เกียรติของคนต้องขุดเอง ” ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว โหมโรง

รีวิว โหมโรง

 

รีวิวหนังไทย โหมโรง หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของวงการหนังไทย โหมโรงถูกสร้างในปี 2547 (ผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว !!!) โหมโรงกำกับโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ในส่วนดนตรีได้รับการควบคุมโดย ชาติชาย พงศ์ประภาพันธุ์ และ ชัยภัค ภัทรจินดา (คนดนตรีไทยน่าจะรู้จักดี) ตัวหนังได้รับเสียงชื่นชมมากมาย สร้างกระแสดนตรีไทยฟีเวอร์ ขนาดถูกนำไปสร้างเป็นละครทีวีและละครเวที โหมโรงเริ่มแรกเกือบจะถูกถอดไปแล้ว แต่โชคดีถูกต่อลมหายใจโดยพันทิป กระแสปากต่อปากช่วยเอาไว้ ในส่วนรางวัล หนังได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสุพรรณหงส์ รางวัลต่างๆภายในประเทศมากมาย และถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งชิงออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศด้วย

รีวิว โหมโรง

 

นอกจากรางวัลในประเทศไทยแล้ว โหมโรงยังได้รางวัลจากเทศกาลหนังต่างประเทศหลายเทศกาลด้วย เช่น Miami Film Festival , Asia-Pacific Film Festival , Marrakech International Film Festival (ตัวข้อมูลอ้างอิงจาก Imdb) จึงถือได้ว่าเป็นหนังไทยที่เจ๋งมาก สามารถไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศได้

สำหรับเนื้อเรื่องโหมโรงเป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากชีวิตของ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ครูคนสำคัญของวงการดนตรีไทย ศรเกิดมาในครอบครัวดนตรีไทยและได้รู้จักกับดนตรีไทยตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตมาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีสูงกว่าคนอื่น ทำให้ได้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีหลวงที่มีเจ้านายคอยอุปถัมภ์ เป็นนายระนาดประจำวง ได้พบรักกับสาวในวัง ได้เข้าสู่ช่วงที่หมดหวังที่สุดในชีวิตเมื่อประชันระนาดแพ้ขุนอิน แต่สุดท้ายด้วยการฝึกฝนและคิดค้นทางระนาดใหม่ ทำให้สามารถเอาชนะขุนอินไปได้

 

รีวิว โหมโรง

ตัดไปช่วงบั้นปลายชีวิต ศรในวัยชรา ต้องเผชิญกับ อุปสรรคของดนตรีไทยอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่กระจายเข้ามาในสังคม นโยบายควบคุมดนตรีไทยและศิลปะแขนงต่างๆ จนทำให้ดนตรีไทยเข้าสู่ยุคโรยรา ซึ่งเป็นยุคที่ศรยากจะทำใจได้

เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ถ้านับจากวันที่เรามีโอกาสได้ไปชมละครเวที “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” จนถึงตอนนี้ เพิ่งมีโอกาสได้เขียนรีวิว มากกว่าการแอบอู้อ่านสอบไฟนอลมาเขียนรีวิว คือเราอยากบันทึกความทรงจำดีๆ ที่ได้จากการชมละครเวทีเรื่องนี้

โหมโรง เดอะมิวสิคัล เป็นละครเวทีที่เราดูแล้วรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ คือมันได้ทุกอารมณ์ ทุกอรรถรส ทั้งโรแมนติก ตลก ซาบซึ้ง น้ำตาคลอ ตื่นเต้น ลุ้นระทึก รวมๆ กันแล้วมันคือความประทับใจ คะแนนเต็ม 10 ก็ให้ 10 เป็น 3 ชั่วโมงครึ่งที่มีความสุขมาก เป็นการดูละครเวทีที่ “ดีต่อใจ” เราไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสละครเวทีบรอดเวย์ หรือของต่างประเทศ แต่มากกว่าเยาวชน มากกว่าคนไทยทุกคน เราอยากให้ชาวต่างชาติได้มาสัมผัสละครเวทีดีๆ ฝีมือคนไทยอย่างเรื่องนี้เหลือเกิน

บทละครเวที “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” ดัดแปลงจากบทภาพยนตร์เรื่อง “โหมโรง” ในปี 2547 เราเคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก คือเด็กมากจนปะติดปะต่อเนื้อเรื่องไม่ได้เลย ภาพจำของเราในภาพยนตร์เรื่องนี้มีแค่ โอ อนุชิต เป็นพระเอก อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เป็นทหาร มีการเล่นระนาด …จำได้แค่นี้จริง ๆ ซึ่งพอเราตัดสินใจจะไปชมละครเวที คิดวันนี้ก็ซื้อบัตรรอบพรุ่งนี้เลย ไปแบบโล่งๆ เข้าไปทำความรู้จักกับเรื่องราว กับตัวละครที่หน้างานเลยละกัน

เป็น 3 ชั่วโมงครึ่ง ที่มีความสุข เรายิ้ม เราหัวเราะ เราลุ้นระทึก แต่ที่สุดของโหมโรง เดอะมิวสิคัล คือละครเวทีเรื่องนี้ทำเราน้ำตาคลอถึง 6 ครั้ง !

 

รีวิว โหมโรง

เรื่องราวของ “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” ได้แรงบันดาลใจจากชีวประวัติของ หลวงประดิษฐไพเราะ หรือท่านครูศร ศิลปะบรรเลง ปูชนียบุคคลผู้มีคุณูปการต่อวงการดนตรีไทย ชีวิตของศร ตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่ม จนถึงวัยชรา เพื่อความฝันของเขา เขาต้องต่อสู้ ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมายในทุกช่วงชีวิต การเล่าเรื่อง ตัดฉากสลับระหว่างช่วงวัยหนุ่มกับวัยชรา ยิ่งทำให้เรื่องสนุกและน่าติดตามมากขึ้น
องก์ 1 รุ่มรวยด้วยความสุข มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อิ่มเอมในความงาม ความไพเราะของดนตรีไทย
องก์ 2 คือการขมวดปมด้วยแรงกดดัน ลุ้นไปกับนายศร เสียน้ำตาให้กับท่านครูและอีกหลายชีวิต ก่อนจะจบอย่างจับใจ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว โหมโรง

รีวิว โหมโรง

ตลอดชีวิตของท่านครู หรือนายศร เขาล้วนต้องต้องสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาปรารถนา

“เด็กชายศร” ต้องต่อสู้กับความรักของพ่อ…ความฝันที่จะเล่นดนตรีไทยต้องยุติลง เพียงเพราะความตายของพี่ชายอันเกิดจากชัยชนะในการประชันระนาด แต่นั่นใช่ความผิดของดนตรีไทยหรือ? เมื่อพ่อตัดสินใจเช่นนั้น เด็กน้อยก็ไม่มีทางเลือก น้องที่เล่นเป็นศรคือร้องเพลงเพราะมาก แสดงดีมากเช่นกัน ความรู้สึกของคนที่ถูกห้ามทำในสิ่งที่รัก ซีนพ่อพาศรไปไหว้ครูนี่คือดีมาก แค่ซีนแรกๆ พระเอกยังไม่ทันโต เราก็น้ำตาคลอแล้ว… ถึงแม้พาร์ตวัยเด็กจะใช้เวลาไม่นาน แต่ก็อัดแน่นด้วยความประทับใจ

“นายศร” การต่อสู้กับหัวใจตัวเอง… ละครเวทีเรื่องนี้ทำให้เราอยากให้ประเทศไทยมีการแจกรางวัลให้กับวงการละครเวทีบ้างเหลือเกิน ซึ่งถ้ามี ในปี 2561 นี้ ผู้ที่คู่ควรกับรางวัลนักแสดงนำชายคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก อาร์ม-กรกันต์ สุทธิโกเศศ หน้าตาดี ร้องเพลงเพราะ การแสดงเป็นเลิศ ฝีไม้ลายมือการเล่นระนาดถึงขั้นประชันกับรุ่นครูแล้วชนะ คุณสมบัติเหล่านี้ยากที่จะอยู่ในตัวคนคนเดียว แต่พี่อาร์มทำได้!

