Tag Archives: หนังไทยน่าดูตลอดกาล

รีวิว บอสฉัน…ขยันเชือด

รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด

รีวิว บอสฉัน…ขยันเชือด

หนังไทยมาใหม่ ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์นับเป็นค่ายหนังไทยที่กล้าผลิตหนังแนวทางใหม่ ๆ แปลกๆ แหวกตาคนดู ฮ่าๆๆๆผ มาสร้างความคึกคักให้วงการหนังไทยเสมอตั้งแต่ปรากฎการณ์นางนาก หนังไทยร้อยล้านเรื่องแรก จนต่อมาได้ร่วมทำหนังกับ GMM ก็ยังได้ผลิตผลงานคุณภาพขวัญใจมหาชนออกมานับไม่ถ้วน หรือจะเป็นก่อนหน้านี้ที่ได้ร่วมงานกับ Mono Films ทำค่าย T-Moment ที่แม้จะมีหนังแค่ 3 เรื่องถ้วนได้แก่ โอเวอร์ไซส์ ทลายพุง, App War แอปชนแอป และ The Pool นรก 6 เมตรก็ยังนับว่าได้สร้างความแปลกใหม่ให้วงการหนังไทยอีกครั้ง
รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด
และหลังเปิดตัวความร่วมมือล่าสุดกับทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์จนได้เปิดค่าย ไทเมเจอร์ และถือเป็นการร่วมงานกันอย่างเป๋็นทางการของคนตระกูลวรลักษณ์ ทั้งวิสูตร (ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์) และ วิศรุต (เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์) ก็ทำให้ความคาดหวังที่มีต่อบิ๊กวงการหนังทั้ง 2 อยู่ในระดับสูงสุดและผลงานประเดิมค่ายที่ขอออกฉายชิมลางก็ได้แก่ บอสฉัน..ขยันเชือด หนังสแลชเชอร์คอมเมดี้เรื่องนี้นี่เอง เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว บอสฉัน…ขยันเชือด

รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex
ตัวหนังเริ่มเรื่องด้วยคลิปจากแชนแนล ‘กี้ษาท้าพิสูจน์’ ที่ช่วยแนะนำให้เรารู้จักกับ โบกี้ (ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร) และเมษา (มุกดา นรินทร์รักษ์) อดีตคู่หูยูทูบเบอร์สมัยมัธยมที่ปัจจุบ้นต้องใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทผลิตเสื้อยืด แต่หลังจากวันดีคืนดีที่พวกเธอรวมถึง หลินฮุ่ย (ผักกาด-พอวิไล อภิรัชฎาพร) ได้พบเจอแฟลชไดร์ฟของนอท (นอท-สัณหณัฐ ทิราชีพ) หนุ่มไอทีที่ทำวิดีโอเปิดเผยว่าคุณต้น (สหรัถ สังคปรีชา) บอสประจำบริษัทเป็นฆาตกรต่อเนื่อง พวกเธอจึงต้องหาทางพิสูจน์ความจริงก่อนจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป
หนังได้ ภูวนิตย์ ผลดี จาก โอเวอร์ไซส์ทลายพุง และ ศรณ์พัฒน์ ปราการะนันท์ มาร่วมกันรังสรรค์เรื่องราวแนบสืบสวนสอบสวนคอมเมดี้ที่มีกลิ่นอายแบบหนังสแลชเชอร์ซึ่งนับเรื่องได้สำหรับวงการหนังไทย โดยหากพิจารณาจากไอเดียตั้งต้นที่มันตั้งใจหยอกล้อกันระหว่างงานออฟฟิศที่ฆ่าความฝันกับฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าเหยื่อสาวออฟฟิศแล้วโยนความไม่น่าไว้วางใจให้กับเจ้านายอย่างคุณต้นก็ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
รีวิว บอสฉัน...ขยันเชือด
ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร ในบท โบกี้
อีกทั้งการได้มุกดานักแสดงสาวช่อง 7 ที่เคมีการแสดงเข้ากันกับไอซ์ ปรีชญาอย่างดีก็ทำให้ตัวหนังมีจุดที่ทำให้คนดูติดตามและลุ้นไปกับทั้งคู่ได้แม้หนังจะไม่ได้มีพระเอกเหมือนหนังไทยเรื่องอื่น ส่วนก้อง สหรัถก็ขายเสน่ห์บอสหนุ่มใหญ่สุดหล่อที่ดูอันตรายไม่น่าไว้วางใจ แค่นี้ตัวหนังก็สามารถเล่นสนุกกับคาแรกเตอร์ที่สร้างมาได้เป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่ตัวบทหนังก็ยังคงมีช่องโหว่ที่ยิ่งหนังเดินเรื่องไปก็ยิ่งถ่างออกจนชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อสังเกตประการแรกที่หนังไม่น่าพลาดเลยคือการปูความสัมพันธ์ของตัวละครโบกี้กับเมษานี่แหละที่บอกตามตรงว่าแม้ฉากเปิดเรื่องจะเปิดด้วยคลิปของทั้งคู่ แต่กว่าหนังจะมาปูความขัดแย้งของทั้งคู่ก็ปาไปองก์สองของหนังแล้ว ที่สำคัญความขัดแย้งของทั้งคู่ยังนำเสนอออกมาในลักษณะเพื่อนสาวที่ง้องแง้งกันมากกว่า และยังไม่พอหนังยังเพิ่มหลินฮุ่ยตัวละครเพื่อนสาวคนใหม่ของเมษาที่แทบไม่มีความจำเป็นกับเรื่องราวเท่าไหร่เข้าไปอีก
ผักกาด-พอวิไล อภิรัชฎาพร ในบท หลินฮุ่ย นอท-สัณหณัฐ ทิราชีพ ในบท โจ๊ก
ประการต่อมาคือการตัวอย่างหนังที่ตัดออกมาโปรโมตคนดูอดคาดหวังไม่ได้เลยว่าตัวหนังควรออกมาระทึกและมีคนตายรายทางจนสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมา ปรากฎว่าทั้งเรื่องการฆาตกรรมเป็นเพียงอดีตที่เกิดขึ้นนานนับปีแค่ศพเดียว แล้วหนังก็เสียเวลาจับแพะชนแกะรายทางเอาทั้งความสงสัยแบบลอย ๆ ไปคุยกับดร.อัง (โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน) หรือพี่ปั่น (เผือก พงศธร จงวิลาส) จนเราอดสงสัยในระดับสติปัญญาของนักสืบ 3 สาวไม่ได้เลย ที่สำคัญคือจุดหักมุมของมันก็มาในแบบจับยัดมากกว่าจะมีการปูปมนี้มาแต่ต้นไปอย่างน่าเสียดาย
เบื้องหลังฉากห้องนักบินในภาพยนตร์ Top Gun: Maverick ใช้กล้อง Sony VENICE และเลนส์ Voigtlander
ประการสุดท้ายเลยคืองานกำกับของหนังยังไม่สามารถทำให้คนดูลุ้นระทึกตามตัวละครหรือสถานการณ์ในเรื่อง ทั้งที่หนังมีฉากที่เอื้อต่อการทำให้คนดูตามติดและอกสั่นขวัญแขวนได้เพียบทั้งฉากในห้องล้างรูปบ้านของบอสต้น ไปจนถึงไคลแมกซ์ของหนังที่แม้จะทำให้คนดูได้หัวเราะและสนุกสนานบ้าง แต่จังหวะของมันก็เอื่อยจนผิดฟอร์มหนังทริลเลอร์ ทั้งการกำกับการแสดงที่เหมือนผู้กำกับเองก็ไม่มั่นใจว่าจะให้ตัวละครรีแอ็กกับเหตุการณ์ตรงหน้ายังไงจนดูประดักประเดิด มุกที่ให้หลินฮุ่ยเอาตัวชนกับฆาตกรก็ดูเป็นมุกสังขารที่เกินความเข้าใจไปหน่อยจนมันดูกระอักกระอ่วนเกินจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ครับ หนังฟรี  หนังใหม่

ความรู้สึกหลังดูหลายๆอย่าง 

แต่กระนั้นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีมาก ๆ แต่ดันมาตอนจบคือคำพูดของฆาตกรที่ว่าด้วยสังคมการทำงานแบบไทย ๆ โดยเฉพาะเรื่องเส้นสายที่เอาคนรู้จักหรือมีความสัมพันธ์เข้ามาทำงานด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งหากหนังปูเรื่องส่วนนี้ดี ๆ มันจะกลายเป็นหนังไทยที่มีบทหนังวิพากษ์สังคมการเมืองที่ทำงานที่เฉียบคมมาก ๆ อย่างไรก็ดีหากใครจะเข้าไปเสพหนังสนุก ๆ สักเรื่องที่มีดารามีเสน่ห์มาเพ่นพ่านกันบนจอ บอสฉัน..ขยันเชือดก็ถือว่ายังตอบโจทย์อยู่ดีครับ
ความรู้สึกหลังดูจบ
หนังเล่าเรื่องได้ไม่ค่อยสนุกเลยฮะ เดินเรื่องวนเวียนไม่ไปข้างหน้าซะที และด้วยความยาวหนังประมาณ 2 ชั่วโมงจึงกลายเป็น 2 ชั่วโมงที่อืดอาดยืดยาดมาก แถมปูมหลังของตัวละครที่พยายามสอดแทรกเข้ามาก็ไม่ได้ช่วยให้หนังมันเมคเซนต์อะไรเท่าไหร่นัก
ก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ตัวผู้กำกับเองหรือได้โจทย์มาจากทางค่ายนะฮะ ถึงได้ตีความและเล่าหนังออกมาในทิศทางแบบนี้ คือหนังไม่มีความชัดเจนในแนวทางใดแนวทางหนึ่งเลย เราจึงได้เห็นว่าหนังมีทั้งความ “พยายาม” ที่จะเป็นหนังตลก (จุดนี้จะเห็นได้ตั้งแต่โปสเตอร์แล้วที่ทำให้คนดูรับรู้ว่านี่เป็นหนังตลกนะ) แต่มันก็ไม่ตลกเลย มุกแป๊กมาก ก็มีบางซีนที่พอให้ขำ หึหึ ได้บ้างแต่จากที่สังเกต คนดูทั้งโรงก็ไม่ได้ หึหึ กันทุกคนนะ
หนังมีทั้งความ “พยายาม” จะเป็นหนังตลกร้ายจิกกัดสังคมแต่ก็ทำออกมาได้ไม่ถึง ทั้งๆ ที่เรื่องราวในแวดวงพนักงานออฟฟิศ มีอะไรให้เอามาเล่นได้อีกเยอะ แต่หนังก็ไม่เอามาเล่น (แค่แตะๆ พอให้เห็นว่ากำลังเล่าเรื่องของพนักงานบริษัทอยู่นะ)
และสุดท้ายหนังยังมีความ “พยายาม” ที่จะเป็นหนังทริลเลอร์ระทึกขวัญหักมุม ซึ่งในพาร์ทนี้แมวโอเคนะ โดยเฉพาะในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องเนี้ย ทำออกมาได้ดีใช้ได้เลย เพียงแต่ว่ามันถูกความอืดอาดยืดยาดน่าเบื่อที่ทำให้มีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่หนังจะจบครอบงำมาเกือบทั้งเรื่องแล้ว พอมาถึงจุดไคลแมกซ์อารมณ์มันเลยไม่พีคอย่างที่ควรจะเป็น
สิ่งที่ต้องขอชมเชยมากที่สุดสำหรับเรื่องนี้เลยก็คือการแสดงของคุณ ดีเจเผือก ฮะ เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นพัฒนาการและศักยภาพทางด้านการแสดงของเขาอย่างชัดเจนเลยฮะ สามารถทำให้เรา “เชื่อ” ในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อกับเราได้
สำหรับหนังเรื่อง My Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือด เป็นหนังไทย อีกหนึ่งเรื่อง ที่เราคิดว่าพล็อตเรื่อง และ แนวของหนังได้ ดีมีความแปลกใหม่ และ น่าสนใจมาก ซึ่งจะไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในประเทศไทย โดยหนังมีการหยิบยกทฤษฎีทางจิตวิทยาเข้ามาพูดถึง และการดำเนินเรื่อง วางทามไลน์หรือนักแสดงภายในเรื่องทุกอย่างออกมาในทิศทางที่ดีโอเคเลย แต่การนำเสนอเรื่องราวนี้เรียกว่าขาดมิติหรือลูกเล่นภายในเรื่องสุด ๆ ไม่มีจุดไคลแมกซ์หรือจุดพีคทำให้คนดูรู้สึกเบื่อไม่ตื่นเต้น อีกทั้งในบางจุดของหนังก็รู้สึกถึงความไม่ Make Sence จับนั้นผสมนี่ ยำใส่กันจน งง ถึงขั้นจะต้องอุทานว่าอีหยังว่ะกันเลยเดียว! หรืออย่างในตอนจบที่มีฉากแอคชั่นต่อสู้กัน หนังต้องการพรีเซนต์ให้ดูตลกแต่เรากลับรู้สึกว่ามันดูพยายามจนทำให้แข็งทื่อไปซะงั้น
My Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือดMy Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือดอีกทั้งในเรื่องนี้จะต้องมีพาร์ทของการสืบสวนแต่ไม่มีความเข้มข้นไปไม่สุด ออกไปแนวครึ่ง ๆ กลาง ๆ มีช่องว่างเยอะเกิน ทำให้ดูไปหงุดหงิดไป กลับกลายเป็นหนังสืบสวน ระทึกขวัญก็ไม่ใช่ หรือจะไปในแนวตลกคอมเมดี้ก็ไม่เชิง เพราะหนังเรื่องนี้แทบมีมุขหรือฉากตลกที่น้อยมาก ถึงมีก็มียังฝืด ๆ
My Boss is a Serial Killer บอสฉัน ขยันเชือดบอก ตรง ๆ ว่า สำหรับเรื่อง My Boss is a Serial Killer บอสฉันขยันเชือด แอบเสียดายนักแสดงในเรื่องมาก เพราะเป็นนักแสดงชั้นนำที่โด่งดังที่ถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ก้อง สหรัถ , ไอซ์ ปรีชญา , มุกดา นรินทร์รักษ์ , เผือก พงศธร และนักแสดงสมทบอย่าง ผักกาด พอวิไล , โอ๊ต ปราโมทย์และ นอท สัณหณัฐ โดยในเรื่องนี้คนที่โดดเด่นน่าจับตามองก็คือ มุกดา นรินทร์รักษ์ ที่ก้าวขามาเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้และเป็นMain Cast เรื่องแรกเลย นับว่าทุกบทบาทแสดงออกมาได้ดีและเต็มที่มาก ๆ ค่ะ จุดนี้ทางเราขอชื่มชม ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว แฟนฉัน

รีวิว แฟนฉัน

รีวิว แฟนฉัน

หนังไทยมาใหม่ พูดถึงหนังไทยของค่ายหนัง GTH กันไปหลายเรื่องแล้ว วันนี้ก็จะพูดถึงหนังไทยของค่าย GTH กันอีก เกือบ 20 ปีแล้วนะ สำหรับหนังเรื่อง แฟนฉัน ที่เป็นหนังแจ้งเกิดของ แน็ค ชาลี , แจ๊ค แฟนฉัน , หรือโฟกัส จิระกุล เรียกว่าตอนเข้าฉายเมื่อปี พ.ศ. 2546 เรียกได้ว่ากอบโกยรายได้กันไป 137 ล้านบาท เยอะที่สุดในปีนั้น ผมชอบหนังของค่าย
รีวิว แฟนฉัน
GTH เกือบทุกเรื่องนะ ดูเกือบทุกเรื่อง ก็สนุกและมีสาระดี เป็นเมื่อก่อนสะสมแผ่นหนังดีวีดีไว้เยอะ แต่เป็นแผ่นไรท์นะ จนหลัง ๆ ต้องโยนทิ้ง เพราะมันเยอะมาก เป็นพัน ๆ เรื่อง ไม่มีที่เก็บเลยต้องโยนทิ้ง เพราะเดี๋ยวนี้นิยมสตรีมมิ่งลงมาดูในคอมกันแล้ว ไม่นิยมซื้อแผ่นหนังดีวีดีกันแล้ว
หนังเรื่อง แฟนฉัน จะเล่าถึง เพื่อนในวัยเด็กของเจี๊ยบที่มีเพื่อนสนิทเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่อน้อยหน่า ที่ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน และพ่อของทั้ง 2 คนก็เปิดร้านตัดผมเหมือนกัน แต่
รีวิว แฟนฉัน
ทั้งคู่กับไม่ถูกกันซะงั้น เจี๊ยบกับน้อยหน่าสนิทกันมากและมักจะเล่นด้วยกัน จนวันหนึ่งเจี๊ยบอยากเข้ากลุ่มกับเด็กผู้ชาย ซึ่งมีหัวโจกชื่อ แจ๊ค ซึ่งแจ๊คมีคู่แค้นชื่อ น้อยหน่า แจ๊คบอกกับเจี๊ยบว่า ถ้าอยากเข้ากลุ่มต้องไปแกล้งน้อยหน่าให้แจ๊คเห็น เพื่อแสดงความเป็นลูกผู้ชาย เจี๊ยบไปแกล้งน้อยหน่าจนน้อยหน่าร้องไห้ จนกระทั่งน้อยหน่าโกรธหรือเกลียดไปเลย จนหลังจากนั้นน้อยหน้าได้ย้ายบ้านไปอีกจังหวัดหนึ่ง เจี๊ยบตามไปเพื่อจะไปขอโทษแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว จนเจี๊ยบโตขึ้น เขาได้รับการ์ดแต่งงานจากเพื่อนในวัยเด็กที่ ชื่อน้อยหน่า และเจี๊ยบแปลกใจว่าถ้าเขาและน้อยหน่าเจอหน้ากัน ยังจะจำเพื่อนสนิทคนนี้ในวัยเด็กได้หรือไม่
รีวิว แฟนฉัน
ดูแฟนฉันจบ เหมือนย้อนความทรงจำในอดีต ครั้งเรายังเด็ก ปั่นจักรยานเล่นกับเพื่อน ๆ บางทีก็ยิงนก ตกปลา แกล้งเพื่อนผู้หญิง เคยนะครับ เล่นกระโดดยางกับเพื่อนผู้หญิงนี่ ดูแล้วก็อดขำ อมยิ้มไม่ได้ ชอบเนื้อเรื่องที่ย้อนเรื่องราวของ 2 เพื่อนซี้ในวัยเด็กที่เล่นกันตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะโกรธกัน สุดท้ายก็ไม่ลืมกัน ปูเรื่องได้ดีมาก สอดแทรกเพลงดังสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังสาวเข้าไปในหนังด้วย ดีครับ เหมือนได้ดูหนังร่วมสมัย ได้เห็นแน๊ค ชาลี เล่นหนังตั้งแต่ตอนเด็ก ได้ดูโฟกัส เล่นตั้งแต่ยังเด็ก มีความเวอร์จิ้นในหนังดี จนทั้งคู่โตขึ้นอยากให้เป็นแฟนกันจริง ๆ ได้เห็นดาราเด็ก ที่ตอนนี้ก็โตขึ้นหมดแล้ว จะมีอยู่ในวงการบันเทิงตอนนี้ก็เห็นจะ 3 คน ดูหนังแฟนฉันเหมือนเห็นตัวเองในอดีต ที่เมื่อก่อนก็เล่นแบบนี้ ขี่จักรยานกับเพื่อน ๆ ชอบความคลาสสิคของหนัง
ช่องทางในการรับชมนะครับ สามารถหาชมได้ทาง Netfix , GooglePlay , True-ID หรือจะซื้อแผ่นดีวีดีมาดูก็ซื้อได้ที่ร้าน ฺฺB2S หรือร้านแมงป่อง บูมเบอแรง หรือซื้อออนไลน์ตอนนี้ซื้อได้จะเป็นแผ่นหนังมือสอง ที่ผ่านการดูมาแล้วหลายรอบ ก็เว็บลาซาด้า , ช้อปปี้ เป็นต้น เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว แฟนฉัน