ศรในวัยหนุ่ม เขาอยู่ในยุครุ่งเรืองของดนตรีไทย เขาคือระนาดเอกแห่งอัมพวา ความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง บางครั้งก็มากเกินไปจนกลายเป็นความผยอง จนกระทั่งเขาได้พบ ได้ยินเสียงของระนาดที่เหนือกว่าเขา เข้มแข็งและดุดันกว่าเขา จนยากที่จะเอาชนะ นั่นกลายเป็นความกลัว เสียงนั้นยังคอยหลอนให้ชายหนุ่มอย่างศรหวาดผวา และไม่กล้าเล่นระนาดอีก…แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเขากับขุนอินเลย แต่นี่คือการต่อสู้ของศรกับใจของเขา…

รีวิว โหมโรง

 

พาร์ตวัยหนุ่มของศร ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือบทของ “ทิว” เพื่อนสนิทของศร ที่ตัวติดกันตลอด ทิวจัดได้ว่าเป็นตัวสร้างสีสันของเรื่อง ด้วยคาแรคเตอร์ที่จัดจ้าน เล่นใหญ่ไฟกะพริบ แต่การแสดงของ นาย-มงคล กลับเรียกรอยยิ้มให้กับผู้ชมและไม่ทำให้ตัวละครตัวนี้น่ารำคาญเลย
หลายตัวละครในพาร์ตวัยหนุ่ม ทำให้เราสัมผัสและเข้าใจคำว่า “น้อยแต่มาก” ด้วยไทม์ไลน์ของเรื่องที่ยาวนาน ทำให้บางตัวละครปรากฏตัวออกมาน้อย แต่กลับสร้างความประทับใจให้คนดู…ยากที่จะลืมได้ ครูรัก-ศรัทธา มาในบทของ “ครูเทียน” ผู้สอนศรเล่นดนตรีในวัง ออกมาน้อยแต่มาเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม

 

“ขุนอิน” ระนาดเอกแห่งสยามประเทศ รับบทโดย ครูเบิ่ง-ทวีศักดิ์ เป็นขุนอินที่บรรเลงระนาดแล้วให้ความรู้สึกไพเราะ เข้มแข็ง ดุดัน ไปถึงขั้นน่ากลัว! คือเป็นลีลาระนาดที่คนธรรมดาอย่างเราฟังแล้วยังหวั่นเกรง นับประสาอะไรกับพ่อศร

ไฮไลต์ของพาร์ตวัยหนุ่มคือการประชันระนาด ตั้งแต่หลับตาตีระนาด ประชันต่างเมืองสองรุมหนึ่ง มาจนถึงการประชันกับขุนอิน เล่นกันสดๆ ไม่มีลิปซิงก์ ท้าทายผู้ชม ให้เห็นกันไปเลยว่าดนตรีไทยไม่ได้น่าเบื่อ เป็นการประชันระนาดที่น่าตื่นเต้น ลุ้นระทึกในทุกท่วงที ทุกลีลาที่บรรเลง หนังฟรี หนังใหม่

เรื่องย่อ โหมโรง

 

รีวิวภาพยนตร์ เรื่องย่อ โหมโรง ละครโทรทัศน์แห่งความภาคภูมิใจในคุณค่าศิลปวัฒนธรรมความเป็นไทย อันเป็นรากของแผ่นดิน ความงดงามและความไพเราะจากเครื่องดนตรีไทยอย่าง “ระนาดเอก” เริ่มต้นบรรเลงขับขานไปพร้อมกับเรื่องราวอันเข้มข้นของ “ศร” บุรุษผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “มหาคีตกวี” กับเส้นทางชีวิตมุ่งหน้าสู่ความเป็น “นักระนาดเอกมือหนึ่งของแผ่นดิน” บรมครูของนักดนตรีไทย ผู้ผ่านทั้งยุคทองที่รุ่งเรืองอย่างสูงสุด และยุคตกต่ำที่สุดของวงการดนตรีไทย ยอดคนระนาดเอกแห่งสยามประเทศ จะกลับมาโลดแล่นบนจอแก้ว
ยุครัชกาลที่ 5

“ศร” ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เขาสามารถเล่นระนาดได้เองโดยไม่มีใครสอน แต่อาจจะด้วยที่ชีวิตของเขาเกิดมากับเสียงของวงปี่พาทย์ของผู้เป็นพ่อคือ”ครูสิน” หัวหน้าวงปี่พาทย์มีชื่อในอัมพวา สมุทรสงคราม พี่ชายของศรเองก็เป็นนักเลงปี่พาทย์มีฝีมือ แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้นักเลงระนาดอีกหมู่บ้านหนึ่งมาดักฟันพี่ชายของเขาจนตายไปเมื่อเขาอายุได้เพียง 10 ขวบ จากนั้นมาครูสินจึงเลิกยุ่งเกี่ยวกับดนตรีโดยเด็ดขาด เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับใครในครอบครัวอีก

หลวงตาจึงได้ให้ข้อคิดกับครูสิน ว่าคนที่ฆ่าลูกชายคนโตนั้นคือผู้ที่ไม่เข้าใจดนตรีที่แท้จริง ครูสินจึงตัดสินใจกลับมาเปิดวงและรับศรเป็นลูกศิษย์ โอกาสที่ศรจะได้เรียนรู้ดนตรีไทยทุกชิ้นกลับมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง ครูสินพร่ำสอนกับศรว่า “ความงามของดนตรีคือ ทำให้คนมีจิตใจงดงามตามท่วงทำนอง อย่าได้ใช้ดนตรีไปในทางที่เสื่อมโดยเด็ดขาด” คำเหล่านี้จดจำอยู่ในใจศรเสมอมา

แต่เมื่อผันเข้าสู่วัยหนุ่ม ศรกลายเป็นดาวโดดเด่นในอัมพวาจนมีชื่อเสียงมีคนในพื้นที่ใกล้เคียงมาคอยเฝ้าชื่นชม ความเหลิงทำให้เขาเริ่มใช้ดนตรีในทางผิด จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีวงราชบุรีมาท้าประชัน พ่อตัดสินใจไม่เอาศรลงตีระนาดเอก แต่กลับให้ไปตีฆ้องวงแทน เพื่อเป็นการดัดสันดาน แต่เมื่อให้คนในวงคนอื่นเล่นระนาดแทนก็เกิดทำให้เจ้าเมืองราชบุรีไม่พอใจ หาว่าสบประมาทฝีมือกันที่ครูสินไม่เอาของดีออกมาแสดง ในที่สุดศรก็ได้มาตีระนาดเอกและทำให้”พ่อมั่น” ระนาดเอกแห่งราชบุรีที่มาประชันนั้นต้องพ่ายแพ้ไป

 

ต่อมาครูสินจึงพาศรเข้ามาสู่บางกอก เพราะอยากให้ศรได้เปิดหูเปิดตาดูในงานประชันระนาดว่ายังมีคนเก่งอีกมาก พ่อจึงฝากฝังไว้กับครูแก้วเพื่อนของพ่อ แต่แล้วพ่อมั่น ซึ่งได้มาอยู่กับวงครูแก้วเกิดกลัวคู่ประชันขึ้นมาและต้องการจะแก้แค้นศรก็เลยหาเรื่องหลบการประชัน เพราะคู่ต่อสู้นั้นฝีมือฉกาจนัก และขอให้ศรขึ้นประชันแทน ศรด้วยความอยากอวดฝีมืออยู่แล้วจึงตัดสินใจขึ้นโดยไม่ลังเล ขุนอินเมื่อได้ยินเสียงระนาดก็ตีทับขึ้นมาทันที ความแข็งกร้าวดุดันของทางระนาดขุนอินนั้นไม่มีทางที่ใครจะทานได้ ศรจึงพ่ายแพ้กลับไปอย่างยับเยิน ศรพยายามฝึกตีระนาดให้ได้อย่างขุนอิน แต่ก็ทำไม่ได้เสียที จนวันนึงศรก็ได้พบทางระนาดของตน พระองค์ชายเล็กจากในวังที่เสด็จมาตามหานักระนาดมือเอก มาเจอศรจึงชวนเข้าไปอยู่ในวัง

เมื่อศรได้เข้ามาอยู่ที่วัง ก็ได้ครูหมึกและครูเทียนช่วยกันสั่งสอน และศรก็ได้พบรักกับแม่โชติ สมเด็จให้ศรประชันกับขุนอิน ศรกลัวจึงหนีกลับไปที่อัมพวาแต่ครูเทียนก็ไปตามศรกลับมาประชันจนได้ ครูเทียนให้สติศรจนศรได้ค้นพบตัวเองและทางระนาดของตัวเอง จึงสามารถเอาชนะขุนอินได้ ส่วนเรื่องของแม่โชติก็กลับกลายเป็นดี นายศรได้พิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวแม่โชติยอมรับจนในที่สุดทั้งสองได้ครองคู่ชีวิตกัน ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว Friend Zone…ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

รีวิว Friend Zone…ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

 

 

รีวิวหนังไทย อ่านได้ ไม่ค่อยสปอย มีนิดเดียวจริงๆนะ  เรายังคงเป็นติ่งหนังค่ายจีดีเอชอย่างเหนียวแน่น เรียกได้ว่าตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยมา หนังค่ายนี้เข้าเมื่อไหร่ จะต้องไปดูเป็นวันแรก และถึงแม้จะกล้าบอกว่าหนัง2 เรื่องก่อนหน้าอย่าง น้อง.พี่.ที่รัก และ Homestay จะไม่ใช่หนังที่เราชอบมาก ว้าวมาก หรือประทับใจในภาพรูปของเรื่องมากถึงขั้นบอกต่อ แต่พอ Friend Zone เข้าฉาย ก็ไม่รอช้าที่จะไปดู (ติ่งที่ดีมันต้องแบบนี้ ชอบบอกชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่!!!)

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

 

ก่อนจะเริ่มรีวิว หรือพูดถึงเนื้อหนัง ขอเล่าความห้าวของตัวเองหน่อย อยากจะเปลี่ยนนามแฝงตัวเองจากอุ้มสมเป็น “ผู้ชายที่ดูหนังรักคนเดียวในวันวาเลนไทน์” ใครไปดูคนเดียวในวันแห่งความรักมาเหมือนเราบ้าง ยกมือหน่อย หาเพื่อน!!!

เรื่องราวของ Friend Zone ถูกเล่าในมุมมองของ “ปาล์ม” (ณภัทร เสียงสมบุญ) ชายหนุ่มที่ตกอยู่ในสถานะ Friend Zone มา 10 ปี เมื่อในงานแต่งงานแห่งหนึ่ง เขาเจอเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 3 ชีวิต ชายหนุ่มจึงไม่รีรอที่จะบอกเล่า เพื่อระบาย เพื่อแชร์ประสบการณ์ และเพื่อ… ซึ่ง Friend Zone ของปาล์มก็คือ “กิ๊ง” (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) เพื่อนสนิทของเขา ที่ไม่ว่าพ่อจะมีบ้านเล็ก เธอจะมีแฟนคนแรก จะเลิกรากับผู้ชายไปอีกกี่คน เรื่องราวของกิ๊งก็ยังอยู่ในความทรงจำของปาล์ม เพราะทุกความเศร้าของเธอ ปาล์มคือคนแรกที่กิ๊งจะนึกถึง!

หากเปรียบเป็นอาหาร ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คืออาหารที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี เป็นกะเพราไก่ไข่ดาว เป็นต้มเลือดหมู หรือเป็นเมนูใดๆ ก็ตาม แต่เชื่อได้เลยว่าหากปรุงรสแบบนี้ ปรุงโดยพ่อครัวจากจีดีเอชภัตตาคาร แน่นอนว่ายังไงอาหารจานนี้ก็ออกมาอร่อยถูกใจนักชิม

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

หากถามหาความคิดสร้างสรรค์ ความเก๋ไก๋ หรือแปลกใหม่ Friend Zone อาจไม่ตอบโจทย์คุณเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณอยากชมภาพยนตร์รักสักเรื่อง ที่เล่าเรื่องได้อย่างน่ารัก มุกตลกคมคายไม่ฝืด เสน่ห์ของนักแสดงหลักที่ดึงดูดให้ตามจนจบ ออกจากโรงหนังด้วยความสุขและไม่ต้องคิดอะไรมาก Friend Zone ก็คืออีกเรื่องที่ตอบโจทย์เหล่านั้น เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว Friend Zone…ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

รีวิว Friend Zone...ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน

เมื่อพล็อตเรื่องธรรมดา เล่าเรื่องในแบบที่คนดูเดาได้ สิ่งที่ทีมงานต้องทำการบ้านเพื่อให้หนังเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำคนดู ก็คือองค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งที่เรามองเห็นชัดเจนคือ นักแสดง บท โลเกชัน และกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ

ในส่วนนักแสดง ต้องขอชื่นชมพระนางของเรื่อง นาย-ณภัทร ในบทบาทปาล์ม ลบภาพชายหนุ่มผู้สุขุม พูดน้อยออกไปเลย สิ่งที่เราจะเห็นนายในเรื่องนี้คือความนิ่งแต่ทะเล้น ความกวน ความทะลึ่งตึงตังที่มีเสน่ห์ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เราเชื่อว่าผู้ชายคนนี้เป็นเสือผู้หญิง ถึงจะยังรัก Friend Zone ของตัวเอง แต่ก็ไม่แปลกที่จะมีสาวๆ เข้ามาในชีวิตมาก และในขณะเดียวกันก็ทำให้เราเชื่อว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เป็นความสบายใจเพียงหนึ่งเดียวของกิ๊ง

ส่วนกิ๊งที่รับบทโดยใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ก็เป็นภาพใบเฟิร์นในแบบที่เราไม่เคยเห็น ความบ้า ความรั่ว ความเพี้ยน ความจู้จี้จุกจิก ความทำอะไรโดยไม่แคร์โลก ไม่สนสี่สนแปด เชื่อว่าผู้หญิงคงต้องแอบรู้สึกหมั่นไส้จนถึงขั้นอยากตบ เชื่อว่าผู้ชายคงเกิดคำถามว่าไอ้ปาล์มมันรักยัยนี่ไปได้วะ!

นักแสดงรองอย่างเจสัน ยัง ในบทของพี่เท็ด ก็ดูเป็นผู้ชายที่อ้อนแฟนเก่ง น่ารัก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะไว้ลาย จนทำให้แฟนสาวอย่างกิ๊งต้องหวาดระแวงอยู่บ่อยๆ แต่ที่ขอชื่นชมเป็นพิเศษคือทีมพันธมิตร Friend Zone ทั้ง 3 ของปาล์ม คือเล่นกันได้อย่างเข้าขา ให้ความรู้สึกว่าสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางไหน โดยไม่จำเป็นต้องใช้สรรพนาม-กู (ทั้งที่ก็เป็นผู้ชายกันหมด) แสดงดีจนสุพรรณหงส์ปีหน้า อยากให้เข้าชิงสมทบชายกันไปทั้ง 3 คนเล้ย!

ในความธรรมดาของหนัง Friend Zone กลับมีกิมมิคที่ไม่ธรรมดาหลายอย่างที่ทำให้เราจำได้ ไม่ว่าจะการโฆษณาอย่างหน้าด้านๆ แต่กลับไม่น่าเกลียด และเราให้ผ่าน เรื่องราวที่บอกเล่าเกี่ยวกับวงการเพลง นางเอกชอบร้องเพลง นางเอกกับแฟนทำอาชีพเกี่ยวกับเพลง จึงมีบทเพลงหลายเพลงที่อยู่ในความทรงจำของผู้คน ปรากฏอยู่ในเรื่อง และเพลงที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องเลยคือเพลงคิดมาก จากต้นฉบับปาล์มมี่ สู่นักร้องนานาประเทศ

ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องโลเกชันก็ดีงามไม่แพ้กัน ทั้งในประเทศ และนานาประเทศเพื่อนบ้าน ภาพสวย สถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดให้ไปตามรอย เราชอบตอนที่พระนางอยู่กระบี่แล้วกล้องก็แพลนให้เห็นถึงภาพรวมของหมู่เกาะที่นั่น คือแค่ไปดูเรื่องสถานที่ ความสวยงาม ความน่าตามรอยเท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว

ส่วนเรื่องบท การเล่าเรื่องทำได้ดี แม้จะเล่าในมุมมองของปาล์ม แต่คนดูอย่างเราๆ ก็สามารถคาดเดาความรู้สึก ความคิดของกิ๊งได้ไม่ยาก จุดที่เนือยคือช่วงกลางเรื่องที่นางเอกตามหึงพี่เท็ดไปแทบทุกประเทศ แล้วก็มีเหตุให้ต้องลากหรือมีเหตุให้ดึงพระเอกเข้ามาเกี่ยวด้วย ช่วงนั้นค่อนข้างเนือยในความรู้สึกเรา (มาติดลมก็ตอนอยู่ฮ่องกง)

มุกตลกไหลรื่น ไม่ฝืด มีตั้งแต่ระดับอมยิ้มไปจนถึงระดับขำกร๊าก ฮากระจาย หลายซีนมากที่เป็นซีนตลกแล้วทำให้เราชอบ ประทับใจจนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ ไม่ว่าจะเป็น การแปลงเพลงของพระเอก ซีนโหนที่ฮ่องกง สารพีดซีนที่นางเอกร้องเพลง ซีน 4 หนุ่ม Friend Zone ประชุมกัน ซีนขับมอเตอร์ไซค์ที่กระบี่ ซีนซื้อถุงยาง ฯลฯ ถ้ายกมาหมดเชื่อว่ากระทู้นี้คงยาวยิ่งกว่านี้แน่ หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว

Friend Zone เป็นหนังรักที่การเล่าเรื่องมีเสน่ห์มาก แม้จะเล่าในมุมมองความรู้สึกของปาล์ม แต่คนดูสามารถรับรู้ คาดเดา และเข้าใจความคิด ความรู้สึกของกิ๊งได้ไม่ยาก (ตั้งแต่ซีนแรกๆ บนเครื่องบินก่อนถึงสุวรรณภูมิเลย) บทสนทนาเป็นธรรมดา นาย กับ ใบเฟิร์น ทำให้เราเชื่อได้ว่าเป็นเพื่อนกันมาสิบปีจริงๆ เล่นได้เข้ากันจนเรารู้สึกได้ว่าสองคนนี้อินกับบทบาทที่ตนได้รับมาก