 

10 ปี แฟนฉัน หนังรักใสๆ ในความทรงจำ
รีวิวหนัง วิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน
โดยส่วนตัวแล้วดิฉันเป็นคนชอบดูหนังแนวสยองขวัญ หรือแฟนตาซี เรื่องสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ลึกลับซับซ้อน ที่ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่ตลอดเวลา ดิฉันไม่ค่อยชอบดูหนังไทยเท่าไรหนักจนเพื่อนแนะนำให้ดูภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน เป็นภาพยนตร์เรื่องราวเกี่ยวกับความรักตอนวัยเด็ก ในอดีตของความทรงจำ ดิฉันเชื่อว่าทุกคนก็มีความทรงจำดี ๆ สมัยตอนเด็ก ดิฉันก็เช่นกันมันเป็นความทรงจำที่เลือนลาง จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำให้ดิฉันสนใจที่จะดูภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน ทำให้อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
น้อยหน่าเป็นเด็กผู้หญิงผมยาวเธอเป็นเพื่อนกับเจี๊ยบสองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ยังเล็กเพราะบ้านของเขาทั้งสองอยู่ติดกันแถวระแวกบ้านเดียวกัน แถวนั้นไม่มีเด็กวัยเดียวกัน ทำให้สองคนนี้เล่นด้วยกัน เจี๊ยบจะไปเล่นกับน้อยหน่า เช่นพวกกระโดดยาง เล่นขายของ จนกระทั่งเจี๊ยบเริ่มโตขึ้นและเริ่มอยากเล่นกับเด็กผู้ชายถึงขนาดไปขอเข้าแก๊งกับเด็กผู้ชาย ที่เป็นคู่อริกับน้อยหน่า พวกแก๊งเด็กผู้ชายยื่นคำขาดให้เจี๊ยบพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายให้พวกเขาเห็น และศัตรูของพวกเขา ก็คือน้อยหน่าและใช้ให้เจี๊ยบไปตัดยางของน้อยหน่าที่กำลังเล่นกันอยู่ น้อยหน่าโกรธมากและไม่ยอมคุยกับเจี๊ยบจนวันที่น้อยหน่าย้ายบ้านไปที่อื่น เจี๊ยบตั้งใจจะไปขอโทษแต่ก็ไม่ทัน เมื่อผ่านไป 10 กว่าปีจนวันหนึ่งเธอส่งการ์ดงานแต่งงานมาให้เจี๊ยบที่บ้าน เขาสองคนยังจำกันได้ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปแค่ไหนเจี๊ยบก็ยังจำเธอได้ เพื่อนซี้เมื่อสิบขวบ
ภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน จะเป็นเรื่องที่ขัดแจ้งกันระหว่างเพื่อนที่แตกหักกันระหว่างน้อยหน่ากับเจี๊ยบที่ทำให้ทั้งสองไม่เข้าใจกัน แต่สุดท้ายทั้งสองก็กลับมาเจอกันอีกครั้งและก็เป็นเพื่อนซี้กันเมื่อ 10 ปีที่เเล้วตัวละคร
ชวิน จิตรสมบูรณ์ (จั๊ก) รับบท “เจี๊ยบ” (ตอนโต)
โฟกัส จีระกุล (โฟกัส) รับบท“น้อยหน่า”
เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ (แจ๊ค) รับบท “แจ๊ค”
อัญญาฤทธิ์ พิทักษ์ติกุล (เกตต์) รับบท “บอย”
วงศกร รัศมิทัต (ต้น แมคอินทอช) รับบท ชาญ (พ่อของเจี๊ยบ)
อนุสรา จันทรังษี (กบ) รับบท แม่ของเจี๊ยบ
ปรีชา ชนะภัย (เล็ก คาราบาว) รับบท สมัย (พ่อของน้อยหน่า)
นิภาวรรณ ทวีพรสวรรค์ (ไก่ 18 กะรัต) รับบท แม่ของน้อยหน่า
ภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพความทรงจำในวัยเด็ก มีสิ่งที่ชอบเล่นเหมือนกัน ผู้ชายอาจจะมีขี่จักรยาน เป่ากบ ผู้หญิงอาจจะมีกระโดดยาง เล่นขายของ แต่สุดท้ายไม่ว่าทั้งสองจะชอบอะไร ถ้ามีความเข้าใจกันก็สามารถเล่นด้วยกันได้ จนเกิดเป็นเพื่อนซี้กัน
ฉาก
ภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน เป็นฉากในหมู่บ้านที่ทั้งสองมีความทรงจำที่ดีต่อกัน ซึ่งมีทั้งตอนอดีต และตอนปัจจุบัน ว่ามีการพัฒนาไปมากเพียงใดซึ่งเป็นการแยกอดีตกับปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
สัญลักษณ์พิเศษ
เป็นฉากในหมู่บ้านตอนอดีตที่ยังเป็นเด็ก บ่งบอกสถานที่ตอนนั้นว่าไม่ค่อยมีความเจริญมากหนัก เมื่อเปรียบเทียบกับตอนปัจจุบัน
มุมมองในการเล่าเรื่อง
ทุกคนคงมีภาพความทรงจำในวัยเด็ก ต่างกันในรายละเอียดว่าตอนเด็กเรามีความทรงจำดี ๆ กับใคร ได้ทำอะไรบ้างที่เรารู้สึกผูกพันมันกับสถานการณ์นั้น ๆ ทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ที่อยากกลับไป
เป็นเด็กอีกครั้ง หนังฟรี  หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว 

 

อีกเรื่องที่ผมต้องยกให้เฮียคือเรื่องความกตัญญูและรักแฟนมากกกกกก โดยแฟนสาวสุดสวยที่มีแจ็คอยูข้างกายก็คือ “คุณ” ซึ่งเฮียเคยให้สัมภาษณ์แบบหล่อ ๆ ว่า “ใครมายุ่งด้วย ผมก็ไม่ยุ่ง ไม่อยากยุ่งกับใครที่ไม่ใช่แฟนเรา ที่ทำคืองานล้วน ๆ ต่อให้พริตตี้เซ็กซี่แค่ใหน ผมว่าความรักที่ยาวนานมั่นคงกว่า” แหมมมมมมมมมมมมมมม หล่อไปเลยนะครัช
คนถัดมาที่ผมจะพูดถึงคงหนีไม่พ้น ชายอินดี้แห่งวงการบันเทิงไทย ผู้ไปทางใหนก็สุดทาง “แน็ค ชาลี ปอทเจส”  หรือ “เจี้ยบ” (แต่คนส่วนใหญ่มักจำนามสกุลทางฝั่งแม่ “ไตรรัตน์” มากกว่า)  ปีนี้อายุ 26 ปี มีความสามารถพิเศษมากมาย และมีลูกบ้าเต็มเหนี่ยว สามารถติดตามดูผลงานได้ทั้ง IG และในYoutube
ig: @charliepotjes
ปัจจุบัน “แน็ค ชาลี” เป็นเจ้าพ่อแห่งวงการอินดีไปแล้ว เขากลับมาดังเปรี้ยงปร้างตั้งแต่การใส่เสื้อเทาไปรายการ 10fight10 ให้อาหารตัวเหี้ย และร้องเพลงด้วยเสียงสกู้ปปี้ดู ซึ่งคำถามที่คนส่วนใหญ่มักจะถามคนที่รุ้จักหรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับแน็ค คือ “เค้าเป็นแบบนี้มานานแล้วหรอ” ผมก็กล้าพูดเลยครับว่า “เขาอินดี้แบบนี้มาตั้งแต่แรกก่อนเล่นหนังแฟนฉันแล้ว” แต่ถ้าถามถึงเรื่องคนรู้ใจ ผมตอบให้ไม่ได้จริง ๆ เพราะผมไม่รู้! ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นของแน็คนั้นมีตัวตนหรือไม่ เพราะการจะขอข้อมูลจากคุณชาลีนั้น ยากซะเหลือเกิน หึ! ผมคิดว่าเหล่าบรรดาเอเจนซี่ที่ติดต่องานไปน่าจะรู้เรื่องความยากกกกกของคุณแน็คดีกันใช่มั้ยขอรับ?

รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

 

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด สวัสค้าบทุกๆ ท่าน และ คนรักหนังไทยทุกคน วันนี้ก็อยู่กับแอด บี อีกเช่นเคย วันนี้แอด บี จะพาทุกคน มาเสียน้ำตา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไม่รู้ใครจะเสียน้ำตาบ้าง แต่แอด เสียไปเป็นลิตรอะ บอกตรงๆ เนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย

เรื่องราวของหนัง ครูแอน ได้เข้าไปสอนที่โรงเรียนเรือนแพ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญและด้วยความเหงาบวกกับความห่างไกลเทคโนโลยีรวมถึงสัญญาณโทรศัพท์ ทำให้เธอต้องระบายความรู้สึกผ่านไดอารี่เล่มหนึ่ง จนเวลาผ่านไป ครูสอง เข้ามาสอนต่อและได้พบกับสมุด บันทึกที่ครูแอนได้เขียนและลืมทิ้งไว้ เมื่อเปิดอ่านทำให้ครูสองเกิดความรู้สึกดีดีกับครูแอนแม้ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

 

ซึ่งการที่ครูสองได้อ่านบันทึกของครูแอนนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกและเหมือนได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่มีความเข้าใจความรู้สึกที่ตรงกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนแต่การที่ครูสองได้อ่านบันทึกของครูแอน ทำให้ครูสองอยากจะพบหน้าของครูแอนซักครั้ง

 

รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

 

สำหรับ คิดถึงวิทยา คือหนังแนวดราม่าโรแมนติก ที่หยิบประเด็นครูผู้สอนหนังสือในต่างจังหวัดมาเล่าเรื่องให้เห็นถึงการเรียนการสอนของเด็กต่างจังหวัดที่แทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสแวดล้อมดีๆ เนื้อหาสอดแทรกความสำคัญของคำว่าครูลงไป ทำให้เราได้

 

เห็นความทุ่มเทของครู ที่สั่งสอนถ่ายทอดความรู้เพื่อให้เด็กเติบโตไปเป็นคนที่ดี นำความรู้ไปพัฒนาชีวิต สิ่งที่หนังสื่อสารออกมาคือภาพที่แตกต่างจากสังคมการเรียนการสอนของครูในยุคปัจจุบัน หากใครดูแล้วประทับใจแสดงว่าคุณคงเข้าใจความหมายที่แท้จริงของครูที่เสียสละและถูกจะเป็นผู้ให้ด้วยความเต็มใจ

 

รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

 

ถ้าเอาดีเทลมาร่วมกันคราวๆ หนังมีไดอารี่ของคนเหงาๆ2 คนที่มาเขียนระบาย คนหนึ่งเบื่อชีวิตที่มีระเบียบต้องการออกจากความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยกฏเกณฑ์ อีกคนที่เลือกมาอยู่เพราะไม่อยากเป็นคนตกงาน ภายใต้โรงเรียนเรือเรือนแพกลางเขื่อนที่เงียบสงบ ไม่มีครูที่ไหนเต็มใจมาสอน หนังจึงค่อยๆนำเสนอการเล่าเรื่องของตัวละครหลัก ที่มาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ทำหน้าที่เหมือนกัน แตกต่างกันที่ช่วงเวลา พาไปรู้จักครูแอนและครูสอง ไดอารี่เล่มเดียวบิ้วอารมณ์ให้ตัวละคร 2 คนอยากรู้จักกัน

 

บทหนังเชื่อมโยงกันไปหมด ทั้งสุข เศร้า เหงา รัก แฮปปี้ ยอมรับเลยว่าบทหนังดีมากๆ ยิ่งดูยิ่งเข้าใจหัวอกคนเป็นครูจริงๆ เรารู้สึกสนุกที่บทบาทครูสองเขาไม่มีความเข้าใจในเชิงวิชาการเลยสักนัด แต่กลับมาเรียนรู้ชีวิตคำว่า”ครู” จริงๆ ไปตามเด็กมาเรียนหนังสือ เพียรพยายามที่จะสอนมอบความรู้ให้เด็กด้วยความเต็มใจ เลือกเป็นผู้ให้ หลายๆฉากที่ได้สัมผัสผมมีความสุขมาก คือรับรู้ว่าครูแบบนี้นับจะตายไปจากการศึกษาไทยเสียแล้ว ไม่ได้สักแต่ว่าสอนในตำรา หรือมาทำหน้าที่สอนไปงั้นๆ ไม่ได้

 

รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

 

ใส่ใจนักเรียนแบบครูยุคใหม่ คือมีสาระและคอเมดี้ที่สอดแทรกลงไป การที่ร่วมแสดงกับเด็กทำให้เขามีเสน่ห์หลายๆฉากทำให้ใครต่อใครอมยิ้มมาก โดยเฉพาะซีนจำลองรถไฟกลางน้ำ ไอเดียนี้สร้างสรรค์ดีแหะด้านครูแอน จะเป็นพาร์ทที่แตกต่างจากครูสองอย่างสิ้นเชิง เป็นคุณครูที่เสียสละ เจ้าอารมณ์ ไม่ค่อยแคร์กฏระเบียบ เป็นครูสาวที่ชีวิตมีประเด็นให้เจอตลอดเวลา ทั้งเรื่องเพื่อนร่วมงานที่ไม่สบอารมณ์ แฟนที่ไม่เข้าใจอะไรเธอเลยสักนิด ชีวิตไม่มี เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

เรื่องย่อ รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

ความสุข ยกเว้นเรื่องเดียวคือการสั่งสอนเด็กในโรงเรียนเรือแพ ที่เธอเองผ่อนคลายที่สุด ตรงนี้เองคือสิ่งที่คุณพลอย ตีความคาแรกเตอร์ครูสาวภูธรให้เห็นภาพแม่พิมพ์ของชาติได้น่าประทับใจ ยิ่งหลงรักตัวละครนี้มากขึ้นไป เรื่อย ๆ ยิ่งเมื่อหนังตัดต่อภาพลำดับ 2 เหตุการณ์ได้ลงล็อค สื่อวสารให้คนดูเข้าใจมันจึงทำให้เราอินกับเนื้อหาทั้งหมด

 

รอกันมานานแสนนานที่จะพบกับอรรถรสในแบบหนังของ GTH ที่จะกลับมาอีกครั้ง หลังจากปีที่แล้ว ‘พี่มาก..พระโขนง’ เข้าฉายและดังเปรี้ยงสร้างประวัติการณ์หนังไทยรายได้ 1 พันล้านบาทไปในที่สุด และค่ายนี้ก็หันไปทุ่มเทกับการผลิตซีรี่ส์ทางทีวีอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีข่าวหนังใหญ่ปี 2557 สามเรื่องรวด และนี่คือเรื่องแรก ‘คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)’ มีพระนางชูโรงที่มีแรงดึงดูดอย่าง บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว และ พลอย เฌอมาลย์ ประกบด้วยนักแสดงที่อุบไว้เซอร์ไพรส์ในโรงอีกหลายคน

 

 

เรื่องราวที่เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะง่ายๆ แต่มันตอบแสนยาก เพราะช่างเป็นอะไรที่ไม่ค่อยได้พบในชีวิตเราสักเท่าไหร่ นั่นคือ คำถามที่ว่า “เราจะรู้สึกรักใครสักคนที่เราไม่เคยเจอหน้าค่าตาได้หรือไม่” การรู้จักกันผ่านตัวอักษร จะทำให้เรารู้สึกรักใครสักคนได้แค่ไหน ถ้าใครไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ตรงๆ กับตัวเอง จะรู้สึกและเข้าใจคนที่เจอเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร

 

เมื่อครูสอง (บี้ สุกฤษฎิ์) จำใจต้องไปเป็นครูสอนเด็กในโรงเรียนกลางน้ำของหมู่บ้านห่างไกล โรงเรียนที่มีอาหารหลังเล็กๆ มีเพียงนักเรียนเพียงไม่กี่คนที่เรียนรวมอยู่ด้วยกันในห้องเดียว ครูหนึ่งคนจัดการแทบจะทุกอย่างเกือบจะตลอด 24 ชั่วโมง แต่สิ่งหนึ่งที่ผลักให้เขายังสู้ต่อก็คือไดอารี่เล่มหนึ่งที่ครูคนเก่าเขียนแล้วทิ้งเอาไว้

 

 

ครูแอน (พลอย เฌอมาลย์) คือเจ้าของไดอารี่เล่มนั้น เขียนบรรยายความรู้สึกทุกอย่างตั้งแต่ได้มาอยู่ที่นี่เมื่อ 1 ปีทีแล้ว ก่อนที่เธอจะจากโรงเรียนแห่งนี้ไปด้วยเหตุผลบางอย่าง และข้อความในนั้น กลับสร้างความรู้สึกบางอย่างให้กับครูชายใจเหงาๆ คนนั้นเหตุผลของครูแอนที่มาอยู่ที่นี่เพราะต้องการเพียงเอาชนะ แต่เหตุผลของครูสองคือไม่มีทางเลือก แต่แล้วต่างคนได้รับรู้ว่าช่วงเวลาดีก็สามารถเกิดขึ้นได้แม้ในสถานที่ที่เหงาสุดๆ เวลาของเขาและเธอไม่เคยตรงกัน ในวันที่เขาต้องจากไป ก็กลายเป็นวันที่เธอกลับมา

 

หนังอาศัยการเล่าเรื่องที่ดีและน่าสนใจ ด้วยการพูดถึงเหตุการณ์ของคนสองคนสองเวลาที่เล่าล้อไปพร้อมๆ กัน ผ่านการดำเนินเรื่องแบบเนียนๆ ผ่านเทคนิคพิเศษที่มีเข้ามาเพื่อสอดรับการเล่าเรื่อง รูปแบบการลำดับภาพ การถ่ายทำ มุมกล้อง เพลงประกอบ ล้วนทำออกมาได้ถึงตามมาตรฐานของหนังค่ายนี้ แถมยังมีบางซีน สอดแทรกฉากระทึกขวัญเข้ามาด้วยซ้ำก่อนจะกลับไปเล่าซีนดราม่าใหม่ สลับไปกับเนื้อหาที่เสียดสีการเรียนการสอนของคนไทย และแน่นอน มันเต็มไปด้วยฉากขำขันนอกจากนี้ หนังของ ผกก. ต้น นิธิวัฒน์ ธราธร ยังมีเซอร์ไพรส์ที่นักแสดงรับเชิญที่ดูเหมือนจะถูกอุบไว้ หลายคนคงคุ้นเคยกับผลงานของพวกเขาและเธอมาแล้ว ซึ่งแต่ละคนก็ทำหน้าที่ได้ไม่เลว เพียงพอที่จะเป็นกำลังสำคัญที่จะพาเรื่องราวให้ดำเนินไปได้

 

 

น่าเสียดายที่หนังอย่าง ‘Teacher’s Diary’ ยังเป็นเพียงหนังรักฟีลกู้ดจากค่ายจีทีเอช และยังไม่ก้าวข้ามไปไหน ก็คือหนังมีองค์ประกอบที่น่าสนใจ เล่าเรื่องได้อย่างมีชั้นเชิง แต่ยังย้ำอยู่กับจุดเดิม ลงเอยแบบไม่มีอะไรเกินความคาดเดาคือทำให้เรารู้สึกดี ไม่ฟูมฟายกับชีวิตที่ต้องพบเจออุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า แต่บางครั้งการขยี้น้อยเกินไป หรือเปลี่ยนแนวทางไปในแบบอื่นบ้าง หนังฟรี  หนังใหม่

รีวิว คิดถึงวิทยา (Teacher’s Diary)

หนังเรื่องนี้ผ่านตาข้าเจ้าถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเพื่อนลากไปดูในโรง แต่ไม่มีเวลาเขียนบล็อกจึงดองมา จำเป็นต้องดูอีกครั้งโดยยืมดีวีดีเพื่อนมาดูเก็บรายละเอียดมา ถือได้ว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างสวยงามมากๆ เรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติหนังไทย ข้าเจ้าได้ไปดูเค้าเปิดตัวหนังเรื่องนี้ที่เมญ่าเชียงใหม่ด้วยล่ะ อวดๆ ๆ บี้หล่อพลอยสวย ได้เห็นตัวอย่างก่อนคนกรุงเทพซะอีก

 

เรื่องภาพถือว่าโดดเด่นมากๆ นอกจากจะถ่ายทำด้วยอัตราส่วน 2.35:1 แล้ว ภาพยังจัดองค์ประกอบสวยมากอีกต่างหาก หนังที่ภาพสวยมีอยู่ 2 แบบคือ สวยเพราะจัดองค์ประกอบสวย กับสวยเพราะภาพอาร์ต ซึ่งสวยเพราะองค์ประกอบมันจะดีกว่าตรงที่ภาพจะดูสมจริงและเป็นธรรมชาติมากกว่า ทำให้มันต้องเซ็ทยากไปด้วย มีหนังไม่ค่อยกี่เรื่องหรอกที่จะทำภาพสวยได้ประมาณนี้

 

นอกจากนี้ยังมีฉาก Long Take ที่ใหญ่ๆ อีก 2 ฉาก และเป็นฉากสำคัญที่ทำออกมาได้ดีและต่อเนื่องมาก ฉากแรกคือฉากที่พายุซัดโรงเรียน เริ่มตั้งแต่บี้ตื่นนอนมาเพราะน้ำฝนสาดใส่ใบหน้า เด็กมาตามไปช่วยเหลือ บี้เดินไปตามเด็กๆ ให้เข้ามาหลบในห้องเรียน สั่งให้เด็กปิดหน้าต่าง บี้ไปปิดกันสาดที่ผนังอีกข้าง ผนังล้มตึง เด็กๆ วิ่งมากอดบี้แล้วร้องไห้ ท่ามกลางพายุลมและฝน ฉากนี้ยาวหนึ่งนาทีกว่าๆ และเป็นฉากที่สะพรึงมาก

 

 

อีกฉากคือฉากที่พลอยได้ทราบความจริง เริ่มจากมีผู้หญิงท้องมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง พลอยเดินไปตามทางเดินในอาคารเรียน สวนทางกับเวียร์ เวียร์เข้ามาคุย พลอยบอกปัด พาเดินลงบันไดอาคาร เวียร์พยายามจะกล่อม แต่พลอยไม่สนใจ เดินออกมาจากอาคาร เวียร์ยังตามมา พลอยเดินขึ้นรถ ขอโอกาสให้ผมเถอะ เวียร์บอก พลอยสตาร์ทรถ แล้วขับรถออกไป ก่อนจะปล่อยโฮในรถอีกเล็กน้อย ยาวราว ๆ สองนาที ถือว่าเป็นฉากที่พีคที่สุดของหนัง

 

เพลงประกอบถือว่าดีมาก เพราะได้ หัวลำโพง ริดดิม เจ้าเก่ามาทำเพลงสกอร์ของหนังให้ และเรื่องนี้ก็ทำเพลงได้ดีมากอีกแล้ว เพลงประกอบเพราะจนอยากได้เพลงเดี่ยวๆ มาฟังเลย แต่ก็ไม่มี เค้าไม่ทำเป็นอัลบั้มแงงงงง ส่วนเพลงประกอบ OST ได้ 25 Hours มาทำเพลง ไม่ต่างกัน ให้ ถือว่าเพราะและเนื้อเพลงมีความหมายดี ส่วนตัวข้าเจ้าชอบเวอร์ชั่นเดโมมันมากกว่า เป็นเพลงที่ทำออกมาก่อนแต่ยังไม่ได้ปล่อย (ไปหาฟังได้ ที่นี่ )

 

นักแสดงเล่นดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ค่อยทำให้อินเท่าไหร่ เพราะมองยังไง ครูสองก็คือบี้ ยังไงก็ไม่ใช่ครูสอง ส่วนครูแอนก็คือพลอย แถมยังออกไปทางแตง/จูนในรักแห่งสยามอีกต่างหาก 555 ส่วนเวียร์ที่เล่นหนุ่ม ไม่มีคำบรรยาย เพราะเล่นได้แข็งมาก

 

 

ไม่มีชีวิตชีวาชนิดที่ว่าครูแอนหาคนแบบนี้มาเป็นแฟนได้ยังไง คือมีดีแค่หน้าหล่อหุ่นล่ำนะ แต่การแสดงนั้นเป็นธรรมชาติมาก (ก้อนหินกับต้นไม้) ส่วนเด็กๆ ในเรื่องน่ารัก เป็นตัวของตัวเอง แต่เสียดายที่บทเด็กๆ ไม่ได้เด่นจนน่าจดจำเท่าไหร่บทหนังมีความสดใหม่ เอาเค้าโครงเรื่องจริง 2 เรื่องมากอปรรวมกัน รีวิวหนัง

 

1.เรื่องราวของครูสองที่เป็นครูสอนเด็กที่โรงเรียนแพนั้นมีอยู่จริงที่จังหวัดลำพูน ครูสองมีตัวตัวตนจริงๆ

2.เรื่องสมุดไดอารี่มีที่มาจากเพื่อนของเฮียเก้งจิระ เค้าย้ายไปทำงานที่บริษัทหนึ่ง แล้วใช้โต๊ะต่อจากผู้หญิงคนหนึ่ง เขาได้พบกับสมุดไดอารี่ของเธอ เลยตามหาจนเจอและแต่งงานกัน

 

การตัดต่อทำได้ดีมาก ต่อเนื่อง และฉากที่ตัดสลับกันที่ทำได้ดี ทำให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนและมีอารมณ์ร่วม ฉากการตัดต่อที่เด่นที่สุดที่ชอบและจดจำได้คือฉากที่ทั้งครูสองและครูแอนต่างผูกพันและทำกิจกรรมต่างๆ กับเด็ก สลับกันมาบนเรือนแพแห่ง

 

นั้น ถือว่าเป็นหนังไทยไม่กี่เรื่องที่เล่าเรื่องด้วยภาพได้ดีแบบนั้น แต่หนังไม่ค่อยได้ให้รายละเอียดในหลายๆ ฉาก (ทำให้หนังกระชับ ซึ่งก็ดี) โดยรวมยังไม่ค่อยพีค เพราะข้าเจ้ายังไม่รู้สึกว่าพระเอกนางเอกจะมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปได้เร็วและมากมายขนาดนี้ และยังไม่ได้พรากจากกันจนรู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้เจอกันมากพอ แต่ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะ

สายหนังรักโรแมนติก

สายหนังที่ชอบโทนเรื่องแบบธรรมชาติ

สายหนังที่ชอบการเรียนการสอน ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด วันนี้เราจะมารีวิว หนังผี แนวรัก แบบน่าตลกๆ ฮาๆ มานำเสนอหนังไทย สุดฮา ให้ทุกท่านได้ลองไปดูคือเรื่อง พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak) สรุปเรื่องนี้เป็นหนังผี หนังตลก หนังรัก หนังซึ้ง หน้าดราม่าหรือว่าอะไรกันแน่ ไม่มีอะไรมาจำกัดความได้เลย ครบรสมาก นาค มาก เต๋อ เผือก เอ ชินใครที่ยังไม่รู้จักตำนานพี่มากแห่งพระโขนงก็มาฟังเรื่องย่อก่อน ส่วยใครที่รู้แล้วก็ข้ามส่วนนี้ไปได้ หรือถ้าลืมไปแล้วก็มารื้อฟื้นกัน พี่มากเนี่ยนะเป็นคนอินเตอร์หน่อยมีความฝรั่งในเรื่องนะ ตำนานเค้าไม่ได้เป็นแบบนี้555 พี่มาก

 

ต้องไปสู้รบ เพราะปกป้องประเทศชาติ กับเพื่อน. ๆ 4 คนก็คือ เต๋อ เผือก เอ ชิน ในสมัยก่อนผู้ชายต้องออกรบปกป้องบ้านเมือง พ่อมากก็ต้องออกรบไปทั้ง ๆ ที่แม่นาคตั้งท้องอยู่ แต่ความเป็นชายชาติทหารก็จำต้องทำ พอพ่อมากรบจบก็กลับมาหาแม่นาค

 

รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

 

แต่ไม่รู้เสียแล้วว่าแม่นาคได้ตายไปในขณะคลอดเจ้าแดง ทุกคนรู้แฟนคลับรู้ แม่นาคเมียไอ้มากได้ตายไปแล้ว แม่นาคไม่ยอมเป็นทาสไปเป็นวิญญาณเฉย ๆ หรอกค่ะ ฉันรอพี่มากที่ท่าน้ำทุกวัน ตามเสต็บผีไทย แต่เพราะ ใหม่ ดาวิกา แสดงก็เลยเป็นผีที่น่ารักเฉย หนังไทยที่เป็นพล็อตเรื่องผีต้องกลายมาเป็นหนังตลกเพราะแก๊งพ่อมาก แถมจบด้วยเรื่องซาบซึ้งใจของแม่นาค และพ่อมากอีก

 

“แม่นาคพระโขนง” คือตำนานผีที่น่าจะเรียกได้ว่าดังที่สุดในไทย ถูกสร้างเป็นหนังมาแล้วหลายครั้งมาก (รวมถึงละครและละครเวที) ซึ่งก็มีการตีความที่แตกต่างกันออกไป ทั้งแบบตามตำนานดั้งเดิมอย่าง “แม่นาคพระโขนง” แบบจริงจังอย่าง ”นางนาก”แบบปัจจุบันอย่าง ”นาค รักแท้/วิญญาณ/ความตาย” หรือไปไกลสุดกู่อย่าง “แม่นาคอเมริกา” ก็เคยมาแล้ว แต่ที่เหมือนกันในทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมา คือส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ตัว “แม่นาค” เท่านั้น แต่ “พี่มาก..พระโขนง” (ของแท้ต้องมีจุด 2 จุด) เลือกที่จะ

 

รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

 

ตีความต่างออกไปอีกด้วยการไปเน้นที่ตัว “พี่มาก” แทน อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่มีการตีความมาแล้วหลายแบบ ส่วนตัวเลยอาจไม่ได้ตื่นเต้นรู้สึกพิเศษอะไรกับการตีความแบบพี่มากนัก แต่สิ่งที่ดึงดูดให้อยากไปดูเรื่องนี้จริงๆ ก็คือ การนำแก๊งค์สี่แพร่งและห้าแพร่ง มาใส่ไว้ในเรื่องด้วยในบท “เพื่อนพี่มาก”

 

หากใครเคยประทับใจบทบาทของ เผือก (พงศธร จงวิลาส) ชิน (อัฒรุต คงราศรี) เต๋อ (ณัฎฐพงษ์ ชาติพงศ์) และเอ (กันตพัฒน์ สีดา) จาก “คนกลาง” ในสี่แพร่ง และ ”คนกอง” ในห้าแพร่ง บอกได้เลยว่าจะไม่ผิดหวังกับบทบาทของพวกเขาในพี่มาก..พระ โขนง ทั้ง 4 คนยังคงคาแรกเตอร์แบบเดิม ชื่อเดิม และความฮาแบบเดิม (และดูเหมือนจะยิ่งกว่าเดิม) ไว้ไม่มีเปลี่ยน เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนจากการเที่ยวป่า หรือถ่ายหนัง มาเป็นเพื่อนกับพี่มากแทน ที่ต้องพยายามหาทางบอกมากให้ได้ว่านาคเป็นผี

 

รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

 

นำมาซึ่งเสียงหัวเราะในแทบทุกฉากที่ 4 คนนี้ออกมา โดยเฉพาะเผือกกับชินนี่แค่เห็นหน้าก็ฮาแล้ว หลายฉากโดยเฉพาะฉากกินข้าวหรือฉากบนเรือนี่ฮากันแบบ Non-Stop เลยทีเดียวอันที่จริง มุขตลกและเหตุการณ์หลายอย่างของ 4 คนนี้ในพี่มาก..พระโขนง ชวนให้นึกถึงคนกองและคนกลางไม่น้อย ผู้กำกับ “บรรจง ปิสัญธนะกุล” เลือกหยิบเอาวัตถุดิบเดิมๆ ที่เคยใช้มาใช้ใหม่อีกครั้ง ในสถานการณ์แบบเดิมๆ ซึ่งถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อการ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

เรื่องย่อ รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

ถูกหาว่า ”หมดมุข” หรือ ”หากินกับของเก่า” มาก แต่ก็ถือว่าทั้งผู้กำกับและทีมงานทำการบ้านมาดี เลยทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อกับมุขเก่าๆ เหล่านี้นัก แต่กลับรู้สึกเหมือนย้อนรำลึกความหลังเก่าๆ แทนอย่างไรก็ตาม ความเข้าขาและความฮาของแก็งค์ 4 คนนี้ ก็ชวนให้อดหวั่นใจไม่น้อยก่อนเข้าไปดูว่า จะแย่งซีน พี่มาก (มาริโอ้ เมาเร่อ) และ แม่นาค (ดาวิกา โฮร์เน่) ไปหมดหรือป่าว ซึ่งก็พบว่า “จริง” แม่นาคอาจถือว่ารอดตัวไปเพราะความสวยของใหม่

 

จับตาจริงๆ ในทุกซีนที่ออกมา แต่กับมาริโอ้ในบทพี่มาก แม้จะตีความพี่มากเวอร์ชั่นใหม่ได้น่ารัก (และบ๊องแบ๊ว) ได้ดีไม่น้อย แต่ก็ยอมรับว่าช่วงแรกโดนแก๊งค์ 4 คนแย่งซีนไปเยอะทีเดียว เรียกได้ว่าแม้จะใช้ชื่อเรื่องว่าพี่มาก..พระโขนง แต่ตัวเดินเรื่องจริงๆ กลับเป็นเหล่าเพื่อนพี่มากไปแทน แต่ถึงกระนั้นพี่มากกับแม่นาคก็สามารถกลับมายึดจออย่างเต็มภาคภูมิในช่วงท้ายเรื่องโดยส่วนตัว แม้พี่มาก..พระโขนง จะมีหน้าหนังที่ขายความตลก (บวกน่ากลัว) ซึ่งยอมรับว่าทำได้ดีทีเดียว แต่สิ่งที่ชอบที่สุดคือ

 

 

“ความรัก” ของพี่มากและนาคที่ส่งมาถึงคนดูอย่างเราในช่วงท้ายเรื่อง เป็นช่วงที่หนังละวางความตลกและความน่ากลัว แต่มาโฟกัสที่ความรักแทน บทบาทของพี่มากและนาคที่ดูเหมือนจะกดไว้โดยความตลกของแก๊งค์สี่แพร่งในช่วงที่ผ่านมา ได้ฉายแสงออกมา และเป็นแสงที่น่าประทับใจเสียด้วย อย่างที่บอก หนังเรื่องนี้ใช้วัตถุดิบเก่าๆ จากสี่แพร่งและห้าแพร่งเสียเยอะ แม้แต่ในส่วนของตำนานแม่นาคเอง นอกจากความสมัยใหม่ในแง่คำพูดและคาแรกเตอร์ตัวละคร ที่เหลือก็ยังคงตามเส้นเรื่องตำนาน

 

เช่นเดิม ฉากจำต่างๆ เช่นความเฮี้ยนหรือเก็บมะนาวก็ยังคงไว้ตามเดิม ส่วนที่เปลี่ยนจริงๆ มีนิดเดียวช่วงท้ายเรื่อง แต่มันเป็นการเปลี่ยนที่ Impact และสดใหม่มาก จนทำให้อภัยและลืมการใช้มุขเก่าๆ ที่ผ่านมาในเรื่องทั้งหมดการเลือกเปลี่ยนบางส่วนในช่วงท้ายเรื่อง ทำให้พี่มาก..พระโขนงแตกต่างจากแม่นาคทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมา และทำให้เรารู้สึก “ซึ้ง” ไปกับความรักของมากและนาคเป็นอย่างมาก ที่จริงการที่นาคเลือกจะยังคงอยู่ ก็เพราะ “ความรัก” ที่มีต่อมาก แต่ที่ผ่าน

 

 