ซีนที่เราประทับใจมาเป็นพิเศษมีอยู่สองซีน ซีนแรกคือสปาเบียร์ ปกติหนังค่ายนี้ ต่อให้เป็นโทนคอเมดี้ แต่ช่วงท้ายเรื่องก็จะต้องมีจุดดราม่าจี๊ด ๆ ที่ทำให้คนดูรู้สึกเศร้าตาม หน่วงหัวใจตาม แต่สำหรับ Friend Zone ซีนดราม่าที่สปาเบียร์ ไม่ได้ดราม่าหนักหน่วงอะไร แต่มันผสมกับความคอเมดี้ลงไป ซึ่งมันกลมกลืนมากๆ กลายเป็นว่าจะหน่วงก็หน่วงไม่มากเพราะยังมีอารมณ์ขำ แต่จะขำก็ขำได้ไม่สุดเพราะรู้ว่าในสถานการณ์นี้ ในความรู้สึก ณ ตอนนั้นของปาล์มกับอิ๊ง ยังไงก็ขำไม่ออก เป็นสองความรู้สึกที่ดูจะไม่เข้ากัน แต่เมื่อมารวมอยู่ซีนเดียวกันใน Friend Zone สปาเบียร์ค่ำคืนนั้นก็ทำให้เราเชื่อได้ว่านี่จะเป็นอีกซีนที่อยู่ในความทรงจำของผู้ชมไปอีกนาน (แอบเมาท์ว่าสาเหตุที่ปาล์มลุกออกมาจากอ่างไม่ได้ ไม่ต้องรอให้เฉลยเลย คนสัปดนอย่างเราก็เข้าใจได้แล้ว ฮาาา รู้สึกว่าถ้าไม่เฉลยว่าทำไมถึงลุกไม่ได้ ปล่อยให้คนดูคิด น่าจะให้ความฮาไปอีกแบบนึง)

อีกซีนคือซีนที่พระนางไปสักการะพระธาตุชเวดากองด้วยกัน ด้วยบรรยากาศ ด้วยแสงในยามกลางคืน ด้วยแสงเทียนในมือของปาล์ม มันสร้างความโรแมนติกได้อย่างกลมกลืน และสวยงาม เป็นความสวยงามที่ทำให้เรเกิดความรู้สึกอยากไปเที่ยวพระธาตุชเวดากองในทันทีทันใด แสงเทียนในมือปาล์มที่ถูกส่งต่อไปยังเทียนในมือกิ๊ง ทำให้เรารู้ว่าความหวังของกิ๊งที่อับแสงไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความหวังเรื่องความรักที่ดับมอดลง แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในความมืดมนของกิ๊งก็คือปาล์ม เขาคือแสงสว่างที่โชนฉานในชีวิตกิ๊ง นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่ามกลางผู้ชายที่ผ่านมาในชีวิตของกิ๊ง ผ่านไปเพื่อผ่านไป แต่ปาล์มคือผู้ชายคนเดียวที่เธอไม่ต้องการสูญเสีย

เรื่องราวดำเนินเรื่องแบบเรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง ค่อยๆ ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพระนาง ว่าจะเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นมากกว่าเพื่อนได้อย่างไร แต่จุดที่เราเสียดายมากที่สุด คือจู่ๆ ก็เล่ารวบรัดเอาดื้อๆ กับตอนที่กิ๊งตัดสินใจกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่เธอจะได้ไปดูแสงเหนือ คือเรามองว่านั่นคือจุดพีคของเรื่อง ควรจะเป็นซีนที่สำคัญอีกซีนของหนังเรื่องนี้เลยนะ แทนที่จะเรารวบรัดผ่านคำพูดของนางเอก น่าจะขยายรายละเอียดเหตุการณ์นั้นเพิ่มขึ้นอีกสักนิด

โดยรวมแล้วสาระสำคัญที่เราได้จากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คือเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน คนที่คบกันเป็นเพื่อนมากกว่า 10 ปี เป็นมากกว่าเพื่อน เป็นทุกอย่างให้กันและกัน การจะฝ่าฟันอะไรมาได้จนคบกันได้ยาวนานขนาดนี้ สิ่งสำคัญคือการยอมรับข้อเสียของกันและกัน ยอมรับในสิ่งที่ต่างฝ่ายมี การอยู่เคียงข้างกันและกันทั้งยามสุขสุดสุด และยามทุกข์สัดสัด เมื่อยอมรับ เมื่อเปิดใจ และเมื่อรักกัน ไม่ว่าจะในสถานะใดก็คบกันรอด จะ 10 ปี หรือ 20 ปีก็เถอะ

ข้อเสียของนางเอกมีเยอะมาก งี่เง่า เจ้าอารมณ์ จู้จี้ เอาแต่ใจ ขี้ระแวง ใจร้อน ในขณะที่พระเอกเหมือนจะไม่มีข้อเสียอะไร แต่ความยอมไปเสียทุกเรื่อง ความตามใจสาวเจ้าทุกเรื่องของเขานี่แหละที่เรามองว่าเป็นข้อเสีย มันยิ่งทำให้ยัยกิ๊งทวีความน่าลำไย แต่ก็นั่นละ…เมื่อยอมรับกันได้ เมื่อไม่ทอดทิ้งกัน เมื่อรักกัน เมื่อเวลาที่ยาวนานเพียงใดก็ไม่อาจทำลายหรือพรากหนุ่มสาวคู่นี้ให้ไกลกัน ไม่ว่าจะคบกัน หรือจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน จะเพื่อน หรือแฟน อย่างไรก็ไปกันรอด.

ใครไปดูมาแล้ว มีความคิดเห็นอะไร มาคุยกันได้นะครับ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

 

 

รีวิวหนังไทย น่าจะตั้งใจเอาดีกับแนวผีอย่างเดียวแล้วล่ะสำหรับผู้กำกับจิม โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ เพราะรู้สึกจะไปได้ดี จิมจึงสร้างหนังผีเฉลี่ยทุก ๆ 3 ปี ตั้งแต่ โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต (2551) ลัดดาแลนด์ (2554) และ ฝากไว้ในกายเธอ (2557) แล้วก็มาถึง “เพื่อน..ที่ระลึก” ผลงานกำกับเรื่องที่ 4 ซึ่งจิม ยังคงพ่วงหน้าที่เขียนบทเองเช่นเคย จิมรับไอเดียมาจากพี่เก้ง จิระ มะลิกุล ที่เห็นข่าวว่าบรรดาฝรั่งในไทยขนานนามตึก “สาทรยูนิคทาวเวอร์” ว่า “Bangkok Ghost Tower”ก็เลย

 

มาคุยกับจิมว่าน่าสร้างหนังเกี่ยวกับผีตึกร้างนะ บวกกับ วัน วรรณฤดี ผู้อำนวยการสร้างก็ซื้อลิขสิทธิ์ไอเดียเรื่อง เพื่อนสองคนนัดกันไปฆ่าตัวตายด้วยกัน แต่อีกคนกลับกลัวแล้วไม่ฆ่าตัวตายตาม จิมก็นำทั้ง 2 ไอเดียผนวกกันออกมาเป็นบทภาพยนตร์ “เพื่อน..ที่ระลึก”

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

หน้าหนังมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เป็นจุดน่าสนใจ ทั้งพลอตเกี่ยวกับผีอาฆาตทวงสัญญาที่ว่าจะฆ่าตัวตายไปด้วยกัน เป็นชื่อภาษาอังกฤษของหนังด้วย “The Promise” ก็เป็นพลอตที่เหมาะมากสำหรับหนังผีซักเรื่อง และการที่ทีมงานได้รับอนุญาต

จากเจ้าของตึก “สาทรยูนิคทาวเวอร์” ให้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำได้ ยิ่งเข้ากับธีมเรื่อง ตึกเองก็มีความสยองอยู่มาก เพราะเคยเป็นมีข่าวดังตอนปี 2557 ที่ช่างภาพไปเจอศพฝรั่งผูกคอตาย และเรื่องนี้ก็เป็นการกลับมาร่วมงานกันของเมนเทอร์บี และลิลลี่ ลูกทีมของเธอเองจาก The Face Thailand Season 2 เป็นการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกของทั้งคู่ด้วย

จิม ดึงความน่ากลัว ทัศนียภาพของตึกสาทรยูนิค มาใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ทั้งภาพโดรนจากภายนอกตึก กล้องบินวนรอบ ถ่ายจากมุมสูง ทำให้เราได้เห็นมุมแปลก ๆ ของตึกที่คุ้นตาคนกรุงเทพฯ มาตลอด 20 ปี มีทั้งความสวยและน่ากลัว รวมถึงฉากภายใน ก็ดึงซอกหลืบ ทางเดิน มืด ๆ น้ำแฉะ ๆ มาใช้ในฉากสยองได้ดีเช่นกัน ดูแล้วเห็นพ้องกับที่ทีมงานได้เกริ่นไว้ว่า ตึกสาทรยูนิคทาวเวอร์ เปรียบได้กับอีก 1 ตัวละครของเรื่องนี้ ตัวตึกทำหน้าเชื่อม 2 ช่วงเวลาที่ห่างกัน 20 ปีได้ตรงโจทย์ที่สุด เป็นจุดที่ทำให้เกิดเรื่อง และจบเรื่อง