มา เรากลับไปติดกรอบที่ว่า ”ผี” กับ “คน” อยู่ร่วมกันไม่ได้ จะอยู่ร่วมกันได้ก็แต่ในสถานะที่ผีเป็นคนรับใช้ของคนอย่างเช่นกุมารทองเท่านั้น แต่กับผีอย่างแม่นาค ที่อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ที่มี ทำให้ชาวบ้านมองว่าแม่นาคมีสถานะที่ต่างไปจากคน และในเมื่อแม่นาคไม่ได้ควบคุมได้หมือนกุมารทอง ลงท้ายก็เลยกลายเป็นความกลัวและต่อต้าน ความรักในหนังแม่นาคเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่ผ่านมา จึงมักลงท้ายด้วยการให้แม่นาค “เสียสละ” ความรักแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

 

ช่วงท้ายของพี่มาก..พระโขนงคือการกลับมาสู่สาเหตุของเรื่องราวนั่นก็คือ “ความรัก” เมื่อหนังเริ่มต้นด้วย “ความรัก” ก็ควรจบลงด้วย “ความรัก” ไม่ใช่ “ความกลัว” พี่มาก..พระโขนง จบลงอย่างสวยงามมากๆ ด้วยการโยนประเด็นเรื่อง “ความรัก” กลับมา

 

 

ให้เราคิดว่า ที่ว่ารักกันนั้นมันจำกัดอยู่เพียงแค่ “คน” เหรอ เรารักที่ตัวเขาหรือแค่ความเป็น “คน” ในตัวเขา หนังทำให้เราเห็นว่าความรักไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นั้น และในเมื่อทั้งคนทั้งผีต่างก็มีความรักได้ “ความรัก” นี่เองจึงเป็นเหมือนตัวที่ทำให้สถานะของ “คน” และ “ผี” ที่ดูเหมือนจะไม่เท่ากันให้เท่ากันได้ การแสดงออกความรักที่พี่มากมีต่อแม่นาคจึงเป็นส่วนที่ประทับที่สุดในเรื่องนี้ และเชื่อว่าทุกคนน่าจะประทับใจเช่นกัน นอกเหนือจากความสนุกและฮาที่แก๊งค์สี่แพร่งจัดให้เรา หนังฟรี  หนังใหม่

 

สิ่งที่ประทับใจ รีวิว พี่มาก..พระโขนง (Pee Mak)

1.ภาพสวยมาก ถึงเนื้อเรื่องจะเป็นฟิลกลางคืนอยู่ตลอดเวลาเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีก็เลยต้องมืด ๆ ไว้ก่อน แต่ได้ภาพที่สวยเห็นทุกอย่างชัดเจน องค์ประกอบต่าง ๆ ดี

2.เป็นหนังตลกแหละแต่พล็อตเรื่องผีเป็นตัวนำ ก็ได้แก๊งพ่อมากมาอยู่ในเรื่องทุกฉากฮาหมด ดูคลายเครียดจากงานชิว ๆ

 

 

3.ความรักของแม่นาคก็ยังคงเป็นตำนานอยู่ ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม แม่นาครอพี่มากที่ท่าน้ำทุกวัน ไม่ยอมไปไหน ความเสียใจที่ตายไปพร้อมกับลูกด้วยความเหงาเปลี่ยวที่ผัวไปรบ มันช่างโดดเดี่ยวจริง ๆ นะแม่นาค

4.ความรักของพ่อมาก ถึงแม้จะรู้ว่าเมียตัวเองตายแล้ว แต่ก็ยังคงรับไม่ได้ อยากอยู่ด้วยกันถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

5.ฉากสุดท้ายเป็นฉากสุดซึ้ง เป็นหนังไทยที่ดีเรื่องหนึ่งเลย

6.พี่มากในเรื่องก็คือน่ารักไม่ไหว อ้อนเมียเก่งที่ 1 แต่ตอนจบคือซึ้งมากจริง ๆ

 

 

ชื่อภาพยนตร์: พี่มาก..พระโขนง / Peemak

ผู้กำกับภาพยนตร์: บรรจง ปิสัญธนะกูล

ผู้เขียนบทภาพยนตร์: บรรจง ปิสัญธนะกูล, นนตรา คุ้มวงศ์, ฉันทวิชช์ ธนะเสวี

นักแสดงนำ: มาริโอ้ เมาเร่อ, ดาวิกา โฮร์เน่, ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์, พงศธร จงวิลาส, วิวัฒน์ คงราศรี, กันตพัฒน์ เพิ่มพูนพัชรสุข

แนว/ประเภท: Comedy, Horror, Drama

เรท: ไทย/น15+ , USA/

ความยาว: นาที

ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: GTH

วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 28 มีนาคม 2556

ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด เรื่องราวของ เหมยลี่ (คริส หอวัง) สาวหมวยวัย 30 ปี ที่น่ารักของแอด ฮ่าๆๆๆ ที่ได้เจอผู้ชายดีๆ ในเวลากลางคืน ลุง (เคน ธีรเดช) หนัง GTH ที่โดนใจคนเมืองอย่างล้นหลาม ในที่สุด ผมก็ได้ดู ‘รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ’ กับเขาจนได้ เสาร์เย็นย่ำ ณ พารากอนซีเนเพล็กซ์ โรงประจำตัวที่เดิม โรง 4 โรงใหญ่ สยามภาวลัย ที่ผมชอบซื้อบัตร 140 แถวไกลจอสุดไปนั่งดูกับหมูน้อย…

 

หลังจากบิวต์ตัวเองและคนอื่นๆ จนขนาดตัวเองยังอดใจรอดูไม่ไหว เห็นเขาได้ไปดูหนังเรื่องนี้กันวันรอบพิเศษ ก็ให้อิจฉา แต่จะไปดูวันแรกที่หนังเข้าก็ไม่ไหว ภารกิจที่มีไม่เปิดโอกาสให้ไปดูในวันธรรมดาได้ จำต้องรอจนวันเสาร์ แล้วก็ถึงเวลานั้น ที่เราจะไปขึ้นรถไฟฟ้าในโรงหนังกัน จองตั๋วหนังจากเว็บ ก่อนจะไปรับตั๋วที่โรง ทุกขั้นตอนดูเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่กลับมาเจอเมื่อเดินไปยังที่นั่งในโรงและพบว่า มีคนนั่งอยู่ในที่นั่งของเรา ในที่สุดพนักงานต้องเข้ามาดู ปรากฏว่า ลูกค้าสามกลุ่มที่ได้ที่นั่งทับซ้อนกัน

 

รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

 

ปัญหานี้ คงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ นัก มักจะเกิดกับหนังที่มีกระแสคนแห่มาดูกันสุดสุด คิวจองจากเน็ต คิวจากหน้าโรงหนัง ตีพันกันมั่วกับคิวจองทางโทรศัพท์ กลายเป็นว่า พนักงานย้ายพวกผมสองกลุ่มจากที่ต้องนั่งแถว O ไปนั่งแถว C ที่บุ๊คเอาไว้ให้ โชคดีจัง ได้ดูบัตรแพงซะงั้นเรา จ่าย 140 ดูที่นั่ง 220 คุ้มสุดสุด!

 

เรื่องราวที่ดูจะโดนใจของสาวๆ ในเมืองใหญ่หลายๆ คน ที่ผู้ชายไม่ค่อยจะได้ตกถึงท้อง จนวัยล่วงเข้าเลข 3 ก็ยังคง “ซิงๆ” อยู่ เรื่องราวของ “เหมยลี่” (คริส หอวัง ดีเจคลื่นแฟตเรดิโอ) สาวหมวยตาชั้นเดียวที่เข้าใจผิดมาตลอดว่า การจีบผู้ชายก่อนเป็นเรื่องต้องห้าม อยู่กับ “เพื่อน” และ “เมรัย” จนไม่ได้เจอผู้ชายดีๆ ในเวลากลางวัน แต่เธอกลับได้เจอผู้ชายดีๆ ในเวลากลางคืน “ลุง” (เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) วิศวกรรถไฟฟ้าคนนี้ เขาดูดีทั้งหน้าตาและนิสัย?จนเธออยากจะเป็น “ป้า” ของเขาสักที

 

รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

 

เมื่อใครต่อใครรอบกายเหมยลี่ต่างก็พากันมีคู่ไปหมด ไม่ว่าจะเป็น “เป็ด” (โอปอล์) เพื่อนสนิท, เด็กในบ้าน หรือแม้กระทั่งหมาสาวของเพื่อน เธอคงคิดว่า รถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายนี้ เธอต้องคว้าไว้ให้ได้ แม้จะไม่มีประสบการณ์จีบผู้ชายมาก่อนก็ตาม แต่มันไม่ง่าย เมื่อความอ่อนหัดของสาววัยสามสิบ ไม่อาจสู้สาวกระโปรงสั้นสุดน่ารักอย่าง “เพลิน” (แพท อังศุมาลิน) ที่ดูมีลูกล่อลูกชนดีกว่าได้

 

หนังเล่นกับมุกตลกฮาๆ มากมายทุกฉาก จนคนดูพากันหัวเราะอย่างไม่หวาดไม่ไหว เพราะความเปิ่นๆ ฮาๆ ของเหมยลี่ บวกการตัดต่อแบบหนังการ์ตูนญี่ปุ่นที่โอเวอร์แอ็คติ้งนิดๆ มีคิดในใจให้ได้ยิน หนังของ GTH เคยส่งให้หลายคนโด่งดังไปหลายคน

 

รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

 

เรื่องนี้คงไม่พ้น ทำให้ชื่อ “คริส หอวัง” โด่งดังกว่าเดิมอีกหลายเท่า นอกจากนี้ ยังคิดถูกที่เลือก “เคน” มาแสดง เพราะเขาคือผู้ชายที่หญิงไทยหลายคนเพ้ออยู่ จึ๊ดแน่นอน เพราะพวกเธอต้องคิดว่าตัวเองกำลังเป็น “เหมยลี่” อยู่แน่ ๆ ในโอกาสที่ครบรอบ 10 ปี BTS ทาง GTH จึงปั้นเรื่องของรถไฟฟ้าของคนเมืองมาผสมกับความรักของสาวเมือง ที่นับวันยิ่งแต่งงานกันน้อยลง ไม่ก็แต่งกันในวัยที่มากขึ้นทุกที อาจด้วยเพราะผู้ชายเมืองหายากขึ้นทุกทีจนต้องแย่งกันคว้า แม้ว่าเหมยลี่ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

เรื่องย่อ รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

จะเจอคนนั้น แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องสะดุดด้วยอุปสรรคหลากรูปแบบ ที่มีพลังพอจะแยกคนสองคนให้เลิกลาจากกันได้ทั้งเวลาเอย ระยะทางเอย ความผันแปรของจิตใจเอย ทุกอย่างคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงกับทุกคน มิน่ามันถึงโดนใจยิ่งนักนอกจากดาราแขกรับเชิญหลายคนที่มาช่วยสร้างความฮา (นอกจาก แจ็ค แฟนฉัน ที่เห็นกันในหนังตัวอย่างไปแล้ว) ไปดูเอาเองแล้วกันว่ามีใครบ้าง หนังมีเวลาให้เราสนุกความรักที่แสนฮาไปค่อนเรื่อง ก่อนปิดท้ายด้วยอารมณ์อีกด้านของความรัก แม้

 

จะเตรียมใจมาแค่ไหน ผมก็ไม่วายเสียน้ำตาให้กับมัน ตั้งแต่คำพูดนั้นของเหมยลี่ มาจนถึงตอนจบ น้ำตาไม่เคยเหือดแห้งจางไป ทำให้ผมนึกถึง “Marley & Me” หนังหมาๆ ที่ตั้งใจเล่าเรื่องคนที่ผมเพิ่งได้ดูไป ฮาตลอดเรื่องแล้วมาร้องไห้กันตอนท้าย แต่“Marley & Me” ก็ไม่ได้ทำให้เราเศร้านานขนาดนี้ หนังจบแล้ว เพลงดังที่ถูกกรอกหูมานานก็ปิดท้าย ตอกย้ำให้น้ำตามันเอ่อออกมาอีกครั้ง อินต่อไปจนถึงตอนขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน

 

 

หากคุณยังคงตราตรึงใจกับหนังไทยแนวความรักใส ๆ ของคนแอบรักที่พยายามทำทุกอย่างให้ได้ใจเขาในอดีตก็คงต้องนึกถึงหนังเรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ของค่าย GTH เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดูเป็นร้อยครั้งก็ไม่เบื่อ ยิ่งได้นักแสดงนำอย่างคริส หอวังและเคน ธีรเดชมาเป็นคู่พระนางในเรื่องก็ยิ่งทำให้เคมีคู่กันจนถล่มรายได้แบบพุ่งกระฉูดจนส่งผลให้เพลงประกอบหนังอย่าง “โปรดส่งใครมารักฉันที” ของ Instinct ดังมาจนถึงปัจจุบันไปด้วย

 

แต่หากใครที่เพิ่งมาเป็นคอหนังรุ่นใหม่ เราก็แนะนำว่าต้องลองติดตามเพราะรถไฟฟ้ามาหานะเธออาจจะเป็นหนังในดวงใจของคุณอีกเรื่องก็ได้ หนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “เหมยลี่”สาวออฟฟิศที่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนในขณะที่เพื่อนสนิทของเธอแต่งงานแล้ว จนกระทั่งในคืนวันแต่งงานของเพื่อนเธอซึ่งทำเอาเหมยลี่เมาหนักจนนอนบนเตียงที่คอนโดแทนที่คู่บ่าวสาว

 

 

เมื่อสร่างเมาแล้วเธอจึงได้ขับรถกลับบ้านแต่ด้วยความที่ยังคงมึนอยู่จึงทำให้ขับรถไถเข้าไปข้างทาง “ลุง”จึงช่วยเข้ามาดูรถทำให้ทั้งสองได้พบกันจนเป็นจุดเริ่มต้นที่โชคชะตาได้นำพาให้เหมยลี่ต้องมาโคจรเจอกับลุงเรื่อย ๆ จนทำของส่วนตัวเขาพังหลายอย่าง แต่นั่นก็ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันมากขึ้น

 

หนังรถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009) ได้บอกเล่าถึงมุมมองคนโสดซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นปัญหาสำหรับคนวัยทำงานที่ควรจะได้แต่งงานมีครอบครัวสมบูรณ์แบบแล้ว แต่นางเอกซึ่งเป็นตัวแทนคนโสดกลับยังหาแฟนไม่ได้เพราะความที่เป็นคนซุ่มซ่าม เปิ่น ๆ เธอจึงรู้สึกเหงาซึ่งมันค่อนข้างจะโดนใจผู้ชม

 

 

หลายคนมากแบบอินจัดกับโมเม้นต์ชีวิตนาง จนกระทั่งฟ้าได้ส่ง “ลุง” (ใช่แล้ว! นี่คือชื่อของพระเอก คือปังตั้งแต่ชื่อตัวละครคิดดู) พระเอกของเราที่เป็นวิศวกรรถไฟฟ้าให้ต้องมาถูกนางเอกป่วนชีวิตทำของพังทุกครั้งที่พบกัน ซึ่งนางเอกที่ตกหลุมรักพระเอกมาตั้งแต่แรก นางก็พยายามจะซ่อมสิ่งที่ทำพัง หนังฟรี  หนังใหม่

รีวิว รถไฟฟ้ามาหานะเธอ (2009)

ให้พระเอกจนพวกเขาได้มาพบกันหลายครั้งและสนิท พระเอกก็เป็นคนที่ยิ้มง่าย อบอุ่น และใจดีเกินเบอร์จริง ไม่โกรธหรือต่อว่านางเอกสักคำ พ่อของลูกที่แท้ทรูในเรื่องจะมีฉากโรแมนติกกุ๊กกิ๊กระหว่างที่ก่อให้เกิดความรักระหว่างคู่พระนางมากมาย เช่น ฉากเล่นน้ำสงกรานต์ที่พระเอกหล่อทะลุแป้ง ฉากที่ทั้งคู่พากันไปท้องฟ้าจำลอง และได้ชวนลุงดูดาวหางที่กำลังจะมาถึงโลกในเร็ว ๆ นี้ซึ่งเขาก็ตกลง แถมนาง

 

ก็หึงพระเอกมากด้วยเวลามีน้องที่รู้จักกันมาเข้าใกล้พระเอก มีความฮาและโรแมนติกครบจบในเรื่องเดียวจริง โดยเฉพาะฉากที่พระเอกให้เบอร์นางเอกในรถไฟฟ้านี่ผู้ชมกรี๊ดกันลั่นโรงเลยจริงแล้วหนังเรื่องนี้เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมายังไม่มีใครสนใจมากนัก แม้จะมี เคน ธีระเดช เป็นพระเอกก็ตาม คงจะเป็นเพราะหนังที่ผ่านๆมาของ เคน ธีระเดช นั้นล้วนแต่แป๊กสนิท แต่พอเดือนกันยาที่ผ่านมามีหนังตัวอย่างออกฉายเท่านั้นแหละ กระแส

 

 

ความน่าสนใจของ ?รถไฟฟ้ามาหานะเธอ? ก็พุ่งปรี๊ดทะยานแซงหน้าหนังทุกเรื่อง แม้กระทั่งหนังฟอร์มยักษ์ของโลกอย่าง Avartar ที่เปิดตัว Clip 15 นาทีไปก่อนหน้า ก็ไม่แรงเท่า รวมทั้ง 5 แพร่ง ก็ยังดูหมองๆไป เมื่อคนบางคน ( โดยเฉพาะสาวๆ ) ที่ไปดู 5 แพร่ง ยังออกมาชื่นชมหนังตัวอย่างของ ?รถไฟฟ้ามาหานะเธอ? ซะมากกว่าชื่นชมหนัง 5 แพร่ง ทั้งเรื่องซะอีก ผมขอยกให้หนังตัวอย่างของรถไฟฟ้าได้ครองรางวัล ?Trailer of the year 2009? สุดยอดหนังตัวอย่างปี 2552 ไปครองอย่างเอกฉันท์

 

ความแรงของ ?รถไฟฟ้ามาหานะเธอ? นั้นพอติดเครื่องได้ก็พุ่งทะยานซิ่งแรงกว่าที่เราเห็นรถไฟฟ้า BTS วิ่งซะอีก เรียกได้ว่าแรงระดับชิงคันเซนรถไฟจรวดของญี่ปุ่นทีเดียว โดยเฉพาะกับบรรดา สาวชาวกรุง สาว office ที่อายุแถวๆ 30 ปี แต่ยังไม่มีผัว(แต่ต่อไปขอเรียกพวกเธอว่า L30NH หรือ Ladies 30 No Husband นะครับ ) พวก L30NH เนี่ยะจะโดน จะอินกับหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ อินขนาดฝันเอาตัวเองเป็น เหมยลี่? และ อยากได้หนุ่มหล่ออย่าง เคน มากดกระดิ่งหน้าบ้านกันทุกคน ด้วยการจับ

 

ประเด็น ขายฝันลมๆแล้งๆให้บรรดา L30NH ที่เฝ้ารอรถด่วนขบวนสุดท้ายมาสอยตัวไปจากคานทองเนี่ยะ ผมมองว่าเป็นการจับประเด็นจุดขายของหนังได้อย่าง? work สุดๆเพราะไม่ว่าจะไปคุยกับใคร เช็คเว็บไหนๆที่เป็นเรื่องหนังก็มีแต่คนพูดถึง เหมยลี่ พูดถึง รถไฟฟ้า กันทั้งบ้านทั้งเมือง ด้วยความแรงของหนังตัวอย่าง และ จุดขายของหนังที่โดนเต็มกบาลนี้แหละ ทำให้ผมต้องไปพิสูจน์ว่า ?รถไฟฟ้ามาหานะเธอ? ของเขาดีจริงๆ หรือ ดีแค่โฆษณา ผมจึงขึ้นรถไฟฟ้ามหานครจากหมอชิต ไปดู ?รถไฟฟ้ามาหานะเธอ? ที่ Grand EGV ในรอบสื่อมวลชนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

 

 

ชื่อหนังแรกๆ คือ Last Train to Bangrak ตั้งโดย พี่เก้ง-จิระ มะลิกุล แน่นอนว่าฟังง่ายและตรงไปตรงมา นึกถึงเพลงดังที่ร้องว่า เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย และขบวนสุดท้ายนั้นกำลังจะวิ่งไปที่บางรัก คือถ้ามึงไม่ขึ้นขบวนนี้ มึงอาจจะไม่มีความรักแล้วนะบทร่างแรกๆ ของหนังเรื่องนี้จริงๆ ว่าด้วยการที่พี่เคนของเราเป็นคนสร้างรางรถไฟฟ้า แล้วส่วนต่อขยายนั้นมันมาพาดผ่านหน้าบ้านและดาดฟ้าของตึกแถวบ้านเหมยลี่ ทั้งสองเลยมีโอกาสได้คุยกันผ่านรางรถไฟฟ้าและดาดฟ้าบ้านในเรื่อง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ รับบทเป็นดาราชื่อ สตีเฟ่น จำรัส ซึ่งเล่นละครชื่อ น้ำตากามเทพ ร่วมกับ แอฟ ทักษอร โดยมีต้นแบบแห่งการแสดงแนวโกรธแล้วชี้มือสั่นจาก ตู่-นพพล โกมารชุน และ อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์  ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก

รีวิว สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก

รีวิว สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก

 

 

 

 

 

 รีวิวหนังใหม่ล่าสุด  สวัสดีค้าบ ทุกคน วันนี้อยู่กับ แอดบีเช่นเคย วันนี้แอด บี ก็จะมา รีวิวหนัง เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก แน่นอนว่าหนังเก่า แต่ทำน้ำตาแตก ไปหลายรอบนะ บวกกับความฮาอ่ะ ฟินเวอร์  รีวิวหนังดีอยากบอกต่อ หนังเรื่องนี้ทำเอาเราฟินไม่เลิก ดูมาตั้งแต่ตัวอยู่ม.1 จนตอนนี้จบปี 4 แล้วก็ยังเปิดดู
เป็นหนังรักวัยรุ่นที่เราโคตรชอบเลย เราชอบถึงขั้นที่เราไปเรียนโรงเรียนเดียวกับที่พี่โชนน้องน้ำเล่นเลยนะ ( มาริโอ้กับใบเฟิร์นนั่นแหละ แต่อยากให้รู้ว่าอินขนาด กรี๊ดดดด )
เป็นการเริ่มต้นของหนังโดยการที่มีเด็กสาวหน้าตาไม่ได้สวยมากเท่าไหร่ แต่แอบชอบรุ่นพี่ม.4 มาก ๆ มันฟินตรงนี้ตรงที่หนังทำให้เนื้อเรื่องดูเป็นรักในวัยมัธยมจริง ๆ เหมือนกับเอาเรื่องจริงมาทำเป็นหนังยังไงยังงั้นเลย
รีวิว สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก
เพื่อน ๆ ของน้ำก็อยากให้น้ำสมหวังกับพี่โชน จึงมีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า 9 สูตรรักฉบับนักเรียน ในหนังสือก็จะบอกวิธีต่าง ๆ ที่จะทำให้คนที่เราชอบหันมาชอบเธอ
งั้นเราข้ามวิธีที่ 7  เลยแล้วกันนั่นคือการทำให้ตัวเองดูดีขึ้นทำให้น้ำได้ถูกขัดสีฉวีวันด้วยขมิ้น ตัวเหลือเลยจ้า หลังจากขัดตัวเสร็จก็ไปหาพี่โชนที่บ้าน พอพี่โชนเจอเท่านั้นแหละสิ่งแรกที่ถามน้ำคือ ทำไมน้ำตัวเหลืองขนาดนี้ เป็นดีซ่านรึเปล่า ( ฮ่า ๆ ฮามาก )
ยังไม่พอน้ำและเพื่อนยังไปคัดตัวเข้าชมรมนางรำด้วย เพราะชมรมนี้มีแต่คนสวย ๆ ที่ไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไร คนทั้งโรงเรียนก็แห่กันเข้ามาดู แล้วน้ำจะพลาดได้ยังไงล่ะ แต่ต้องหัวเสียเพราะเจออริชื่อเค้ก นางเป็นรุ่นเดียวกับน้ำที่ชอบพี่โชนเหมือนกัน ได้แซะเข้ามาว่า ถ้าไม่แน่ใจว่าสวยจริงอะ
ไปสมัครชมรมอื่นก็ได้นะ  เท่านั้นแหละ ทำให้เกือบได้ตบกันแล้ว พอครูอรก็ห้ามไว้ก่อนและไล่น้ำกับเพื่อนน้ำออกไป รวมถึงเค้กด้วย แต่พอเห็นว่าเค้กสวยหน่อยก็เลยให้เดินกลับเข้ามาในแถวอีกรอบ นี่แหละนะที่เขาเรียกว่าลำเอียง!
รีวิว สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก
ครูอิมจึงชักชวนให้ไปสมัครชมรมแสดงละคร ตอนแรกน้ำก็ไม่สนใจ แต่ตอบตกลงไปเพราะสงสารครูอิม แต่พอเห็นว่าชมรมนี้มีพี่โชนอยู่ด้วย น้ำเลยตกลงเข้าชมรมแบบไม่คิดเยอะเลยค่ะ
ในช่วงที่มีงานโรงเรียน ก่อนหน้าวันจริงตัวละครทุกตัวจะต้องมาแสดงใหญ่ก่อนจะเล่นวันจริง ซึ่งน้ำเป็นตัวละครสโนไวท์ แต่เจ้าชายหายไปไหนไม่รู้ พี่โชนเลยถูกเรียกให้แสดงแทน
รีวิว สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก
ในระหว่างที่พี่โชนกำลังก้มลงจุมพิษน้ำ แต่พอน้ำลืมตามาอีกทีกลายเป็นใครไม่รู้ เลยลุกหนีแทบจะตกเวทีเลย แต่พี่โชนจับมือไว้ได้ทัน ส่งตาให้กันปิ้ง ๆ แอบเขินมาก ๆ ฉากนี้
ข้ามไปตอนสุดท้ายเลยคือ ปิดภาคเรียน น้ำที่ตั้งใจเรียนเพื่อจะได้ไปหาพ่อที่ต่างประเทศก็สามารถทำเกรดได้ 4.00 จึงทำให้ต้องไปเรียนต่อ แต่มีสิ่งเดียวที่น้ำยังไม่บอกพี่โชนคือ น้ำชอบพี่โชน
และเรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อ ไปติดตามกันเอาเองนะคะทุกคน แต่ถ้าไม่ดูถือว่าพลาดจริง ๆ
รีวิว หนังNetflix สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก จากผู้ชมทั่วโลก
ภาพยนตร์ที่สนุกสนานเหมาะสำหรับเด็กสาววัยรุ่น 8/10

รีวิว สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก

ฉันดูหนังเรื่องนี้เมื่อสองสามเดือนก่อนกับเพื่อน ๆ ตอนแรกไม่ได้สนใจเพราะไม่ค่อยอินกับหนังไทย แต่ผมให้ลองเพราะเพื่อนหลายคนบอกว่าดี ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับหญิงสาววัยรุ่นที่ไม่ได้รับความนิยมนามว่านัมซึ่งหลงรัก Shone หนุ่มหล่อยอดนิยม มันสนุกมากที่ได้เห็นว่านัมเปลี่ยนเป็นสาวสวยได้อย่างไรเพราะตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และความรักสามเส้าระหว่าง Nam, Shone และ Shone เพื่อนของ Shone ตอนจบทำได้ดีทีเดียว ผมแนะนำหนังเรื่องนี้เพราะสนุกไม่น่าเบื่อและพูดตรงๆ การแสดงค่อนข้างดี สำหรับคนแก่และเด็กวัยรุ่นก็ยังดูได้ ฉันร้องไห้และหัวเราะที่ได้ดูมันจริงๆ ดูหนังให้สนุก! แนะนำเป็นอย่างยิ่ง
รัก .. รัก .. รัก .. มันคือ “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” 9/10
ต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ดังระเบิดไปไกลเกินความคาดหมายของผม
เป็นการผสมผสานระหว่างความตลกขบขันและความโรแมนติกเข้ากับความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา
ใบเฟิร์นพิมพ์ชนกลือวิเศษไพบูลย์มอบผลงานดีเด่นให้เธอ.. การแสดงคุณภาพจากดาราสาวแบบนี้เธอน่ารักสุด ๆ .. เออ .. มีอะไรจะบอกอีกนะ
รักใบเฟิร์นมากเหลือเกินตอนนี้
นี่คือภาพยนตร์ที่คุณสามารถดูซ้ำแล้วซ้ำอีกและมันจะไม่มีวันแก่
คุ้มค่าทุกเงินดอลลาร์ร้อย.. ก็ตาม.
thunghuachang, 2 April 2011
พระเจ้าช่วย..! นี่คือ Comedy Romance ที่แท้จริง! 10/10
ตั้งแต่ดูรักแห่งสยาม (2550) ฉันสนใจหนังโรแมนติกที่สร้างโดยประเทศไทยเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นนักแสดง Mario Maurer มีความสำคัญที่นี่ การแสดงเป็นสิ่งที่ดีและสมควรได้รับรางวัลนักแสดงที่ดีที่สุด ที่นี่ยังเป็นนักแสดงที่ดีมากโดยเฉพาะเมื่อเธอกลายเป็นคนที่สวยแตกต่างกันมาก! นอกจากนี้การนำเสนอของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเรียบง่ายและเข้าใจง่ายก็สมบูรณ์แบบ อารมณ์ขันทำหน้าที่ได้เหมาะสมมาก ตอนจบดีมาก. ผู้ชมไม่ผิดหวังกับระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร มิตรภาพและความโรแมนติกเป็นสิ่งที่สัมผัสได้มาก สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับรักครั้งแรกของฉันสำคัญมากและฉันไม่เคยรู้สึกถึงมัน
ดังนั้นฉันจึงให้คะแนน 10!

ความคิดเห็น

นี่คือภาพยนตร์ที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินได้หากพวกเขาทิ้งอคติทางวัฒนธรรมของตัวเองไว้ข้างประตู เรื่องราวในตัวมันค่อนข้างธรรมดา … มันเป็นเรื่องราวความรักของวัยรุ่นและถ้ามีวิธีสร้างสิ่งที่ไม่เหมือนใครในรูปแบบของยานพาหนะสำหรับแนวนี้ฉันอยากจะได้ยินมัน สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำในรูปแบบที่ยอดเยี่ยมนั้นเปิดเผยมากมายเกี่ยวกับตัวละครและวัฒนธรรมของผู้คนที่น่ารักที่สุดในโลก คนไทยไร้เดียงสาและอึมครึม อาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความคิดและแรงบันดาลใจลึกลับในคราวเดียวและยังเต็มไปด้วยแบบแผนอันเล็กน้อยและอาฆาตแค้นและการเหยียดเชื้อชาติภายใน
Nam ตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้มีลักษณะเป็น “ธรรมดา” และ “อึดอัด” ในช่วงเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เธอไม่ใช่ … เธอเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างน่ารัก สิ่งที่เธอรองลงมาคือความเป็นไทยและผิวสีเข้ม หากคุณไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่คุณอาจไม่รู้สถานะทางสังคมของจีนและผู้ที่ได้รับรางวัลผิวซีดและความอัปยศที่มอบให้กับผู้ที่มีลักษณะเหมือนคนพื้นเมืองในภูมิภาคนี้ ผู้สร้างภาพยนตร์มีความกล้าหาญในการเปิดเผยแง่มุมที่น่ายกย่องของวัฒนธรรมไทยโดยครูของ Nam เรียกเธอว่า “คนผิวสี” ในช่วงเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้
แม้จะมีความซื่อสัตย์ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่เป็นสากลของหญิงสาวที่มีต่อเด็กชายคนแรกของเธอได้อย่างน่ารัก แต่ก็แสดงถึงความเป็นไทยอีกครั้ง จาก Cheer เพื่อนที่มีขนาดใหญ่ แต่เป็นที่รู้จักในทันทีไปจนถึงช่วงเวลาเต้นรำที่สั่นสะเทือนของ Booty ในงานเฉลิมฉลองของเธอมีอะไรมากมายที่นี่เป็นเอกลักษณ์ของไทยและเป็นที่รักของพวกเราที่รักและชื่นชมผู้คนที่ได้ยินอย่างอบอุ่นเหล่านี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียบง่ายเกินไปในเนื้อเรื่องหรือไม่? ใครสน. นี่ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงแฟนตาซีโรแมนติกของสาวไทยอย่างแท้จริง ทุกอย่างตั้งแต่ครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวไปจนถึงประชากรที่เป็นผู้หญิงพูดถึงประเทศไทยในปัจจุบัน
ฉันชอบหนังเรื่องนี้เพราะมันไม่ได้พยายามที่จะเป็นอเมริกันหรือยุโรปหรือมหากาพย์กังฟูของจีนเรื่องอื่น .. มันเป็นเพียงเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับความฝันของสาวไทย
beachvbguy, 15 August 2011
เรื่องราวเกี่ยวกับความรักและวัยกำลังจะมาถึง 10/10
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่มีการเปิดตัว ตอนนี้ฉันหาเวลาเขียนรีวิวเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แล้ว การดูภาพยนตร์ที่สร้างจากประเทศไทยทำให้ฉันมีความสุขที่ได้เห็นว่าความรักสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนรักอิสระได้อย่างไร ดูนัมเติบโตเป็นหญิงสาวที่น่ารักตั้งใจที่จะเติบโตใกล้ชิดกับความรักในขณะที่ทำหน้าที่ของเธอในฐานะลูกสาวให้กับครอบครัวของเธอ
ฉันยินดีที่จะบอกว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างแน่นอนในการรับชม ไม่ต้องพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของการเปลี่ยนแปลงของเธอจากเด็กสาวเป็นหญิงสาวที่น่ารัก ในขณะที่สอนเธอถึงวิธีการรักษาทุกอย่างให้สมดุล และความรักนั้นอาจไม่สมบูรณ์แบบเสมอไป นอกจากนี้ยังเป็นเพียงและเราควรระลึกถึงเพื่อนของเราเสมอโดยไม่คำนึงถึงเรื่องของหัวใจ
ฉันไม่คิดว่าฉันจะสามารถมุ่งเน้นไปที่วิธีการจัดฉากของภาพยนตร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าฉันต้องเข้าสู่เทคนิค ฉันยังสามารถแบ่งปันสถานที่และมุมการถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อีกด้วย ลูกเรือดีมาก! และเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับผู้กำกับและนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้
magsirover, 16 August 2020
โรแมนติก 9/10
เมื่อเพื่อนของฉันแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ฉันฉันรู้สึกลังเลเล็กน้อยเกี่ยวกับคำแนะนำนี้ หนังเรื่องนี้มีโครงเรื่องที่เรียบง่าย อธิบายถึงความรักครั้งแรกและสิ่งที่วิเศษ แม้ว่าเรื่องราวจะดูเรียบง่าย แต่ไม่ต้องกังวลเพราะการเปลี่ยนแปลงของ Nam อาจไม่น่าเบื่อและสามารถทบทวนในระหว่างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้
Crazy Little called Love (2010) เป็นภาพยนตร์ไทยแนวโรแมนติกคอมเมดี้นำแสดงโดยใบเฟิร์นพิมพ์ชนกลือวิเศษไพบูลย์ (ขณะที่น้ำ) และมาริโอ้เมาเร่อ (รับบทเป็น Shone) นัมเป็นเด็กสาวมัธยมปลายที่แอบหลงรักรุ่นพี่ Shone Shone เป็นนักเรียนเกรด 10 ที่มีเสน่ห์และสนใจในการถ่ายภาพและฟุตบอล นัมรับรู้ว่าไม่ใช่สาวพราวเสน่ห์ในโรงเรียนด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ของเธอพยายามทุกอย่างเพื่อปรับปรุงตัวเองเพื่อดึงดูดความสนใจของโชเนะ เธอเริ่มรักษาผิวคล้ำและเริ่มศึกษาอย่างขยันขันแข็ง ในภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดความขัดแย้งมากมายเช่นความขัดแย้งระหว่างนัมกับเพื่อนของเธอระหว่างนัมกับส่องและคนอื่น ๆ ด้วยปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าดูมากขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงด้วยความสุข ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับการแสดงคือการที่พวกเขาแสดงภาพคนที่แอบชอบและคนที่ชอบทำสิ่งที่โง่ที่สุด แต่น่ารักที่สุดสำหรับคนที่พวกเขาชอบด้วยความเต็มใจ โดยรวมแล้วไม่ใช่โครงเรื่อง แต่เป็นตัวละครที่ทำให้การแสดงนี้คู่ควรกับการยกย่องและเวลาของฉัน เรื่องราวนั้นดี แต่สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของฉันก็คือผู้คนในการแสดง ช่วงเวลาที่จริงใจและตลกน่ารักมากมายสร้างความสมดุลให้กับภาพยนตร์ได้ดีทีเดียว
หลังจากดูหนังเรื่องนี้มันเป็นเรื่องตลกที่จะรู้ว่าทุกสิ่งเล็กน้อยสามารถทำให้เรามีความสุขหรือกังวลได้อย่างไร นอกจากนั้นความรักสามารถทำให้ใครบางคนเปลี่ยนไปไม่ว่าจะเพื่อให้เหมาะสมกับคนที่เขารักหรือเพื่อดึงดูดความสนใจของเขา / เธอ จะดีถ้าการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางบวก และไม่จำเป็นต้องพูดฉันแนะนำการแสดงนี้อย่างแน่นอน น่ารักจังอยากกอดจังเลย!