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

ชอบบทนำของหนังครับ กับการเล่าเรื่องในปี 2540 ชนวนเหตุจาก อิ๊บ กับ บุ๋ม 2 เพื่อนรักลูกสาวมหาเศรษฐีที่รวมหุ้นกันสร้างตึก”สาทรเสตท” (ชื่อตึกในเรื่องนี้) แล้วพ่อของทั้งคู่ก็อยู่ในกลุ่มเจ้าของธุรกิจที่ร่วงไปพร้อมกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ชีวิตของอิ๊บ กับ บุ๋ม พลิกจากสุขสบายมาลำบาก ความบีบคั้นรอบด้าน ทำให้ 2 สาวคิดสั้นและเลือกชั้น 47 สูงสุดของตึกเป็นที่นัดปลิดชีวิตด้วยกัน ฉากนี้ถือว่าช็อคคนดูได้โหด ได้แรงมาก เรื่องราวในปี 2540 เป็นจุดที่ต้องชืนชมทีมงานที่ทำให้คนเคย

ผ่านยุคนั้นได้หวนคิดถึงบรรยากาศทั้งที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำ ด้านความรู้สึกดี ๆ ทำให้เราได้หวนคิดถึงช่วงวันเวลาเคยวนเวียนกับ เพจเจอร์ ตู้สติกเกอร์ สเก็ตซ์น้ำแข็ง ส่วนด้านความทรงจำอันเลวร้ายก็คือบรรดาภาพฟุตเตจของวิบากกรรมที่บางคนได้เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในวันนั้น ก็ถือว่าทีมงานทำการบ้านตรงนี้มาได้ละเอียดดีครับ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

จุดหนึ่งที่ชื่นชมสปิริตของ GDH ในขณะที่เป็นค่ายหนังของแกรมมี่ แต่กลับเลือก “เดียวดายกลางสายลม”ของ นรีกระจ่าง คันธมาส ซึ่งเป็นผลงานของค่ายวอร์เนอร์มิวสิคมาใช้เป็นเพลงธีมของหนัง เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากครับ เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม “ราชินีพระจันทร์” ออกมาปี 2537 ใกล้กับเหตุการณ์ในหนังปี 2540 อารมณ์เพลงหลอนเข้ากับบรรยากาศหนัง เนื้อหาก็หดหู่ ท้อถอยหมดหวัง เป็นเพลงในอันดับต้น ๆ ที่คนฟังแล้วอยากฆ่าตัวตาย ก็เข้ากับเนื้อหาของหนังที่อิ๊บฟังเพลงนี้ก่อนเข้าฉากฆ่าตัวตาย บี น้ำทิพย์ คัฟเวอร์เพลงนี้มาใช้เป็นเวอร์ชั่นโปรโมตหนังด้วย อารมณ์ต่างจากต้นฉบับอยู่มากนะ

รีวิว เพื่อน..ที่ระลึก

หนังยาวเกือบ 2 ชั่วโมง แต่เดินเรื่องได้เร็ว พอตัดเข้าเรื่องราวในปีปัจจุบัน ก็ใช้เวลาไม่นานกับการกลับมาของ “อิ๊บ” ที่จัดเต็มตอบสนองคอหนังผีได้อย่างอิ่มเอม เพราะผีอิ๊บถือว่าแค้นและดุมาก ยิ่งเพิ่มโจทย์เรื่องกรอบเวลา ที่ผีอิ๊บจะต้องเอาชีวิตของเบลไปให้ได้ก่อนที่เบลจะอายุครบ 15 ปี ในอีก 6 วันข้างหน้า เพราะอิ๊บและบุ๋มก็อายุ 15 ในวันที่ทั้งคู่นัดกันฆ่าตัวตาย เราก็เลยได้ดูการรังควานของผีอิ๊บที่ตามแม่ลูกมาถึงที่พัก ก็เปิดโอกาสให้ใส่ฉากลุ้นผีได้ถี่ ๆ มีทั้งหลอกให้ลุ้นเก้อ และลุ้น

แล้วก็เจอตุ้งแช่แรง ๆ หนังเขียนมาให้แม่ลูกอยู่กันแค่ 2 คนในคอนโดหรู สถานะผู้หญิง 2 คนโดนผีหลอกกลางดึก จัดได้ว่าเป็นเหยื่อที่น่าสงสารในหนังผี แต่ขณะเดียวกันจุดนี้ก็กลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในบทหนังที่ไกลความเป็นจริง ชวนให้ตั้งคำถามว่าทำไมไม่หาใครมาอยู่ด้วยในสภาวะเช่นนี้ หนังฟรี หนังใหม่

จุดแตกต่าง

จุดแตกต่างอย่างหนึ่งที่ “เพื่อน..ที่ระลึก” เลือกใช้ให้แตกต่างจากขนบหนังผี คือการเล่นกับจินตนาการคนดู “เพื่อน..ที่ระลึก” เป็นหนังผีที่แทบไม่เห็นผี ตลอดเรื่อง เราเห็นร่างของผีอิ๊บน้อยมาก ไม่มีภาพผีน่ากลัวพุ่งเข้าใส่กล้อง แต่ใช้ประโยชน์จากเสียง แสง ฉาก สร้างบรรยากาศหลอนได้สัมฤทธิ์ผล และที่สำคัญคือการแสดงของลิลลี่ ที่รับหน้าที่สื่ออารมณ์หลอนเองล้วน ๆ เพราะบทเขียนให้เบล สื่อสารกับผีอิ๊บได้ หลาย ๆ ฉากคนดูก็ได้หลอนไปกับตัวเบลเนี่ยแหละ ไม่ใช่ผีอิ๊บหรอก บางทีเบลก็พูดกับอิ๊บ บางทีเบลก็อยู่ในอากัปกิริยาที่เหมือนโดนผีเข้า จัดเป็นงานแรกที่ยากสำหรับลิลลี่ แต่เธอก็ทำได้ดีครับ

นอกจากตึกสาทรยูนิคทาวเวอร์ ทำหน้าที่สำคัญในหนังแล้ว บรรดาอุปกรณ์สื่อสารเองก็มีบทบาทอย่างมาก ตอนต้นก็คือ “เพจเจอร์” ที่อิ๊บและบุ๋มสื่อสารกัน มีข้อความที่ทั้งคู่ส่งหากันค้างอยู่ในเครื่องเป็นสิ่งตอกย้ำคำสัญญา ผ่านมา 20 ปี โทรศัพท์มือถือก็รับหน้าที่สำคัญต่อ มันทำหน้าที่ทั้งในส่วนดราม่าและฉากหลอนของหนัง แม่ลูกโทรหากันหลายครั้งมากทั้งในยามแฮปปี้กุ๊กกิ๊ก และในยามคับขันลุ้นระทึก ในทางตรงกันข้าม ผู้กำกับจิมก็ใช้มัน ทำหน้าที่ ได้ดีมากในฉากหลอน ชอบมากกับฉากในห้องมืด ๆ แล้วตัวละครมองอะไรไม่เห็นจึงต้องมองภาพผ่านกล้องมือถือแทน เป็นฉากที่ชวนลุ้นมากจริง ๆ อีกฉากที่ชอบมากคือฉากของ “หม่อน” ไม่บอกรายละเอียดครับ ไปลุ้นกันเองเถอะฉากนี้ โคตรสงสารเด็ก

ผู้กำกับ จิม โสภณ ศักดาพิสิษฐ์
สิ่งหนึ่งที่ต้องเน้นย้ำกันไว้ ว่าแม้ผีจะดุหนังจะหลอนรุนแรง แต่ปริมาณความหลอนของหนังก็ไม่ได้กลบเนื้อหาอารมณ์ในส่วนของดราม่าที่คลออยู่กับเรื่องราวตลอด ความรักความผูกพันของเพื่อนทั้งตอนเป็นและตอนตายที่กลายมาเป็นประเด็นของเรื่องราว และความรักของแม่ลูกที่มีต่อกัน สื่อให้เรารับรู้ผ่านการแสดงของบีและลิลลี่ โดยมีสื่อต่าง ๆ อย่างอัลบั้มภาพเก่า จดหมาย วอยซ์เมล ที่ทั้งคู่ต่างส่งหากันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งหมดล้วนถูกใช้เป็นแรงขับเน้นพลังของตัวละครแม่ลูกให้ฮึดสู้กับผี

อิ๊บ ทั้งยังเป็นการเปิดประเด็นให้คนดูคาดเดาว่าหนังจะลงเอยด้วยแม่ยอมเสียสละให้ลูก หรือจะพลิกเป็นลูกยอมเสียสละให้แม่ หนังลากช่วงท้ายต่ออีกยาวเหมือนหาทางออกสวย ๆ ไม่ได้ ไปดูเองแล้วกันว่าหนังจะหาทางออกกับโจทย์นี้ยังไง บทเขียนมาให้ตัวละครบุ๋มต้องทำหน้าที่เหนื่อยมาก เป็นบทที่ใช้งานบีได้คุ้มค่ามาก บทบุ๋มมีดิ่งลงสุดหดหู่ ฟูมฟาย ยอมแพ้ แล้วก็มีช่วงลูกบ้าขึ้น เดิมพันกับผีแบบที่เราก็คาดไม่ถึง มองเห็นถึงความทุ่มเทตั้งใจของบีจริง ๆ ครับ เล่นแบบไม่ห่วงสวยเลย