รีวิว 4Kings อาชีวะยุค 90

รีวิว 4Kings อาชีวะยุค 90

รีวิว 4Kings (2022) อาชีวะยุค 90

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด หนังเรื่องแรกจากค่าย เนรมิตรหนังฟิล์ม บทความรีวิวนี้ ถูกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผม หากผิดพลาดประการใด หรือไม่ถูกใจใครต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แต่ก่อนจะมาเริ่มการรีวิวเรามาดูเรื่องย่อกันก่อนดีกว่าเปิดเรื่องมาด้วยฉาก  บิลลี่ (จ๋าย-อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี) กำฃังขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนแต่ทั้งคู่เกิดมีปากเสียงกัน ลูกสาวโมโหจึงเดินลงจากรถไป และไปโดนลูกหลงของพวกเด็กช่างที่ตีกัน จากนั้นเรื่องราวก็จะเล่าย้อนกับไปในอดีต สมัยที่ บิลลี่ยังเป็น

 

วัยรุ่นเรียนอาชีวะที่สถาบันช่างกลอินทร เขามีเพื่อนสนิทอีก 2 คนได้แก่ ดา (เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ) และ รูแปง (ภูมิ รังษีธนานนท์) พวกเขาทั้ง 3 สนิทกันมาก ผ่านเรื่องราวด้วยกันมามากร่วมเป็นร่วมตายในการประจันหน้ากับสถาบันคู่อริมานักต่อนักซึ่งพวกเขามีคู่อริอยู่อีก 3 สถาบัน  ได้แก่ เทคโนประชาชล, กนกอาชีวะ และ ช่างกลบุรณพนธ์ ซึ่งแต่ละสถาบันก็มีแต่ตัวแสบๆทั้งนั้น โดยเรื่องราวจะเล่าถึงวีรกรรมและเหตุการณ์ต่างๆที่เหล่าวัยรุ่นเลือดร้อนพวกนี้ต้องเจอ และถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่

 

รีวิว 4Kings (2022) อาชีวะยุค 90

 

ไม่มีวันลืม บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร ทุกคนควรไปรับชมด้วยตาตัวเอง 4KINGS อาชีวะ ยุค 90 รับชมได้แล้วตอนนี้ทาง Netflix พึ่งเช้า Netflix ได้มาไม่กี่วัน อย่างแรกเลยที่เห็นตั้งแต่หนังเริ่มยันจบ และรู้สึกประทับใจ ก็คืองานภาพ เพราะงานภาพเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีมาก อาจจะไม่ถึงกับที่สุดแต่ถือว่าดี พอทัดเทียมกับหนังต่างชาติได้ สามารถถ่ายประเทศไทยออกมาได้ดูมีคลาส มีการคุมโทน รวมถึงคอสตูม

 

ในเรื่อง ก็ออกแบบได้ดี กลืนไปกับงานภาพอย่างสวยงาม ซึ่งจากที่ดูตัวอย่างก็คาดหวังไว้แล้วว่างานภาพน่าจะดี และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ถ้าเทียบจากหนังไทยที่ดูมาในปีนี้ งานภาพเรื่องนี้ถือเป็นอันดับต้นๆของปีเลย แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่นี้ ตัดมาที่ตัวการเล่าเรื่อง บทต่างๆ ถือว่าทำออกมาได้มาตรฐาน ไม่แย่ และก็ไม่ถึงกับดีขนาดนั้น เพราะมันมีตรรกะของเด็กช่างในเรื่องบางอย่างที่มันแปลกๆ และไม่มีคำตอบ คือหนังพยายามจะให้เราคิดตลอดว่า ตีกันทำไม? แต่ดูจนจบก็ไม่ได้คำตอบ แต่พอไป

 

รีวิว 4Kings (2022) อาชีวะยุค 90

 

ฟังจากผู้กำกับให้สัมภาษณ์ เขาบอกว่า มันเป็นเพราะวัยคึกคะนอง ไม่มีหัวคิด มันไม่มีเหตุผลอะไร มันเป็นแค่การกระทำที่ยั้งคิด และสภาพแวดล้อมทางสังคม ที่ทำให้เด็กช่างในยุคนั้น คิดแบบนั้น ทำแบบนั้น ซึ่งก็พอเข้าใจได้ เพราะคนปกติทั่วไป พอโตขึ้นก็คงนึกย้อนถึงสิ่งที่เราเคยทำตอนเด็ก และคิดว่า ทำไปทำไม เช่นเดียวกัน ซึ่งตอนแรกก่อนดูจบผมมองว่าบทไม่ได้หวือหวาอะไรมาก และก็คิดอยู่แล้วว่าหนังต้องมาแนวสอนให้ข้อคิด แต่มาชอบตรงบทสรุป เนี่ยแหละ ผมโรคจิตแหละมั้ง ไม่ชอบดูหนัง

 

ที่จบแบบแฮปปี้ เพราะมองว่าชีวิตจริง มันไม่ได้แฮปปี้แบบนั้นไปซะทั้งหมด เลยชอบดูหนังที่จบแบบคนดูเซ็ง แต่สมเหตุสมผลมากกว่า เรื่องนี้ถือว่าจบบทสรุปได้ดีทีเดียวต่อมาพูดถึงการแสดงในเรื่อง ซึ่งจากตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่า เรื่องนี้ใช้นักแสดงค่อนข้างแปลกใหม่ ไม่ใช่ดาราที่เราคุ้นหน้ากันซักเท่าไหร่ แถมยังมีนักร้องอย่าง จ๋าย ไททศมิตร และ บิ๊ก D Gerrard และก็นักแสดงหน้าใหม่ๆไฟแรง อย่าง ณัฐ, ทู และ ภูมิ

 

รีวิว 4Kings (2022) อาชีวะยุค 90

 

แต่ขอบอกเลยว่า แคสมาดีมาก นักแสดงทุกคนแสดงได้ดี ดีเลยแหละ การแสดงไม่โดด ทัดเทียมกันหมด ยกตัวอย่างการแสดงโดดๆก็ หนังไทยบางเรื่อง ที่อยู่ในซีนเดียวกัน คนนึงแสดงแบบละคร คือพูดจาที่คนธรรมดาไม่พูด แต่อีกคนแสดงแบบภาพยนตร์ ซีนนั้นมันจะขัดตาและดูแปลกๆไปทันที แต่เรื่องนี้นักแสดง แสดงไปในทางเดียวกันหมด แต่สิ่งที่เซอร์ไพรมากสำหรับผม คือไอสองนักร้องที่มาเล่นเรื่องนี้ แสดงดีอย่างกะดาราตัวจริง ทั้งจ๋าย และบิ๊ก ซึ่งตัวละครของจ๋าย เป็นตัวที่เด่น ๆ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

เรื่องย่อ รีวิว 4Kings (2022) อาชีวะยุค 90

เลยแหละ คือเป็นเพื่อนตัวละครหลัก เห็นแกทั้งเรื่อง แกเลยได้โชว์สกิลการแสดง เห็นว่าแกเรียนการแสดงมา ถือว่าแกเล่นบทที่ได้รับได้ดีมาก โดยส่วนตัวผมว่าเล่นได้สมบูรณ์กว่า เป้ อารักษ์อีก เพราะยังมีบางซีนที่เป้ แสดงแล้วรู้สึกขัดๆ แปลกๆ

แต่จ๋ายนี่แสดงเป็นธรรมชาติมาก อีกคนที่เกินคาดเลย คือ บิ๊ก D Gerrrad มาเรื่องนี้เล่นเป็นเด็กบ้าน ที่ไม่เรียนหนังสือ แสดงบ้าได้ใจจริงๆ ถึงบางคนอาจจะดูว่าเล่นใหญ่ไปรึเปล่า แต่ผมมองว่ามันเหมาะกับคาแรคเตอร์ตัวละครแล้ว มันเป็นคนบ้าๆเพี้ยนๆ มันก็

 

ต้องแบบนี้แหละ ถึงจะไม่ได้มีบทเยอะ แต่ถือว่าเป็นตัวละครสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเส้นเรื่องเลย นอกจากสองคนนี้ คนอื่นๆก็เล่นได้ดี พี่โจ๊กที่เรื่องนี้รับบทเป็น มด ประชาชล แกก็แสดงได้สมบทบาทดี เท่เหมือนเดิม แม้กระทั่งพี่แหลม 25Hour ก็ยังเล่นออกมาได้ดีเลย แถมมีเซอร์ไพรตอนเอ็นเครดิต (ไปดูกันเอาเอง)

 

 

มาถึงซีนที่ชอบ ก็คงจะเป็นซีนตอนที่ บิลลี่ อินทร(จ๋าย),โอ๋ ประชาชล(ณัฐ) ,เอก BU(ทู) โดนจับไปอยู่บ้านเมตตา (น่าจะสถานพินิตแหละมั้ง) ช่วงที่ 3 คนนี้โดนจับนี่ชอบมาก ทำให้เห็นได้ว่า สุดท้ายแล้วพวกนี้มันก็แค่เด็กวัยรุ่น ตีกันตามเพื่อนตามพี่บอก

 

 

ไม่ได้มีอะไรเลย พอมันจนตรอกโดนจับมาอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก็เป็นเพื่อนกันได้ คนที่ไปดูแล้วเป็นวัยรุ่นกำลังคึกคะนองก็คิดกันเองละกัน ว่ามันโคตรไม่มีเหตุผล ถึงต่อให้มีเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ การใช้กำลังมันไม่ใช่ทางออก ทุกปัญหาบทโลกนี้

แก้ได้ด้วยสมอง และสติ จำไว้แค่นี้พอครับ โดยรวมแล้วถือว่าเป็นหนังไทยที่เราไม่ค่อยได้เห็นแนวนี้มานานแล้ว ฟิลเหมือนไทยสมัยรุ่งเรื่อง ยุค90 ยุค2000 กล้าเล่นกล้าทำ ซึ่งชอบมาก เพราะปกติแล้ววงการภาพยนตร์ควรมีความหลากหลาย ถ้าอยากจะทำเงิน หนังฟรี  หนังใหม่

รีวิว 4Kings (2022) อาชีวะยุค 90

กับมันจริงๆ (หมายถึงขายต่างชาติได้) ต้องเปิดกว้างให้คนทำงานได้ถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างตรงไปตรงมา ลองผิดลองถูก จะได้เกิดการพัฒนา และเกิดการแข่งขัน จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป คุณภาพมันจะดีขึ้นเองถ้าหากเกิดการแข่งขันกัน

ไม่ใช่ทำเพื่อให้บางคนสบายใจ ซึ่งจากเรื่องนี้ เป็นผลงานแรกของผู้กำกับคนนี้ ถือว่าเป็นงานแรกที่ทำออกมาได้ดีเลย และเป็นหนังเรื่องแรกของสตูดิโอ เนรมิตรหนังฟิล์ม ด้วย ที่กล้าที่จะลงทุนกับผู้กำกับหน้าใหม่ และแนวหนังที่ขายคนไทยยาก

แบบนี้

 

 

จริงแล้วชื่อ 4Kings ก็บอกในตัวอยู่แล้วว่ามี 4 สถาบันที่เป็นคู่แค้นกัน แต่เรื่องราวจะเล่าผ่านสายตาฝั่ง อินทรอาชีวะ เป็นหลัก โดยเจาะไปที่คู่ปรับตัวฉกาจอย่าง เทคโนโลยีประชาชล (ซึ่งเพี้ยนชื่อมาจากของจริงคือ เทคโนโลยีประชาชื่น) ที่มีตัวละครนำอย่าง มด ชล หัวโจกของกลุ่ม รับบทโดย โจ๊ก อัครินทร์ อัครนิธิเมธรัฐ

 

และ โอ๋ ชล ที่เป็นเหมือนมือขวารับบทโดย นัท ณัฏฐ์ กิจจริต และจะยังมีอีก 2 สถาบันสุดแสบอย่าง กนกอาชีวะ และช่างกลบุรณพนธ์ เป็นตัวสอดแทรกเข้ามาเป็นระยะ โดยเล่าผ่านตัวนำอย่าง บ่าง กนก ที่รับบทโดย แหลม สมพล รุ่งพาณิชย์

หรือ แหลม 25Hours และ เอก บู รับบทโดย ทู สิราษฎร์ อินทรโชติ ซึ่ง

 

 

หนังฉลาดในการค่อย ๆ พาจากกลุ่มอินทรไปรู้จักกลุ่มอื่น ผ่านตัวละครของบิลลี่ที่มีเหตุให้ต้องเข้าไปร่วมหัวจมท้ายกับ โอ๋ ชล และ เอก บู ในช่วงเวลาหนึ่ง และนี่คือสิ่งสำคัญมาก ใครที่กำลังตัดสินใจไปดู ต้องเข้าใจก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่

หนังแอ็กชันแบบเด็กเกเรตีกันแบบพวกหนังเด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่วัยรุ่นกำลังนิยม

 

แต่มันคือหนังดราม่าหนังชีวิตที่เข้มข้นมาก ๆ และความรุนแรงด้านภาพก็ไม่ได้เป็น ส่วนสำคัญเลย เพราะความรุนแรงต่ออารมณ์และความรู้สึกผู้ชมนั้นมันสาหัสสากรรจ์กว่ามาก ๆ ต่อให้เป็นผู้ชายแมน ๆ ยังไง คุณก็มีโอกาสโดนสักฉากในหนังที่

ทำเอาน้ำตาร่วงได้แน่นอน นี่จึงเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้วจะอยากบอกต่อใครสักคนเลยว่า ของมันดีจริง ๆ

ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ

 

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง กวน มึน โฮ เป็นภาพยนตร์ไทยแนวโรแมนติก คอมเมดี้ สุดอิน ผลงานการกำกับของ บรรจง ปิสัญธนะกูล ภาพยนตร์ บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่ง และ หญิงสาวชาวไทย ที่ต่างคนก็ต่างไปเที่ยวประเทศเกาหลีคนเดียว ทั้งคู่  ความบังเอิญทำให้พวกเขาทั้งสองได้พบกัน

 

ทั้งสองจึงทำข้อตกลงที่จะไม่บอกชื่อแก่กัน เพื่อจะได้ออกเที่ยวเกาหลีด้วยกันอย่างสบายใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้นักแสดงมากความสามารถมากมายมาร่วมแสดงไม่ว่าจะเป็นฉันทวิชช์ ธนะเสวี ที่มารับบทเป็น ด่าง (นามแฝง) ผู้ชายที่จะไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ ด้วยรองเท้าแตะ และเสื้อยืดย้วย ๆ เขาเป็นคนเดียวในกรุ๊ปทัวร์ที่ไม่มีครอบครัวหรือคนรักมาด้วย ด้วยความเหงาและเดี่ยวดายของเขานี่เองที่ทำเขาเมา จนไม่สามารถตื่นทันทัวร์ได้

รีวิว กวน มึน โฮ

เขาจึงถูกทิ้งไว้ที่โรงแรมคนเดียว คนต่อมาคือหนึ่งธิดา โสภณ มารับบทเป็น (เม) หญิงสาวที่แอบแฟนไปเที่ยวประเทศเกาหลีเพียงคนเดียว เพราะต้องการที่จะไปงานแต่งเพื่อน และตามรอยซีรี่ย์เกาหลีที่เธอชอบ และคนสุดท้ายที่จะมาแนะนำในวันนี้คือ วรัทยา นิลคูหา ที่มารับบทเป็น ก้อย อดีตแฟนเก่าของด่าง

ที่เคยทิ้งเขาไปเพราะเขาไม่ได้ให้ความมั่นคงแก่เธอ เธอกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับแฟนใหม่ จนเมื่อเธอได้รับจดหมายจากด่าง เธอจึงเดินทางมาประเทศเกาหลีเพื่อบอกเขาว่าคนที่เธออยากแต่งงานด้วยจริง ๆ คือเขา  โดยภาพยนตร์เรื่อง กวน มึน โฮ เป็นภาพยนตร์เมื่อปี 2553

รีวิว กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ เปิดเรื่องราวมาที่ หนุ่มคนหนึ่งที่เหมือนเพิ่งจะอกหักมา เลยตัดสินใจไปเที่ยวประเทศเกาหลีกับกรุ๊ปทัวร์ การไปเที่ยวครั้งนั้นของเขา เป็นการไปที่ชิวมาก ๆ เพราะเขาไม่มีสัมภาระใด ๆ มีแต่เสื้อผ้าชุดที่เขาใส่อยู่เพียงชุดเดียว และ เมื่อไปถึงเกาหลีความเหงา ก็ทำให้เขาดื่มเหล้าไปเยอะ จนไม่สามารถที่จะตื่นทันกรุ๊ปทัวร์ทัวร์ได้ เขาตกรถและถูกทิ้งไว้ที่โรงแรม แต่ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ เพราะเขาได้มาเจอกับสาวไทยคนหนึ่ง ที่ก็มาเที่ยวคนเดียวเช่นกัน

เขาจึงขอช่วยให้สาวไทยคนนั้นเป็นไกด์นำเที่ยวให้ สาวคนนั้นตกลง และก่อนจะไปเที่ยวกันพวกเขาก็ได้ทำข้อตกลงกันว่า ขณะที่อยู่ที่เกาหลี พวกเขาจะไม่บอกชื่อกันและกัน เพื่อจะได้เที่ยวกันอย่างเต็มที่ และไม่ต้องรู้สึกอะไรเมื่อต้องแยกจากกัน แล้วเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามชมได้ในซีรี่ย์เรื่อง กวน มึน โฮ

รีวิว กวน มึน โฮ

กระแสหนังเกาหลีในบ้านเราดูยังไงยังไงก็ยังคงมาแรงอยู่ ล่าสุดค่ายหนังอย่าง จีทีเอช ก็เลยจับเอากระแสเกาหลีฟีเวอร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ กับหนังเรื่อง “กวน มึน โฮ” ที่ครั้งนี้นอกจากแนวหนังที่บอกว่ากวนแล้ว ยังมีการปรับเปลี่ยนแนวการกำกับของผู้ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

เรื่องย่อ รีวิว กวน มึน โฮ

กำกับหนังแนวสยองอย่าง “โต้ง-บรรจง” ให้หันมากำกับหนังแนวฮาผสมรักโรแมนติกเรื่องนี้อีกด้วย พร้อมกันนี้ก็ยังได้ “เต๋อ-ฉันทวิชช์” เข้าร่วมขบวนเขียนบท โดยเขียนส่งให้ตัวเองกลายเป็นพระเอกของเรื่องไปซะเลย ส่วนนางเอกมาดมึนๆ น่ะเหรอ เค้าได้