เป็นหนังผีที่เต็มไปด้วยฉากผีหลอก ทั้งหลอนทั้งตุ้งแช่ โดยไม่ต้องมีภาพผีแหวะ ๆ น่ากลัวให้เห็น แม้ผลลัพธ์จะยังไม่ถึงขั้นงานระดับต้น ๆ ของ GDH แต่ก็จัดได้ว่าเป็นงานในกลุ่มด้านบวกที่ควรค่าแก่เวลาและค่าตั๋วครับ

สรุป .. หนังสนุกตามสไตล์ค่าย ถึงแม้มันจะไม่พีคเหมือนที่เราคาดหวังใว้ แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าหนังผีไทยเรื่องอื่นในพักหลังๆมานี้ ที่สำคัญ ดรามาตอนท้ายคือดีมาก เรียกน้ำตาได้เลยนะสำหรับคนอ่อนไหวง่าย ส่วนใครที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะดูเรื่ีองอะไรดี เพราะมีทั้งผีตัวตลกitกับผีไทย ผมแนะนำว่าให้ดู 2 เรื่องนั่นแหละ สนุกทั้งสอง แต่ดูเพื่อนที่ระลึกก่อน จะเป็นการซ้อมกรี๊ดเบาๆ และ ค่อยไปกรี๊ดแบบจัดหนักกับ it
… ดูหนังให้สนุกนะ นอกจากรักลูกเพจทุกคนแล้วผมก็ไม่เก่งอะไรอีกเลย ..
8/10 คะแนน .. ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

 

 

รีวิวหนังไทย คนเก่าที่ติดอยู่ในใจใคร ๆ ก็มี รีวิว One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ ภาพยนตร์เรื่องเหล้าว่าด้วยแฟนเก่าส์ ความรัก มิตรภาพ และการเดินทาง ค็อกเทลแก้วใหญ่ที่ หว่องกาไว และ บาส นัฐวุฒิ ร่วมกันคิดสูตรขึ้นมา คุณไม่มีทางสัมผัสได้ว่ามันสวยงามยังไง จนกว่าจะได้เข้าไปลิ้มรสชาติด้วยตัวคุณเอง

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

นักแสดงหลัก ต่อ และ ไอซ์ ผู้รับบทบาสและอู๊ด ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ดีมาก ส่วนบทของแฟนเก่า ออกแบบชนะเลิศแม้ว่าจะโผล่มาแค่ช่วงสั้นๆ ส่วนนักแสดงระดับเทพอาวุโสทั้งธเนศและรฐาก็กลมกลืนไม่ข่มนักแสดงหลักเหมือนเรื่องอื่นๆ
สำหรับผู้โพสต์รู้สึกว่าเรื่องนี้ดูแล้วมีความสุขเกินคาด ไม่เศร้าหรือกดดันอย่างที่กลัว ชื่นชมที่ตัวละครแสวงหาความเข้าใจในกันและกัน ส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็มีเรื่องของครอบครัวสองตัวเอกท่ีจงใจให้เกิดปมชีวิต
เพลง Tiny Dancer ของ Elton John ใส่เข้ามาก่อนออกเดินทางตรงนี้รู้สึกเหมือนหนังเรื่อง Almost Famous ก่อนออกเดินทางเหมือนกัน เพลงเพราะมากแต่แอบสงสัยว่าทำไมต้องเป็นเพลงนี้

ติดต่อเพื่อเริ่มต้นเดินทาง

อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) ติดต่อหา บอส (ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร) เพื่อบอกว่าเขากำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง และต้องการให้บอสซึ่งเป็นเพื่อนของเขาช่วยอะไรบางอย่าง บอส ซึ่งเปิดบาร์อยู่ที่นิวยอร์กจึงเดินทางกลับมาประเทศไทยตามคำขอของเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน

อู๊ดต้องการบอกลาและนำของไปคืนแฟนเก่าเติม s แต่ละคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตและเลิกรากันไป คือ อลิซ (พลอย หอวัง) หนูนา (ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) และ รุ้ง (นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) โดยให้บอสเป็นสารถีขับรถเก๋งคันเก่าแต่ยังเก๋า ไปส่งอู๊ดทำตามความตั้งใจครั้งสุดท้ายในชีวิต

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

 

อู๊ดได้ตั้งคำถามถึงแฟนเก่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของบอส ซึ่งก็คือ พริม (วี วิโอเลต วอเทียร์) คำถามนี้ได้เขย่าเรื่องราว รวมถึงความทรงจำเก่า ๆ มากมายที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของบอสและพริม ให้หวนกลับมาพูดถึงอีกครั้ง ส่วนบทสรุปของการเดินทางครั้งนี้จะเป็นยังไง ต้องไปติดตามกันต่อเองในโรงภาพยนตร์ค่ะ

ภาพยนตร์ที่มีมากกว่าการกลับไปบายแฟนเก่า

เรื่องราวในอดีต ตัวตนของเราที่เปลี่ยนไป และแฟนเก่า ล้วนเป็น “ความเก่า” ที่ผ่านไปแล้ว และหลายคนคงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรรื้อฟื้น ไม่ได้อยากเคาะสนิมมันขึ้นมาอีกครั้ง หรืออาจตั้งคำถามเหมือนบอสอีกด้วยว่า “มึงกลับไปทำไม” แต่แน่นอนแหละว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง อู๊ดก็เหมือนกัน และเหตุผลของอู๊ดก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของเรื่องราวนี้ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ

รีวิว One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ หนังไทย

เราจะเห็นสิ่งสำคัญสองสามอย่างในทีเซอร์

แฟนเก่าส์ของอู๊ด
ค็อกเทลแฟนเก่าที่บาร์เทนเดอร์บอสชงให้อู๊ด
การเดินทางไปเจอแฟนเก่า
คำว่า แฟนเก่า ดูจะเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ แต่ One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ เป็นภาพยนตร์คนเหงาที่มีอะไรมากกว่านั้นเยอะ(มาก) ด้วยชื่อของผู้กำกับหว่องกาไว ในบทบาทผู้อำนวยการสร้าง และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ หัวเรือสำคัญอีกหนึ่งคน บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ซึ่งเขาเคยฝากฝีมือที่น่าประทับใจไว้ในภาพยนตร์เรื่อง ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius) มาแล้วด้วยค่ะ

นอกจากนี้คุณบาส ยังเป็นผู้กำกับชาวไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล World Dramatic Special Jury Award จาก Sundance Film Festival 2021 เทศกาลภาพยนตร์นอกกระแสอีกด้วย รับรองเลยว่าหลังจากได้ดูจบแล้ว เรื่องราวทั้งหมดจะเดินทางเข้าไปอยู่ในใจคุณได้ไม่ยาก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนค็อกเทล ที่มีบาร์เทนเดอร์ชื่อ หว่องกาไว และ บาส ช่วยปรับรสชาติให้ดื่มได้ทุกคน

งานภาพระดับรางวัล

แฟนหนังหว่องที่เคยมีภาพในหัวว่า ถ้าทำหนังไทยแบบหว่อง ๆ มันจะออกมาเป็นยังไง คำตอบนั้นก็คือ One for the Road เรื่องนี้แหละ ความเฉียบในการกำกับของคุณบาส ทำออกมาได้ชัดเจนพอ ๆ กับลายเซ็นความเหงาของหว่องกาไว การันตีด้วยรางวัลด้าน Creative Vision ทั้งจังหวะเล่าเรื่องและการตัดต่อ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นค็อกเทลรสเข้มข้น ที่เมื่อได้สัมผัสแต่ละคนจะรู้สึกต่างกันออกไป แล้วแต่ประสบการณ์ในชีวิตที่เจอมา

นอกจากหนังจะพูดถึงความรัก มันยังพูดถึงชีวิตอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวนี้ทำให้อาจจะมีสักจุดหนึ่งในหนังที่กระตุกความรู้สึกบางอย่างในใจคุณ และกระตุกต่อมน้ำตาได้ไม่ยากเลย

ความดีงามอีกเรื่องที่อยากพูดถึงก็คือ เพลง “Nobody Knows” และเพลง “ถ้าเธอ” ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ ถ้าใครไม่เคยฟัง อยากแนะนำให้ไปลองฟังดูสักครั้ง เพลงเพราะและติดอยู่ในใจสุด ๆ ชนิดที่ว่าฟังแล้วต้องนึกถึงหรือแอบใส่ใครสักคนไว้ในเพลงแน่นอน

รีวิว One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ หนัง

One for the Road ค็อกเทลรสชาติดีที่อยากบอกต่อ หนังฟรี หนังใหม่

 