จากการประกวดโครงการ ลักส์ ปั้นดาว “หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ” แหม! แค่พูดมาคร่าวๆ หนังเรื่องนี้ช่างมีความหลากหลายเสียนี่กระไร ยัง..ยังไม่หมดแค่นี้ หนังเรื่อง กวน มึน โฮ เขายังมีที่มา หรือเค้าโครงเรื่องมาจากหนังสือของ “ทรงกลด บางยี่ขัน” เรื่อง “สองเงาในเกาหลี”

 

 

สองเงาในเกาหลี เป็นเรื่องจริงของชายไทยคนหนึ่งที่แบกเป้ไปเที่ยวเกาหลีโดยลำพัง แต่โชคชะตาก็ทำให้เขาพบกับผู้หญิงไทยคนหนึ่งซึ่งแบกเป้ไปเที่ยวเกาหลีตามลำพังเช่นกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร อาจจะไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าจนไม่อาจเรียกว่าเพื่อนได้ แต่ความรู้สึกดี ๆ ของทั้งสองคนที่มีให้กัน บางครั้งอาจทำให้เราเผลอเอาใจช่วยให้ทั้งคู่ได้เป็นมากกว่าแค่เพื่อนเดินทางธรรมดา ๆ ที่บังเอิญมาเจอกัน

และเมื่อ “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” จับเอา พระเอกมาดกวนอย่าง “เต๋อ-ฉันวิชช์” กับนางเอกสุดมึนอย่าง “หนูนา” มาปะทะกันในเรื่อง กวน มึน โฮ ในส่วนของพาร์ทเรื่องที่เน้นไปทางกวน ต้องบอกเลยว่า “กวน จัง แก” จริงๆ โดยเรื่องเปิดมาที่ เต๋อ ที่มี

 

อาการเมาสุดๆ ถูกกลุ่มก๊วนเพื่อนตัวดีขับรถพามาส่งที่สนามบิน เพื่อให้เต๋อบินไปเที่ยวเกาหลี แค่นี้อาจจะเห็นว่าก็ไม่เห็นกวนอะไรนี่ ภาพมาส่งความกวนก็ตอนที่เห็น เต๋อ ลากแตะ มารวมกลุ่มกับแก๊งค์ทัวร์เกาหลีนี่แหละ ได้ไป 1 กวน และในพาร์ทนี้เองที่ ผกก. ทำให้คนดูเห็นว่ามีสาวหน้ามึนคนหนึ่งกำลังเดินทางขึ้นเครื่องบินมุ่งตรงสู่เกาหลีเช่นเดียวกัน แต่ความกวนและมึนกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

เมื่อเครื่องบินแตะรันเวย์ประเทศเกาหลี เสียงจากแอร์โฮสเตจ แจ้งถึงอุณหภูมิของประเทศเกาหลีว่าอยู่ในช่วงหนาว (มาก) สำหรับคนไทย ให้เตรียมอุปกรณ์กันความหนาวให้พร้อมสรรพ แต่พระเอกของเรา ที่ไม่มีอะไรเลยจะทำยังไงล่ะ เพราะเพื่อนตัวดีมาส่งแต่ตัวจริงๆ ไม่มีสัมภาระติดตัวมาเลย เราคงไม่เฉลยน่ะนะ จุดเริ่มต้นการเดินทางของหนังที่แตกต่างจากหนังสือ เพราะในหนังสือจะบอกว่าทรงกลดมาเที่ยวด้วยตัวเอง แต่ในหนังเป็นการมากับคณะทัวร์

(ซึ่ง ผกก. ก็บอกแล้วว่ามีการปรับเปลี่ยน แค่ให้มีกลิ่นอายจากหนังสือเล็กๆ )เอาเป็นว่าหลังจากทั้งคู่มาเจอกัน ทั้ง “เต๋อ” และ “หนูนา” คน 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง มาเจอกัน ณ ที่อากาศหนาว ๆ สถานการณ์เป็นใจ การตกหลุมรักกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะมีใจให้กัน ความมัน ความฮา มันมีมาก่อนหน้านั้น

เพราะมุกที่เต๋อ เขียนใส่ หรือ เพิ่มเข้าไป ทำให้คนดูหัวเราะกันอย่างลืมตัวเลยทีเดียว อีกทั้งมุกต่างๆ ของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น มุก ช้างกูอยู่ไหน หรือ เบยองจุน (พระเอกในเรื่อง Winter Love Song) ที่กลายเป็นพระเอกสุดหล่อ และฮอตฮิตในบ้านเขาและบ้านเราไปแล้ว (แต่ไม่บอกหรอกนะว่าเป็นยังไง เพราะเดี๋ยวจะเสียอรรถรสสำหรับคนที่จะไปชม) ก็ทำได้ดี เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างไม่ขาดสาย น่าจะพูดได้ว่า “ฮา จริง คุณ” ได้เลย หนังฟรี  หนังใหม่

 

ความรู้สึกหลังดูจบ

ขอพูดถึงฉากที่ผมชอบและอะไรหลายๆอย่างที่ได้เห็นจากหนังเรื่องนี้หลังจากที่ได้มาดูอีกครั้งนะครับส่วนแรกเลยคือการที่ทั้งสองคน ได้เจอและพูดคุยกัน เหมือนลด ความอคติต่อกันลงไป  ตัวละครผู้ชายถูกเขียนบทสำหรับพูดกวนๆ คิดหรือพูดอะไร ที่ขัดกับคนอื่นไปหมด แต่ก็มีมุม ที่หวั่นไหวในเรื่องคือความรัก ไม่อาจเก็บเรื่องนี้ไปจากใจได้ และเขาก็หาคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่เสมอ ไม่ผิดแปลกอะไร ในเมื่อผู้ชายไม่พร้อมจะแต่งงาน อันนี้ก็ถือว่าเข้าใจได้นะ มันสามารถโดนทิ้งได้ตลอดเวลา โดยไม่มีใครนึกถึงระยะเวลาที่คบกัน งานแต่งผู้หญิงอยากมีช่วงเวลาแบบนั้น ซึ่งเราเห็นการแสดงของคุณเต๋อ ในฉากเพื่อนนางเอก มันชัดเจนว่าเขาเจ็บมากเพียงใด ส่วนตัวละครผู้หญิง การที่หลอกแฟนไม่ผิดอะไรหลอกแต่เรื่องแบบนี้ก็มีบางอย่างที่ไม่เข้าใจได้ในมุมผู้ชาย ผู้หญิงบางเรื่องหรืออย่างที่อยากไปคนเดียวไม่อยากอยู่กับแฟน ตัวละครของหนูนา ที่ปะทะกับแฟนคือจุดที่ชี้ให้เห็นว่า

ผู้ชายส่วนใหญ่ ยังคิดว่าตัวเอง เป็นใหญ่กว่าผู้หญิงตลอด การที่ตัวละคร ไม่ทำความรู้จักชื่อ ถือเป็นความคิด ที่แตกต่าง ไม่มีใครคิดว่า หนังจะทำแบบนี้ เพราะโดยปกติ คนเราจะรู้กันแบบระยะสั้นก็ต้องเรียกชื่อ เพื่อให้ความเคารพ ซึ่งกันและกัน แต่สิ่งนี้ทำให้มัน แตกต่างไปจากภาพยนต์ เรื่องอื่นๆ ความเหงา เรื่องอกหัก ก็เกิดเป็น ความต้องการที่อยากมีให้สักคน มาเข้าใจ

ถึงตัวหนัง จะมีตลกมาก แต่ก็ยังถือว่า เป็นหนังที่ดี เพราะเราไม่ได้ดูแค่เรื่องราว แต่ยังให้เห็นการสะท้อน ความคิด และ การทำความเข้าใจ ของตัวละคร แต่ในความเป็นจริง ก็คงจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้หลอกน่าจะอยู่แค่ในหนังเป็นหนังที่หลังดูจบคือ ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ น่าจะเล่นต่ออีกหน่อยนึง อย่างน้อยขอรู้ชื่อ พระเอกนางเอกก่อนได้มะ ทั้งเรื่องสรุปไม่มีใครรู้ชื่อนักแสดงนำเลย คือตอนจบกำลังจะบอกชื่อ หนังก็จบเลย มันค้างคามากเลยครับ นอกนั้นฉากอื่น ๆ คือดีหมดเลย

ยกเว้นแต่ตอนจบน่าจะเล่นไปให้สุดกว่านี้ จะดีมาก ปล. อยากให้มีภาคสอง แต่น่าจะฝันสลายเพราะหนังก็ฉายไปนานแล้ว อดเลย อาจจะค้างคานิดนึง แต่เดาว่าตอนจบมันต้องแฮปปี้แน่ ๆ เพราะพระเอก บอกรักผ่าน วิทยุพี่อ้อยพี่ฉอด ขนาดนั้น จนนางเอกร้องไห้ออกมาด้วยความซึ้งใจ

ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์

รีวิว น้องพี่ที่รัก

รีวิว น้องพี่ที่รัก

รีวิว น้องพี่ที่รัก

 

 

 

รีวิวหนังใหม่ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานของสตูดิโอ GDH

สำหรับเรื่องนี้ไม่ได้เน้นเป็นหนังรักโรแมนติกของคนรักแบบนั้นอ่ะแต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพี่น้องครอบครัวไรงี้มากกว่า ประมาณว่าน้องสาวเก่งและเป็นคนดีมาก แต่พี่ชายสินิสัยแย่มาก ทำอะไรก็ไม่เคยดีเลยทุกอย่างมันก็เลยเกิดการเปรียบเทียบกันกับสองพี่น้องคู่นี้
รีวิว น้องพี่ที่รัก
นักแสดงนำโดย คุณญาญ่า รับบทเป็น (น้อง)
ส่วนคุณซันนี่ รับบทเป็น (พี่)
และคุณนิชคุณ รับบทเป็น (ที่รัก)
ติส
เนื้อเรื่อง
เป็นเรื่องราวของ “ชัช” พี่ชายแสนห่วย กับ น้องสาวสุดเนี้ยบ ในเรื่องชัชไม่เคยทำหน้าที่เป็นพี่ชายที่ดีให้น้องสาวได้เลย แต่ถ้าเวลามีคนมาจีบน้องสาวตัวเองนะ เขาจะเข้ามาทำตัวเป็นพี่ชายทันที ประมาณว่าหวงน้องสาว และชอบทำตัวกร่างไล่หนุ่ม ๆ ที่เข้ามาจีบน้องหนีหายไปหมด แต่วันหนึ่ง “เจน” ก็มีแฟนชื่อ “โมจิ” เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น เธอปิดบังเรื่องนี้กับพี่ชาย เพราะกลัวว่าพี่ชายของเธอจะทำความรักครั้งนี้พังเหมือนที่ผ่านมาอีกหน่ะสิ แต่สุดท้ายทัชพี่ชายของเธอ ก็รู้ความจริงจนได้ ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้น เมื่อชัชไม่ยอมให้
รีวิว น้องพี่ที่รัก
ทั้งสองคบหากัน เขาจะหาวิธีทำลายความรักของเธอให้ได้  จนทำให้เธอกับพี่ชายต้องทะเลาะกันรุนแรงเพราะเรื่องนี้ และไหนจะเรื่องอื่นที่พี่ชายไม่เคยช่วยหรือทำอะไรให้มันดีขึ้นมาเลย เรียกได้ว่าสร้างความปวดหัวให้เธอแทบทุกเรื่อง จึงเกิดความอัดอั้นและทนไม่ไหวของ “เจน” ต้องเด็ดขาดกับพี่ชายจริง ๆ  เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นกับแฟน เพราะอยู่กับพี่ชายแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เมื่อต่างคนต่างอยู่ไกลกัน จึงเกิดความค้างคาของพี่น้องคู่นี้ ที่ไม่ได้พูดมันออกไป และเมื่อเวลาผ่านไปทำให้พี่ชายแสนห่วยกลับคิดได้ขึ้นมาในตอนที่น้องสาว
เดินทางไปต่างประเทศแล้ว

รีวิว น้องพี่ที่รัก

รีวิว น้องพี่ที่รัก

ฉากที่ประทับใจมากที่สุด
1. ฉากตอนจบ
ส่วนตัวชอบฉากสุดท้ายอ่ะ เหมือนประมาณว่า ฉากสุดท้ายที่ซันนี่ร้องไห้ เขาเหมือนได้ปลดปล่อยความเป็นห่วงน้องออกมา เพราะได้มาเห็นเจนมีชีวิตที่ดี โดยแค่เพียงมองหน้ากัน มันเหมือนแบบ ความเป็นพี่น้องกันอ่ะ รู้ ๆ กันอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไรเลยก็เข้าใจและรู้สึกถึงกัน ชัชไม่ต้องขอโทษเจนก็รู้สึกสื่อถึงได้ ว่าพี่ชายตัวเองมีความรู้สึกในใจยังไง อาจจะเคยทะเลาะกันแทบตาย แต่สุดท้ายแค่มองหน้ากันก็หายโกรธแล้ว เป็นฉากที่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริง ๆ
2. ฉากตกปลา
ฉากที่ชัชพยายามตกปลา เหมือนเป็นสัญลักษณ์จะบอกคนดูว่า ชัชพยายามที่จะหาปลากินเอง ชัชพยายามหาปลานานมากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปลา
ผลสุดท้ายชัชก็ทำไม่สำเร็จ กลับไปซื้อปลากิน
ประมาณว่า ถ้าชัชตกปลาได้จะเอาไปให้น้องสาวตัวเองที่งานแต่งรึปล่าวอ่ะ เหมือนว่าประชด ว่านี่ไง อย่างน้อยกูก็หาปลากินเองได้นะ 5555

ความรู้สึกหลังดูจบ

เป็นหนังที่ไม่ได้โรแมนติกเท่าไหร่นะ ออกแนวตลกคอมเมดี้มากกว่าในช่วงต้นเรื่องจนไปถึงกลางเรื่องเลย แล้วก็มีแบบดราม่าหนักมากช่วงท้ายเรื่อง  มันจะเน้นไปทางความรักของพี่น้องมากกว่านะในฉาก มีบางช่วงที่เรารู้สึกเหมือนมันยังอั้น ๆ อยู่ เหมือนว่าในฉากมีเด็กสาวออฟฟิศ เดียร์ เข้ามาได้รับบทบาทบ่อยหลายซีนเลย คอยมาช่วยพระเอก ในหลาย ๆ เรื่อง แต่จริง ๆ แล้ว เดียร์ นางก็แค่อยากมีพี่ชายเพราะนางก็ปูมาตลอดว่านางเป็นลูกคนเดียว ที่มาสนิทกับชัช เพราะเดียร์อยากมีพี่ชาย สายตาของเดียร์ที่มองชัชคือพี่ชายที่ดี  แต่พอชัชจะจูบเดียร์ เดียร์เลยผิดหวังที่ชัชไม่ได้รักเดียร์แบบน้องสาว
สุดท้ายตอนจบก็ไม่ได้คบหากัน กลายเป็นว่าใจรู้สึกไปคนละแบบ ทั้งที่เหมือนจะเลิฟซีนกันอยู่แล้วนะไรงี้ แอบจิ้นนิดนึงเลยเสียดาย เพราะรู้สึกว่าเหมือนคู่รัก ไม่รู้สึกถึงความรักของพี่น้องอ่ะ
อาจเป็นหนังที่ไม่ได้ชอบทุกซีน แต่เป็นหนังที่อยากชวนคนไปดูอ่ะ เพราะโดยรวมก็สนุกดีนะ มีฉากฮา ๆ เยอะเลย แต่ถ้าใครอยากดูแบบโรแมนติกมาก ๆ ผ่านก่อนเลย เรื่องนี้เน้นคอมเมดี้มากกว่า ซึ่งพี่ซันนี่ทำได้ดีอยู่แล้วในเรื่องของบทบาทแนวนี้เราจะเห็นกันบ่อย ไม่รู้พี่แกตีบทแตกตลอด หรือแกเล่นเป็นตัวเองนะ 555
ด้วยความเครดิตดีของค่ายหนังจีดีเอช เรื่องก่อนหน้าอย่าง พรจากฟ้า ,ฉลาดเกมส์โกง ,เพื่อน…ที่ระลึก ต่างก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ดี ทำให้ภาพยนตร์ของค่ายนี้ถูกคาดหวังเป็นอย่างมาก และ น้อง.พี่.ที่รัก (ในชื่อภาษาอังกฤษ Brother of the Year) ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชมผิดหวัง โดยได้ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ กับ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ มาเล่นเป็นพี่น้องกัน กำกับโดย บอล วิทยา ทองอยู่ยง ผู้กำกับที่ดูจะมาทางคอมเมดี้ที่สุดในค่าย ในผลงานก่อนหน้าอย่าง เก๋า..เก๋า (2549) และ บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้) โดยในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแนวมาเล่าถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ไม่ถูกกัน โดยพี่ชายพยายามขัดขวางความรักของน้องสาว
หลายคนที่ได้ดูตัวอย่างของภาพยนตร์อาจจะรู้สึกถึงความเป็นคอมเมดี้ ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วก็มีบ้าง แต่ในหนังเล่นเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้องได้ดีจนบางซีนเราถึงกับน้ำตาซึม จะเรียกได้ว่าทั้งพาร์ทตลก และ ซึ้ง ก็แบ่งสัดส่วนกันออกมาได้ดีและลงตัว
บทความนี้จะพยายามไม่พูดถึงเนื้อหาหลักของเรื่อง ดังนั้น ไม่มีสปอย หรือถ้าหากใครสนใจไป ดูหนังน้อง พี่ ที่รัก สักรอบก่อนอ่านบทความ ก็สามารถไปรับชมกันได้ที่เว็บไซต์ทรูไอดี (TrueID)
ภาพยนตร์ น้อง พี่ ที่รัก เล่นประเด็นความสัมพันธ์ที่คนในสังคมส่วนใหญ่เข้าถึงคือ ความเป็นพี่เป็นน้อง หนังสามารถสร้างความรู้สึกรีเรทกับตัวละครได้ดี เพราะถ้าหากใครที่มีพี่น้องอยู่ก็คงรู้ว่าไม่ได้รักกันดีตลอด มีทะเลาะ มีงอน แต่สุดท้ายก็ยังมีความห่วงใยต่อกันในสายเลือด และหนังเรื่องนี้ก็เล่นประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นจุดยากของหนัง เนื่องจากจำเป็นต้องเขียนบทภาพยนตร์ให้คนดูหนังอินไปกับเนื้อเรื่องได้หมด ไม่ว่าจะมีพี่น้องหรือไม่มี
ด้วยการแสดงของญาญ่าและซันนี่ ทำให้เราได้เห็นและเชื่อได้เลยว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการพูด การแสดงออก หรือการใช้สีหน้า ก็ทำออกมาได้น่ารักและเข้าถึงตัวละครมาก
ความท้าทายของการทำหนังพี่น้อง
อย่างที่เกริ่นไปว่า ความท้าทายของเรื่องนี้ คือการเล่าประเด็นพี่น้องที่ไม่เพียงแต่ต้องให้ผู้ชมเข้าถึง แต่ต้องนำเสนอให้น่าสนใจ และอยากติดตามต่อจนจบโดยไม่เบื่อ ซึ่งในหนังจริง ๆ ก็อาจจะมีช่วงที่เอื่อย ๆ บ้าง บางคนที่ไม่ชอบเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายก็อาจจะมีผิดหวัง เพราะหนังไม่ได้พาเรานั่งรถไฟเหาะแล้วมีจุดไคล์แม็กซ์ก่อนตกลงมา แต่เน้นสร้าง
บรรยากาศระหว่างการเดินทางเสียมากกว่า จากนั้นจึงค่อยจบด้วยหมัดฮุกหนัก ๆ ซึ่งด้วยสไตล์หนังแบบจีดีเอช การสอดแทรกมุก ประเด็นเล็ก ๆ หรือเส้นเรื่องของตัวละครย่อย ๆ ก็โยงกับเนื้อเรื่องหลัก ทำให้เพลิดเพลินได้ตลอดทั้งเรื่อง สนุกสนานคนละแบบกับหนังที่พยายามสร้างความตื่นเต้นเร้าใจตลอดเวลา
ด้วยความที่หนังนำเสนอเรื่องราวของพี่น้องเพียงคู่เดียวบนจอภาพยนตร์ พยายามจะเล่นประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกบ้าน ประกอบกับบอกเล่าถึงลักษณะนิสัยพี่กับน้องอย่างสุดโต่งเกินไป (แต่ตัวหนังไม่สามารถทำได้สุดซักทาง) ทำให้เกิดความไม่เมคเซ้นส์หลาย ๆ อย่าง ทั้งบทและการกระทำของตัวละคร แต่มันก็เป็นส่วนเล็กน้อยที่เราสามารถมองข้ามไปได้
สรุปโดยรวม
น้อง พี่ ที่รัก (Brother of the Year) เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการสังคมไทยได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีจุดบกพร่องด้านบท การกระทำของตัวละคร และปมประเด็นต่าง ๆ ที่เล่นได้ไม่สุดเท่าไหร่ ใครที่คาดหวังจะมาดูมุกฮา ๆ อมยิ้มไปตลอด ก็อาจจะไม่สมหวังนัก (เพราะตัวอย่างก็ตัดหลอกได้เนียนมาก ๆ) แต่ก็ยังคงเป็นหนังฟีลกู๊ดที่
ดี มีทั้งความสนุกสนาน ความตลก ความรัก และความเศร้า เป็นอีกเรื่องที่ครบเครื่อง และควรหามาดูให้ได้สักครั้ง ‘เรียนเก่งให้เท่าน้องก่อนเถอะ’ นี่คือคำพูดที่ผมยังจำได้เมื่อครั้งทะเลาะกับพี่สาวสมัยประถม ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ที่พูดแบบนั้นเพราะอยากเอาชนะพี่ที่เรียนห่วยกว่า เรียกได้ว่าเราทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเป็นนักมวยคงมี Rematch จนนับไม่หวาดไม่ไหว
แล้วคุณเคยทะเลาะกับพี่หรือว่าน้องกันบ้างไหมครับ? ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องเคยกันมาบ้าง เพราะถ้าเปรียบว่าคู่รักคือลิ้นกับฟันที่ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง น้องกับพี่นี่ก็คงเป็นขอบประตูกับนิ้วเท้าเลยล่ะครับ เรียกได้ว่าพร้อมจะพุ่งชนกันได้ทุกเมื่อ
น้อง.พี่.ที่รัก เป็นหนังที่อธิบายว่าการทะเลาะกันเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ของพี่น้อง ที่เป็นเสมือนผงชูรสที่ถ้าใส่พอดีก็จะอร่อย แต่ถ้าใส่มากไปก็อันตรายกับสุขภาพ ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่หลังจากการทะเลาะแล้วคืนดีกัน เราจะได้เรียนรู้ที่จะ ‘ทำยังไงให้ไม่ทะเลาะกันอีก’ เสมอ
“ไอ้พี่ห่วย” ประโยคคลาสสิกที่ใช้อธิบายภาพของชายที่เกิดก่อนน้องได้อย่างชัดเจน และ พี่ชัช-แสดงนำโดย ซันนี่-สุวรรณเมธานนท์ เป็นภาพรวมของเหล่าพี่ชายห่วย ๆ ของสยามประเทศอย่างแท้จริง ผ้าไม่ซัก กับข้าวไม่ทำ จานชามไม่ล้าง พาสาวที่ไหนก็ไม่รู้มานอนบ้าน ทุกสิ่งอย่างของพฤติกรรมแย่ ๆ ที่พี่ชายห่วย ๆ พึงจะมี พี่ชัชฟาดเรียบ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

 

 รีวิวหนังใหม่ล่าสุด สำหรับแฟน ๆ ประจำของ GDH ที่คาดหวัง หนังอารมณ์ฟีลกู๊ด และ ความฟิน ความอิน จากค่ายนี้ หรือคนที่เคยประทับใจ ผลงานของ เต๋อ นวพล จาก “ฟรีแลนซ์…ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” แล้วคาดหวังความฮา ในหนังระดับนั้น ก็ต้องเตือนกันก่อนเลยว่า ห้ามคาดหวังความฟีลกู๊ด หรือความฮาใด ๆ ทั้งสิ้นเลย จากเรื่องนี้ จะเป็นยังไง…ไปอ่านรีวิวกัน
รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ซึ่งถ้าใครได้ชมตัวอย่างหนังกันมาแล้ว ก็พอจะคาดเดาอารมณ์ของ “ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” กันได้อยู่บ้างนะ ตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 53 นาที ของหนัง แทบไม่มีเสียงหัวเราะให้ได้ยินเลย หรือถ้ามีสอง-สามมุก ก็เป็นหัวเราะแบบหึ ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเทียบกับฉากที่ตัวละครน้ำตาไหลพราก นี่อัดแน่นกันมาหลายฉากเลย ดราม่า สาระ มาเต็ม
จีน เป็นนักเรียนนอกจากสวีเดนที่กลับมาอยู่กับครอบครัว ที่มี “เจ” พี่ชาย และแม่ที่ยังอยู่บ้านเดิมที่เคยเป็นโรงเรียนสอนดนตรีและรับซ่อมเครื่องดนตรี ที่พ่อเป็นผู้ริเริ่มกิจการแล้วก็จากไปมีครอบครัวใหม่นานมากแล้ว จีนจึงตั้งใจจะรีโนเวตชั้นล่างของบ้านเป็นออฟฟิศ ซึ่งสเต็ปแรกก็คือการโละข้าวของต่าง ๆ ทิ้ง ข้าวของแต่ละอย่างที่จีนและเจ พบในกองของเก่าเก็บก็ล้วนแต่มีอดีต และหนึ่งในนั้นก็คือกล้องและ
รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ฟิล์มของเอ็ม อดีตแฟนของจีน ที่เธอเลิกกับเขาตอนที่ไปเรียนต่อสวีเดน จีนตัดสินใจเอากล้องไปคืนแต่ที่จริงนั้นเธอต้องการไปขอโทษเอ็ม เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดในใจที่เคยทิ้งเอ็มไปอย่างไม่มีเยื่อใย และนี่คือจุดเริ่มต้นที่จีนกลับไปมีบทบาทในความคิดตัดสินใจครั้งใหญ่ของเอ็ม

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ

ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ถ้ามองตามชื่อหนังและตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมา ก็จะสื่อให้เข้าใจว่านี่คือ “หนังรัก” ที่พูดถึงเยื่อใยต่อคนรักเก่า แต่เอาเข้าจริงแล้วเรื่องราวของเอ็มเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะ “ฮาวทูทิ้ง” ยังพูดถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวจีนอีกมากผ่าน “ของเก่า” ที่ทำหน้าที่ตัวแทนเรื่องราวในอดีตมากมาย ทั้งเรื่องของพ่อที่ทิ้งไป ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเพื่อนอีกหลาย ๆ คน แต่ละเรื่องก็ทำหน้าที่ประหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ต่อกันเป็น
ภาพที่เด่นชัดของจีน ให้เรารู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น ซึ่งจีนเองก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นเช่นกัน จากคำตอบโต้ของเอ็มและเพื่อนหลาย ๆ คน ที่ตำหนิเธอกลับมา ทำให้ “จีน” เป็นนางเอกหนังที่มีความเป็นปุถุชน
มากสุดคนหนึ่งบนจอหนังไทย ที่ไม่ได้มีความสมบูรณ์พร้อม มีจุดที่แข็งขณะเดียวกันก็มีจุดที่อ่อนไหวอีกมาก ที่ทำให้เธอไม่สามารถตัดขาดความทรงจำเก่า ๆ ไปได้อย่างที่ตัวเองพูด แล้วทำให้การจัดบ้านของเธอต้องพัวพันไปกับอีกหลาย ๆ ชีวิต
รีวิว ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ถ้ามองว่า “ฟรีแลนซ์” เป็นหนังที่เต๋อ ปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าหาความเป็น GDH มากขึ้น แล้วก็ได้ผลตอบรับอย่างดี พอมาถึง “ฮาวทูทิ้ง” เต๋อ ก็ขอหันกลับไปเป็นตัวเองมากขึ้น เอาใจตลาดน้อยลง รอบนี้ไม่มีมุกฮา ไม่มีฉากกุ๊กกิ๊กระหว่างคู่พระนางให้คอยจิ้นเอาใจช่วย แม้กระทั่งรอยยิ้มของตัวละครยังแทบไม่เห็นเลย ก็เชื่อว่า GDH ก็คงไม่คาดหวังรายได้ระดับร้อยล้านหรอกนะ เพราะการที่ GDH ปล่อยหนังสองเรื่องติดกันแบบนี้ ก็มองเกมการตลาดมาเรียบร้อยแล้วล่ะ ไปหวังกำไรเอาจาก “ตุ๊ดซี่ส์” ส่วน “ฮาวทูทิ้ง” ก็ไปแนวหนังรางวัล ซึ่งตัวหนังเองใช้ นักแสดงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นนักแสดงโนเนม ก็ไม่น่าจะใช้ทุนสร้างมากมายนัก อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนแน่นอนล่ะ
เต๋อ นวพล กับทีมนักแสดงนำ
ซึ่งรอบนี้เต๋อก็ขอตามใจตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ในทุกแง่มุมการนำเสนอ ทั้งการนำเสนอภาพในฟอร์แมต 2:3 ที่มีภาพกระจุกอยู่ตรงกลางจอ พื้นที่ซ้ายขวาของจอปล่อยดำมืดไปเลย สีสันทั้งเรื่องจืดซีด ไม่มีสีฉูดฉาด แดง เหลือง เขียวให้เห็น เน้นหนักแต่ขาว เทา ดำ โดยเฉพาะตัวจีนนั้นเธอจะใส่เสื้อขาวกางเกงดำตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่าเต๋อต้องการปูอารมณ์หม่นซึมให้คนดูตั้งแต่นาทีแรกของหนังเลย ดนตรีประกอบของหนังก็แทบไม่ได้ยิน หลาย ๆ ฉากใช้เสียงเชลโลต่ำ ๆ “ตึ่ม ตึ่ม” เข้ามาประกอบฉากสนทนาแค่นั้น ทำให้ “ฮาวทูทิ้ง” เป็นหนังที่เดินหน้าไปแต่ละนาทีด้วยความรู้สึกที่ “หนัก” แล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ บนประเด็นที่ค่อนข้างเบา เพราะว่าด้วยปฏิบัติการทิ้งของเก่าของจีน ซึ่งผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่า “เอ็ม” จะโผล่เข้ามาในเรื่อง ก็เพิ่มประเด็นหนักหน่วงเข้ามาอีก เพราะจีนเข้าไปในฐานะคนเก่าของเอ็ม ในวันที่เอ็มใช้ชีวิตคู่กับมี่แล้ว

ความชอบส่วนตัว

ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องผ่าน “จีน” ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง แล้วแทรกประเด็นยิบย่อยรอบตัวจีนเข้ามา ทำให้หนังไม่สามารถลงลึกในแต่ละประเด็นได้ครบถ้วน บางประเด็นก็ถูกทิ้งค้างให้เป็นข้อสงสัย อย่างเรื่องการจากไปของพ่อ ความบาดหมางของจีนกับเพื่อนสาวที่เธอเอาดับเบิ้ลเบสไปคืน แต่เท่าที่เห็นนี่ก็นับว่าหนักพอดูแล้ว ที่เหลือก็เลยถูกทิ้งไว้เป็นที่ว่างในจินตนาการของคนดูให้เลือกเติมเต็มกันเอาเอง
ซันนี่ ในบท เอ็ม
คนที่ควรได้รับเสียงชื่นชมมากที่สุดใน “ฮาวทูทิ้ง” ก็คือ ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง ในบท “จีน” ที่เห็นได้ชัดถึงการก้าวกระโดดของฝีมือการแสดง เป็นบทที่น่าเครียดมาก ไม่มีฉากไหนที่จะดูสบาย ๆ เลย เพราะเต๋อก็เลือกเล่นยาก เพราะหลาย ๆ ฉากเต๋อก็เลือกที่จะให้นักแสดงสื่ออารมณ์ความรู้สึกผ่านสายตาและสีหน้ามากกว่าคำพูด ฉากดราม่าเยอะมาก มีทั้งที่ต้องระเบิดอารมณ์ใส่กัน และแบบที่ยืนจ้องหน้ากันเงียบ ๆ แต่ต้องสื่ออารมณ์ให้ถึงคนดูให้ได้ ซึ่งออกแบบก็เอาอยู่ในทุกฉาก แล้วเล่นแบบไม่ห่วงสวยเลย ซันนี่ ในบท”เอ็ม” ออกมาไม่กี่นาทีเลย มาในมาดขรึม ๆ พูดน้อย แต่รู้สึกขัดตากับเคราของเอ็มมาก ดูหรอมแหรมไงไม่รู้
ชอบการแคสติ้งที่ใส่ใจในการเลือกคนมาเล่นเป็นพ่อแม่พี่น้องที่ดูมีความละม้ายเป็นไปได้ กับการเลือก อาภาศิริ นิติพน มาเป็นแม่ของจีน และ ถิรวัฒน์ โงสว่าง รับบท เจย์ มาเป็นพี่ชายของจีน ทั้งสามคนมีโครงหน้าเหลี่ยม กรามชัดเจนมาก ดูแล้วเชื่อว่าเนี่ย “แม่ลูก” กัน อาภาศิริ โผล่มาแค่สองฉาก แต่ทั้งสองฉากที่เธอโผล่มานี่ จัดหนัก จัดเต็ม ได้อย่างน่าชื่นชม โชว์ศักดิ์ศรีนักแสดงรุ่นเก่า แม้หนังจะไม่มีฉากกิมมิคอย่าง “ไปค่ะ พี่สุชาติ” ให้ถูกพูดถึงอย่าง “ฟรีแลนซ์” แต่ฉากโชว์ฝีมือของอาภาศิริก็สมควรได้รับการจดจำจากเรื่องนี้
อาภาศิริ นิติพน หายจากหน้าจอไปนานมาก
ถิรวัฒน์ โงสว่าง และ ษริกา สารทศิลป์ศุภา ในบท “มี่” สองรายนี้ผมไม่คุ้นหน้ามาก่อน แต่ก็อยากชื่นชมว่าแสดงได้ดีมากดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องย้อนไปชื่นชมที่ตัวผู้กำกับ “เต๋อ” ที่รักษาลายเซ็นตรงนี้ไว้ได้ชัดเจน ผมมักจะทึ่งกับการถ่ายทอดการแสดงที่ดูเป็นธรรมชาติจากบรรดานักแสดงในหนังของเต๋อ บทสนทนา การแสดงออก ที่ไร้ซึ่งการประดิดประดอย ให้ความรู้สึกเหมือนได้ดูสารคดีชีวิตคนจริง ๆ ไม่เหมือนว่ากำลังดูหนังที่สื่อผ่านการแสดงอยู่เลย อีกเรื่องที่อยากพูดถึง คือการรีโนเวตบ้านที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราว ไม่ใช่แค่หยิบเรื่องการทิ้งของเก่า แล้ว Move On มาเป็นประเด็นตั้งต้นเฉย ๆ แต่รีโนเวตให้ดูจริง จากบ้านเก่า ๆ โทรม ๆ ทำออกมาแล้วสวย โล่ง สว่าง น่าอยู่จริง
สุดท้ายก็อยากจะชมเต๋ออีกในเรื่องการหยิบแง่มุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตมาขยายความได้น่าสนใจ อย่างเรื่องนี้ก็คือ “ของเก่า” ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมนุษย์เราทุกคน ที่หลายคนมักจะผูกพันแล้วเก็บรักษามันไว้ จะด้วยเหตุผลมากมายทั้งความเสียดาย เป็นตัวแทนความทรงจำดี ๆ แค่จุดเล็ก ๆ เนี่ย เต๋อสามารถหยิบแง่มุมต่าง ๆ ของ “ของเก่า” มาขยายได้มากมาย มันอาจจะเป็นของไร้ค่าสำหรับบางคน แต่ขณะเดียวกันกลับเป็นของมีค่าที่ประเมินค่าไม่ได้กับอีกคน หรือมองในอีกมุมที่จีนตีความว่าของเก่าเปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่เหนี่ยวรั้งชีวิต ถ้าปล่อยวางตัดทิ้งได้ ชีวิตก็จะ “Move On” ไปข้างหน้าได้ เช่นเดียวกับที่เธอทำกับเอ็ม ซึ่งการตัดทิ้ง หรือปล่อยวาง บางครั้งก็มีเส้นบาง ๆ คั่นไว้กับ “ความเห็นแก่ตัว” อย่างที่เพื่อน ๆ และเอ็มต่างก็ใช้คำนี้มาตำหนิจีน
การแสดงที่น่าจดจำของ ออกแบบ ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง
อีกจุดที่ชอบคือการตีความ “คำขอโทษ” ที่เต๋อนิยามมันผ่านมุมมองที่แตกต่างไว้ในเรื่องนี้ ว่าบางครั้งการกล่าวคำขอโทษ ไม่ใช่เพื่อให้คนฟังรู้สึกดีแล้วยกโทษให้ แต่บางครั้งคำขอโทษก็ถูกใช้เพื่อประโยชน์ของผู้กล่าว ที่อยากจะใช้ “คำขอโทษ” เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิดของตัวเองซะ แล้วก้าวต่อไป เปรียบเหมือนกับการโยนความรู้สึก ความทรงจำ กลับไปที่คู่กรณีให้แบกรับมันเพียงลำพังต่อไป