ความรู้สึกส่วนตัว

เราไม่อยากให้คะแนนหนังเรื่องนี้ออกมาเป็นตัวเลข เพราะเกณฑ์เรื่องคุณภาพ การแสดง องค์ประกอบต่าง ๆ ในหนังมันอาจจะไม่ได้หยุดแค่เต็มสิบ เพราะเราสามารถพูดได้เต็มปากว่ารสชาติมันเข้มข้นมากพอ ที่จะทำให้เราอยากแนะนำและบอกต่อให้คนอื่น ๆ ได้ไปดูด้วยตัวเอง

เมื่อดูจบแล้ว ถ้าไม่คลายปมก็อาจจะขมวดปมความรู้สึกในใจบางอย่างขึ้นมา เพราะเหตุการณ์ในเรื่องมันช่าง Nobody Knows เราไม่มีทางรู้ว่าถ้าทำลงไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกันถ้าเราไม่ทำ มันก็อาจจะติดค้างในใจเราไปตลอดก็ได้

เหมือนหนังกำลังสะกิดบอกให้เราเลือกใช้ชีวิตแบบที่จะไม่รู้สึกผิดกับตัวเองดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วเราทุกคนต่างก็แวะมาที่โลกใบนี้แค่ไม่นาน นี่คือรสชาติค็อกเทลแก้วนี้ที่เราสัมผัสได้ แล้วถ้าอยากรู้ว่ารสชาติของคุณจะเป็นแบบไหนก็ไปชมกันได้ เข้าฉายแล้วทุกโรงภาพยนตร์ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

อาจจะรู้สึกแปลกสักนิดแต่จะขอทิ้งท้ายไว้ว่า ก่อนเข้าไปชมภาพยนตร์อยากให้คุณลืมทุกอย่างที่รีวิวนี้เขียนไว้ แล้วทำใจให้โล่ง ๆ ปล่อยใจไปกับชีวิตที่ดำเนินไปของแต่ละตัวละคร เหมือนคุณเป็นแก้วเปล่าใบหนึ่ง รอให้ One for the Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ รินเรื่องราวเข้ามา และเมื่อจบเรื่องมันจะปริ่มขอบแก้วแบบพอดี

รับรองว่าถ้าคุณทำตามคำแนะนำนี้ คุณจะพบเจอชิ้นส่วนสักเสี้ยวในภาพยนตร์ที่ทำให้คุณรู้สึกไปกับพวกเขาอย่างจัง และอย่างน้อยพอถึงวันต้องเดินทางไปจากโลกใบนี้ คุณอาจจะได้คำตอบว่าตัวเองต้องการ one for the road แก้วสุดท้ายแบบไหนก็ได้นะ

 

สารภาพว่าตั้งตารอดูหนังเรื่องนี้ หลังจากไม่ได้สนใจดูหนังมาสักพัก หลังจากวนดู teaser มาเกือบ 20 รอบ
บวกกับสะดุดหูกับเพลงประกอบภาพยนต์ทั้งเวอร์ชั่นไทย และเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
จุดที่ทำให้อยากดู คืออะไรที่ทำให้คนๆนึงที่ใกล้ตายอยากกลับไปหาแฟนเก่าว่ะ เพื่อ???
เลยจัดไปเลยวันนี้ รอบแรก
ออกตัวก่อนว่ารีวิวแบบคนดูบ้านๆ นะคะ ?
เรื่องของนักเเสดง ไม่ติดอยู่แล้ว ทุกคนถูกการันตีในเรื่องของการแสดงอยู่แล้ว

 

หนังเดินเรื่องดี ส่วนตัวไม่รู้สึกว่าเนือย เข้าเรื่องไว มีปมพีคที่บางคนอาจจะเดา

ได้ แต่เรานึกไม่ถึง55
มีตัวหลอกเยอะ ที่ดู teaser เทียบไม่ได้เลย พอดูจบ teaser หลอกเราเต็มๆ
ภาพสวย mood ดี สรุปว่าตอนแรกคิดว่าจะเป็นหนังเนือยๆอารมณ์คนใกล้ตายย
อยากทำอะไรก่อนตายย อุตส่าเตรียมทิชชูมา สรุปผิดถนัด เราชอบนะ ให้ 8/10
อยากให้ทุกคนไปดู แล้วมาคุยกันนะ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รีวิวหนังไทย จากเวอร์ชัน ภาพยนตร์ ที่ทำรายได้สูงมากๆ เลยทีเดียว ในประเทศไทย ก้าวไปลือลั่น ในต่างประเทศ ถูกซื้อในฉายในหลายๆ ประเทศ คว้ารางวัลจากหลากเทศกาลหนังทั่วโลก ถูกตีพิมพ์เป็นนิยาย และวันนี้กลายเป็นละครที่ฉายให้คนไทยได้ดูกันทั้งในทีวีและออนไลน์ แน่นอน ผมกำลังพูดถึง ‘ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์’ หรือชื่ออังกฤษก็ ‘Bad Genius The Series’ นั่นเอง

ข้อสอบชุดนี้เป็นการรีวิว ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์ EP.1-2 ที่ฉายไปแล้วทางช่อง ONE 31 และทางออนไลน์ในแอปพลิเคชัน WeTV และ EP.3-4 ซึ่งมีการจัดฉายรอบ Special Screening ณ Paragon Cineplex เมื่อวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ

 

จากจุดเริ่มต้นการโกงข้อสอบในห้องเรียน.. จะลุกลามบานปลาย จนกลายเป็นการโจรกรรมข้อสอบระดับประเทศ พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่แค่นักเรียนมัธยม แต่คือตัวแทนที่สะท้อนการโกงในทุกระดับชั้นของสังคมไทย จากภาพยนตร์ปรากฏการณ์ ฉลาดเกมส์โกง สู่ละคร ฉลาดเกมส์โกง ที่จะพาคุณไปไกลกว่าเดิม ด้วยเรื่องราว ตัวละคร

เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

 

 

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

 

และบทสรุป ที่ใหญ่กว่า ใหม่กว่า และท้าทายยิ่งกว่า! หลังจากที่ ‘ฉลาดเกมส์โกง’ (Bad Genius) เวอร์ชันภาพยนตร์ที่กำกับโดย นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ที่ออกฉายในปี 2560 สามารถกวาดเสียงตอบรับชื่นชมท่วมท้น กวาดรายได้ไปกว่า 113 ล้านบาทในประเทศไทย แถมยังออกไปโกยรายได้ในอีกหลาย ๆ

 

ประเทศทั่วโลก มาในปีนี้ GDH จึงได้เริ่มพัฒนาหนังเรื่องนี้ให้อยู่ในรูปแบบของซีรีส์ และเปลี่ยนนักแสดงใหม่ทั้งหมด ในชื่อ ‘ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรีส์’ (Bad Genius The Series) โดยครั้งนี้ ทาง GDH ได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงเจ้าใหญ่ของจีนอย่าง WeTV ที่จะฉายซีรีส์นี้ในรูปแบบ Simulcast ให้คนไทยและคนจีนกว่าพันล้านคน ได้ชมไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าโดยรวมของซีรีส์เรื่องนี้ จะมีภาพรวมที่ชวนให้คิดไปว่าจะดึงเอากลิ่นอายเดิมจากในหนังมาชัดเจน และให้หมายรวมไปถึงพล็อตที่เน้นหนักในเรื่องของการเปิดโปง ตีแผ่เรื่องราวดราม่าในโรงเรียน ทั้งเรื่องของความเหลื่อมล้ำ โอกาสทางการศึกษาที่มี

 

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

 

ไม่เท่ากัน รวมไปถึงประเด็นดาร์กโลกแตกอย่างเรื่องของการ เรียกแป๊ะเจี๊ยะ การที่ครูหารายได้เสริม ด้วยการติวพิเศษ แล้วแอบเอาข้อสอบมาเฉลยก่อน อันนำไปสู่สาเหตุของการ “โกง” ตั้งแต่การโกงข้อสอบเล็ก ๆ ในโรงเรียน จนถึงการโกงข้อสอบระดับโลก แต่สิ่งที่ในซีรีส์สามารถทำให้ต่างออกไปได้อย่างชัดเจนมาก ๆ คือการเพิ่มเรื่องราวตีแผ่ประเด็นต่าง ๆ ที่ตัวละครแต่ละตัวต้องเจอ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นการสะท้อนเรื่องราวของสังคมไทยแทบทั้งนั้น ทั้งเรื่องของความหวังในการใช้การศึกษาเพื่อที่จะเปลี่ยน

 

ฐานะและสถานะทางสังคม การทำตาม Passion ของเด็กวัยรุ่น ม.ปลาย ที่แต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน แต่กลับต้องถูกวัดผลความสามารถด้วยคะแนนการสอบ การมี Conflict of Interest (ผลประโยชน์ทับซ้อน) ในโรงเรียน รวมถึงเรื่องของประเด็นปัญหาเรื้อรังในสังคมในหลาย ๆ จุดที่แก้ไม่หายด้วย

 

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

 

ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ตามเหตุผลต่อไปนี้ เห็นด้วย แน่นอนว่า ในหนัง เรื่องราวของการ “โกง” นั้นถือว่าเป็น Theme ใหญ่ที่ครอบคลุมตัวหนังไว้อยู่ ซึ่งแม้ว่าตัวหนังจะเล่าเรื่องของการออกแบบกลไกการโกงของครูพี่ลินและพรรคพวก แต่สิ่งที่ในหนังพยายามจะเล่าต่อออกมานั่นก็คือ เรื่องของ การ “โกง” แม้ว่าการโกงของลินนั้นเป็นสิ่งผิด แต่การที่ลินต้องยอมโกง ก็ทำอยู่ภายใต้เหตุผลของการ “โกงล้างโกง” อีกทีหนึ่ง ซึ่งนั่นก็หนักแน่นพอที่จะทำให้เราเอาใจช่วยลินในการโกงข้อสอบไปโดยปริยาย

เรื่องย่อ รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

รวมถึงเรื่องของการออกแบบเนื้อเรื่อง และโจทย์ของการโกงในรูปแบบต่าง ๆ ให้ “ฉลาด” สมกับชื่อหนัง มีความสนุก ตื่นเต้น พลิกล็อกอยู่ตลอดทั้งเรื่องจนแทบจะเดาทางหนังไม่ถูก อีกทั้งยังสามารถคุม Mood & Tone ของหนังให้ออกมาเหมาะสม ซึ่งนี่คือสิ่งที่หนัง และในซีรีส์สามารถทำได้อย่างสำเร็จสวยงามในระดับที่ใกล้เคียงกัน หนังฟรี หนังใหม่

 

ส่วนที่ไม่เห็นด้วยเพราะ สิ่งที่ซีรีส์กำลังจะทำ คือการแผ้วทาง “ทางเลือกใหม่ ๆ ” ในการเล่าเรื่องนี้ให้ต่างจากความเป็นหนังอยู่พอสมควรเหมือนกัน แม้ว่าพล็อตโดยรวมของ 2 อีพีแรก จะมีทิศทางคล้าย ๆ กับเนื้อหาในช่วงครึ่งแรกในหนัง แต่สิ่งที่ในซีรีส์เติมต่อมาจากหนังนั่นก็คือเรื่องของการพยายามอุดรูรั่วต่าง ๆ ในหนัง เช่นการออกแบบการโกงข้อสอบด้วยตัวโน้ตเปียโน ซึ่งในซีรีส์ก็มีการปรับแต่ง “อะไรบางอย่าง” ทำให้ตัวซีรีส์ในอีพี 1-2 มีความแตกต่างจากเนื้อหาครึ่งแรกของหนังอย่างน่าสนใจ

 

 

 

เป็นเรื่องของ ลิน เด็กอัจฉริยะที่เพิ่งย้ายมาเข้าเป็นนักเรียนทุนของโรงเรียนเอกชน แต่ด้วยความที่พ่อของเธอต้องเสียค่าแป๊ะเจี๊ยะแพงมากเพื่อให้เธอได้เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ลิน เด็กสาวที่มีระบบความคิดแตกต่างจากเด็กในรุ่นเดียวกันจึงได้ปิ๊งไอเดียระบบการลอกข้อสอบขึ้นมา โดยใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อแทน ก ข ค และ ง

 

ลินทำเงินได้มหาศาลจากการให้เพื่อนลอกข้อสอบนี้ แต่มันยังไม่หยุดแค่นั้นเมื่อเธอต้องการที่จะโกงข้อสอบ STIC ซึ่งเป็นข้อสอบระดับโลกที่จะจัดสอบพร้อมๆ กับทุกประเทศ ทำให้นี่จึงเป็นความเสี่ยงครั้งรุนแรงที่สุดที่เธอต้องเจอ และเธอทำด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ แบงค์ (เด็กเรียนทุน ที่เกลียดการโกงที่สุด) จึงต้องเข้ามามีส่วนในมหากาพย์การโกงข้อสอบของเธอ

 

 

เบื้องหลังก่อนมาเป็น “ฉลาดเกมส์โกง” ที่ทำเอาผู้ชมตื่นเต้นไปในทุกจังหวะนั้น เกิดจากโปรเจกต์ที่พี่เก้ง–จิระ ส่งต่อให้กับ ‘บาส–นัฐวุฒิ พูนพิริยะ’ (ผู้กำกับสุดหล่อ) โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเด็กกลุ่มหนึ่งที่ใช้ความต่างเวลาในการโกงข้อสอบระดับโลก (ไม่ใช่เด็กไทยนะ) จนเป็นเรื่องราวที่โด่งดังขึ้นมาช่วงหนึ่ง และเมื่อได้โจทย์มา พี่บาสก็เอามาปรับให้เข้ากับสภาพสังคมแบบไทยๆ จนออกมาเข้มข้นและรับประกันว่าใครดูก็ต้องชอบ

 

“ประเด็นใหญ่ๆ มันคือเรื่องการโกงในสังคมปัจจุบัน ประเด็นที่โขลกลงมาในหนังก็คือ มันพูดถึงเด็กวัยรุ่น ซึ่งสนามแห่งการโกงของเด็กวัยรุ่นมันไปไหนได้ไม่ไกลเท่าไหร่นอกจากโรงเรียน ก็เลยหยิบยกเรื่องการโกงข้อสอบมาเป็นประเด็นหลักของหนัง” บท

 

 

สัมภาษณ์ นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับหนังเรื่อง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ จากนิตยสาร FILMAX ฉบับที่ 118 ประจำเดือน เมษายน 2560จากที่ได้ชมนั้นจะรู้ได้เลยว่าทุกฉากทุกตอน มันสะท้อนอะไรที่ไปไกลกว่าห้องสอบ จะว่าง่ายๆ ก็คือมันการพูดถึงทัศนคติของคน โกงมากกว่าการโกง เลยยิ่งน่ากลัวเพราะคนที่มีความคิดว่า ‘การโกงไม่ผิดหรอก’ วันหนึ่งเขาก็จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดแบบเดิม แล้วสังคมเราจะต้องมีคนที่มีชุดความคิดแบบนี้เยอะแค่ไหนกันเชียวล่ะ

รีวิว ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)

ต้องยกเครดิตให้นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ที่แสดงฝีมือออกมาได้ระดับโปรมากๆ  ‘ออกแบบ’ นางเอกหน้าใหม่ของเรื่องมี character ที่น่าสนใจมาก แค่ทำหน้านิ่งๆ ก็รู้สึกว่ามีพลังงานความโหดบางอย่างถูกส่งออกมาสู่คนดูทำให้เราเชื่อไปเลยว่าคนคนนี้คือตัวละครอย่างที่หนังอยากให้เราคิดตาม นอกจากนี้นักแสดงอีกหลายๆ คนที่เราอาจเคยเห็นจากซีรีส์ฮอร์โมนส์มาบ้างแล้ว ในหนังเรื่องนี้ก็สามารถฉีกบทเก่าแล้วทำให้เราตื่นเต้นได้อีกครั้งเหมือนกำลังดูนักแสดงหน้าใหม่ทั้งเรื่อง อย่างเช่น ‘นน’ ที่ต้องรับบทเป็นเด็กเรียนดีผู้ซื่อสัตย์ ก็ดีไซน์บุคลิก ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

 

ออกมาได้โคตรจะเจ๋ง หรือจะเป็น ‘เจมส์’ ที่ถึงแม้จะเล่นเป็นคนเจ้าเล่ห์ๆ อย่างที่ได้รับบทมาตลอด แต่ในเรื่องนี้เจมส์ก็ทำได้ดีมากๆ และฉายเสน่ห์ออกมาสุดๆ 10/10 คะแนน เป็นหนัง GDH ที่ทำออกมาได้แมส มีจังหวะตลก และน่าตื่นเต้นครบสูตร.. แต่ว่า! มันเป็นหนัง GDH ที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยมี เพราะถึงจะดูแมสแต่ทำออกมาเท่และแตกต่างมากๆ เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าหนังไทยไม่จำเป็นต้อง เป็นหนังตลกจ๋าถึงจะสนุก นักแสดงทุกคนคุณภาพเต็มเปี่ยม น่าสนใจและมีลุ้นได้รางวัลกันเกือบทุกบทบาท บทเขียนออกมาได้มีชั้นเชิงมีการทำการบ้าน ค้นหาอุดทุกเรื่องจนลงตัว Perfect ! การถ่ายทำและตัดต่อทำออกมาได้น่าสนใจมาก ไม่มีจังหวะ

 

 

ให้ได้เบื่อเลย เป็นหนังที่ดูแปปเดียวจบเพราะตื่นเต้นปนลุ้นไปจนลืมเวลาแม้กระทั่งเพลงและดนตรีประกอบ เองก็ใส่มาได้แบบไม่ยัดเยียดคนดู เป็นความลงตัวมากๆ หนังแสดงเซ้นส์ความขี้เล่นและกวนๆ ของผู้จัดทำ แต่ออกมาแบบไม่ล้นจนกลายเป็นหนังตลก ถือว่าคุ้มค่าที่สุดในการดูหนังช่วงนี้ ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง