รีวิวหนัง เมอเด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ หนังไทยแนวสืบสวน
สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกคน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อน ๆ คนไหนที่เป็นสมาชิกของแอพสตรีมมิ่งอับดับหนึ่ง Netflix ก็คงจะได้สัมผัสประสบการณ์การดูหนังไทยเรื่องใหม่ที่มีชื่อเรื่องว่า The Murderer เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ
อ่านรีวิวจบแล้วเชิญทุกท่านรับชม เมอร์เด้อเหรอ หนังไทยNETFLIX แบบเต็มเรื่องได้ที่ doonungvip.com
ซึ่งทุกๆ คน อาจจะกังวลว่ามันเป็นภาพยนตร์อาชญากรรมอย่างแท้จริงหรือไม่ และบางคนก็อาจยังไม่ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ หรือยังไม่มั่นใจว่าควรดูหรือไม่ ในวันนี้เราจะมาเสนอรีวิวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ให้คุณฟังกันค่ะ
The Murderer เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ จาก Netflix เป็นหนังไทยที่มีความจริง และความเข้มข้นในตัวเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้กำกับ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เป็นผู้ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์สักเท่าไหร่
ตัวเขาเองจึงตัดสินใจทำลงสตรีมมิ่ง ด้วยการเขียนบทหนังอย่างเรื่อง DEEP แต่ผลงานเรื่องนี้ออกมาแย่มาก
จากนั้นเขาได้ทำ The Whole Truth ซึ่งดีขึ้นเล็กน้อย ต่อมาเขาตัดสินใจทำหนังแนวตลกไทย
และคิดว่าอาจจะดีกว่าถ้าทำหนังลงโรงภาพยนตร์เพื่อเก็บเงินค่าตั๋ว แต่เขากลับพบว่ายากกว่าที่จะได้ผ่านนายทุนได้ เพราะไอเดียคอนเซ็ปต์หลายๆ อย่างที่มีความแปลกเกินไปจริงๆ
โดยเนื้อหาเรื่องนี้ มีความน่าดู เหมือนตัวอย่างในวีดีโออย่างแรกตั้งแต่ต้น ด้วยไอเดียที่สร้างความสนุกสนาน และน่าสนใจในแบบ ของแนวคาแรคเตอร์อีสานไทย
ซึ่งไม่เคยมีภาพยนตร์ ที่ไหนปรากฏมาก่อน ใครก็ตามที่ดูในช่วงแรกย่อมต้องมีความสนุกขี้นอย่างแทบจะทุกคน ที่เรื่องหยิบเรื่องเหล่านี้มารับชม
สิ่งเหล่านี้เช่น รอยสักไทย หรือมวยไทยตามแบบผู้ที่ชื่นชอบมวยไทย อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความเป็ยไทย เรื่องเงินหรือทองเท่าไหร่ก็ตามว่า งานฝีมือดีจนเป็นที่สุด
และคนไทยที่ดู ก็ต้องรู้ทั้งหมดเพราะไอเดียเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่เราเห็นตลอดเวลา แต่หนังเรื่องนี้ใช้ไอเดียเหล่านั้น ทำให้เกิดเรื่องราวที่น่าประทับใจ และตื่นเต้นกับสิ่งที่เป็นที่จับตามองดูได้อย่างชัดเจน
เรื่องย่อ เมอเด้อเหรอ
เมอร์เด้อเหรอ เรื่องย่อ หนังเริ่มต้นด้วยการฆาตกรรม 7 ศพในคืนเดียว ที่เกิดขึ้นในฉากเดียวกัน
แต่วิธีการเล่าเรื่องใช้การสืบสวนของสารวัตร หม่ำ จ๊กมก ซึ่งมีอคติเสี่ยงเข่าฝรั่งแต่งงานกับคนอีสานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
วิธีการเล่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องมีความเร็ว และน่าติดตามมากโดยใช้ขั้นตอนในการสืบสวนพยานแต่ละคน หลักฐาน และเอกสารพัดที่พบมาเป็นตัวฉาก
และไม่เล่าเรื่องตามลำดับ ย้อนกลับไปกลับมาในการสอบสวน โดยทุกคนจะมีซีนที่เป็นของตัวเอง
บางครั้งอาจตัดฉาก ที่เล่าเรื่องให้เข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์สมมุติ แต่สุดท้ายผู้ชมจะต้องประเมินหาว่าสิ่งใดเป็นเรื่องจริงว่าจะเชื่อหรือไม่
ซึ่งนี่คือแนวทางในการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ของหนังไทยมันไม่ใหม่สำหรับคนที่ชอบดูหนังสืบสวนแฟนตาซีแปลกๆแบบนี้
แต่ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะใช้รูปแบบนี้ซ้ำ แต่เนื่องจากเป็นหนังไทยที่พูดอีสานเป็นหลัก ฝรั่งเป็นรอง และภาษากลางก็มีบ้าง พร้อมกับเหตุการณ์วุ่นวายแบบอีสานบ้านนา บวกฆาตกรรม 7 ศพ ทำให้เรื่องราวที่เล่ามาดูน่าติดตามมากยิ่งขึ้น
การดำเนินเรื่อง เมอร์เด้อเหรอ
และในหนังเรื่องนี้ ก็มีความสนุกสนใจตั้งแต่ต้นเรื่องด้วยไอเดียตลกในอีสานไทยที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้จะมีหนังไทยตลกพื้นบ้านฉายออกมาก่อนแล้ว
เมื่อดูช่วงแรกนั้นทำให้เราหัวเราะไปทุกครั้งที่มีสิ่งตลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ปรากฏขึ้น อย่างเช่น สักลายมวยไทยติด และชอบมวยไทย
การสักตัวของคนไทยต่ออาหาร ที่อร่อยและคล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่คำพูดและพฤติกรรมของฝรั่งเกี่ยวกับเรื่องเงินและทอง ฉะนั้นคนที่ได้ดูเรื่องนี้จะต้องรู้สึกความสนุกตามมุกทุกตัวที่มีในเรื่องเนื่องจาก ไอเดียด้านบนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วไป แต่ในกรณีนี้นำมาใช้เพื่อเล่าเรื่องให้น่าสะดุดตามได้อย่างเต็มที่
โดยที่หนังเรื่องนี้เล่าถึงการวางพล็อตเรื่อง เป็นเหตุที่ทำให้ ผกก.วิศิษฏ์ ตัดสินใจนำเสนอด้านภาพที่เขาถนัด
ในหนังมีการเล่นสีสันสไตล์จัดจ้าน โดยใช้สีขั้วเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม โดยผลงานนี้มีความดำเนินเนื้อเรื่องคล้ายกับหนังเรื่อง ฟ้าทะลายโจร
แต่ดูโบราณมากกว่าหนังเรื่อง “หมานคร” แน่นอนว่าผลงานเหล่านี้เป็นผลงานชั้นนำระดับโลกของผู้กำกับ วิศิษฏ์ทั้งหมด
และเมื่อมีนักแสดงหน้าตลกยอดเยี่ยมของไทยอย่าง พี่หม่ำ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ร่วมงานเข้ามา
ก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์กับผลงานการกำกับของหม่ำที่มีสีสันอีสานโดดเด่นเช่น “แหยม ยโสธร”
โดยผู้ชมจะรับรู้ได้ว่าหนังนี้ต้องมีความขบขัน แต่เมื่อรับชมแล้วจะพบว่าหนังยังคงเล่าเรื่องอย่างจริงจังในครึ่งแรก ทำให้ผู้ชมอยากรู้คำตอบว่าเนื้อเรื่องจะไปในทิศทางไหน
ดังนั้นเมื่อเรื่องมีความซับซ้อน ผกก.วิศิษฏ์ จึงพยายามใช้การเรียบเรียงที่ไม่ทำให้สับสนมากเกินไป หมายความว่า
ตัวเรื่องอาจจะมีการเล่าเนื้อหาโดยการเปลี่ยนแปลงคำศัพท์และผลัดกัน แต่เนื้อหาจะยังคงเดินไปตามลำดับของเหตุการณ์
จนกระทั่งมีการทวนเหตุการณ์อีกครั้งในส่วนสุดท้ายของเรื่องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องที่กล่าวถึงถือเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนที่น่าสนใจ แต่ไม่ยากเกินไป โดยยังสามารถเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ความรู้สึกหลังรับชม เมอร์เด้อเหรอ
ส่วนตัวเราที่ได้รับชมหนังเรื่องนี้แล้วนั้น คิดว่าภาพรวมของเหล่าดาราในเรื่องนี้เล่นได้ดีกว่าทุกเรื่องที่ดูมาใน Netflix
โดยเฉพาะเรื่องของ เจมส์ ลีฟเวอร์ ที่ไม่มีความจำ แต่เครดิตบอกว่าเขาเคยเล่นใน Netflix และเล่นในหลายเรื่องของโลก ในเรื่องนี้เขากลายเป็นเขยอีสานที่อยากช่วยเพื่อนแฟนและพ่อแม่ แต่เขาไม่รวยและมีความคิดอคติตลอดเรื่อง
ในบทของเขา ที่แสดงเป็นตำรวจที่อคติได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ชมจะได้เกิดความสนุกกับรอยแผลที่อยู่ตรงปากทุกครั้งที่หนังฉาย
แต่บทของเขาไม่ชัดเจนมากนัก (เพราะว่าเรื่องราวมีลักษณะคนย้อนอดีตหลายตัวละคร) แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือนางเอกที่แสดงโดยอิษยา ฮอสุวรรณ (เกรซจากหนังฉลาด เกม โกง) ที่สวยน่ารักทุกฉาก
และบทที่เล่นเข้ากับรูปร่างและหน้าตาของเธอ ซึ่งเธอคือตัวดึงให้ผู้ชมติดตามเรื่องที่ดีกว่าเขยอีสานตัวเอกซึ่งเป็นคนร่างกายเธออย่างเดียว
จุดเด่นและจุดด้อยของหนัง
ก่อนอื่นผู้เราต้องขอชื่นชมทีมแคสนักแสดงของภาพยนตร์ ที่สามารถแสดงบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยมเลยค่ะ
โดยเฉพาะนักแสดงหลักที่ เล่นเป็นตัวละครเด็กที่สดใสออกมาได้ดีมากๆ โดยมีการเล่นบทที่น้องต้องเล่นคู่กับนักแสดงหลักที่เรียกว่าพี่หม่ำซึ่งทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นมากๆ
เพราะยิ่งพี่หม่ำสอบสวนน้องแสดง นั้นเราจะรู้สึกว่าทั้งคู่มีความลึกซึ้งอยู่ในใจ งานแสดงของทั้งคู่เป็นอย่างดีที่ไม่ค่อยพบในภาพยนตร์ไทยบ่อย ๆ
จุดเด่นภาพยนตร์ เมอร์เด้อเหรอ น่าสนใจมากๆ เพราะเรื่องราวของหนังดึงดูดใจมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคมความทุกอย่างให้จบแบบที่ไม่มีคำถามค้างอยู่ ซึ่งเป็นลายเซ็นของผู้กำกับอยู่แล้ว
และสำคัญที่สุดคือความเรียบง่าย ในการเรียบเรียงและเล่าเรื่องของหนังนี้ที่ถูกคิดโดยดีแล้ว ซึ่งหลังจากดูเราจะไม่เจองานระดับนี้ในภาพยนตร์ไทยเท่าไหร่นัก
หากพูดถึงความละเอียด ของทีมผู้สร้างหนังที่ดีมาก ๆ ตั้งแต่คอสตูม ชุดของจูน และการเสียดสีเกี่ยวกับเมียฝรั่ง ผู้หญิงที่ทำงานที่บาร์ เราคิกว่าหนังเรื่องนี้ไม่พูดถึง มากจนเกินไปค่ะ
ส่วนทางด้าน จุดด้อยเกี่ยวกับหนัง ซึ่งเริ่มต้นด้วยเรื่องตลกแต่ที่สิ้นสุดเป็นเรื่องสืบสวนฆาตกรรม มีประเด็นที่ทำให้ผู้ชมสงสัยว่าฆาตกรคือใครและศพตายได้อย่างไร ส่วนนี้เป็นเรื่องสำคัญมากในการสื่อสารหนัง
แต่กลับไม่มีการเฉลยที่น่าตื่นเต้นตามมา การเล่าเรื่องยาวและเปิดเผยทั้งหมดฉบับเต็ม ทำให้ผู้ชมประทับใจอย่างมาก
ซึ่งเป็นคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียน ซึ่งภาพรวมของหนัง มีคนหลายคนที่ไม่ชอบการพลิกสุดขั้วแบบนี้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังทำให้เรื่องดู ไม่สมเหตุผลมากขึ้น เหมือนหนังอินเดียที่พลิกตอนจบโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนทั้งหมด
รีวิวหนัง The Murderer เมอร์เด้อเหรอ ภาพยนตร์เว้าอีสานเรื่องแรกจาก Netflix
สำหรับหนังเรื่องนี้ น่าจะถูกชื่นชมเพราะได้กระตุ้นความรู้สึกของผู้ชม ให้สนุกสนานอย่างมากภายในแนวหนัง นอกจากนี้ยังมีการเล่นแบบดราม่าที่น่าเชื่อถือจากนักแสดงอุ้ม อิษยา ฮอสุวรรณ ในบทของทราย พยานที่เป็นเมียฝรั่ง เอี้ยง สวนีย์ อุทุมมา
ในบทของพยานคนที่ 2 เป็นแม่ของทรายที่มาแบบไม่เด่นมาก แต่สามารถประคองทุกคนให้เข้าร่องได้อย่างดี และชนันทิชา ชัยภา ในบทของจูน ตัวหลักในเรื่องราว
พยานเด็กคนสุดท้ายที่เล่นหน้าเล่นตาได้น่ารักน่าชัง นอกจากนี้ยังมีนักแสดงสายละครเวทีเช่นเจมส์ เลเวอร์ ในบทของเอิร์ล เป็นเขยฝรั่งสามีของทรายและผู้ต้องสงสัยหลักที่ทำให้เรารู้สึกสับสนว่าเขาน่าสงสารหรือน่ากลัวกันแน่
หนังเรื่องนี้ใช้ตัวละครหม่ำ เป็นตัวแทนในการค้นหาความจริงแทนผู้ชม ผู้ชมรู้สึกงุนงงและได้เข้าใจอารมณ์ของหม่ำได้ง่าย
เพราะมีการเข้าถึงง่ายและความสนใจคุ้นเคยกับตัวละครหม่ำ เราสามารถเห็นได้ว่าหนังเรื่องนี้ใช้กลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นผู้ชมในหลายวิธี
จุดที่สามารถพูดคำวิจารณ์เกี่ยวกับหนังได้ที่ไม่ใช่เรื่องหลักของเรื่องราวที่มุก นอกจากนี้ยังมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับการถ่ายภาพในกราฟฟิกแสดงอารมณ์ของภาพ เช่น
การเล่นสีที่ไม่เนียนตาในบางฉาก ชาววิจารณ์ยากที่จะกล่าวว่ามันเป็นความจงใจที่จะทำให้ดูดิบเหมือนหนังโบราณหรือไม่ แต่ถ้าทำให้เนียบเป็นไปตามสมัยก็น่าจะดี
สรุปโดยรวม
โดยสรุปแล้วหนัง ฆาตกรรมอิหยังวะ ก็คือหนังไทยที่สร้างโดยผู้กำกับให้ฉายกับ Original Netflix คือคุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เป็นหนังที่ดีกว่าเรื่องก่อนอย่างมาก
แต่ยังมีปัญหาเดิมๆ เกี่ยวกับเรื่องบทที่แปลกๆ ซึ่งไม่ลงตัวจนทำให้ไม่สามารถพูดถึงว่าเป็นหนังที่ดีได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังมีความสนุกในการเล่าเรื่องที่มีความแปลกๆ
และไอเดียจิกกัดของ คนอีสานที่ยังค่อนข้างจะต้อง ยิ้มได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นขอแนะนำให้คนดูได้ แต่ก็อย่าคาดหวังมากเกินไปก็พอค่ะ เพราะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ หนังสไตล์แบบนี้
ทีมงานกระซิบมาว่า เห็นหนังสีสดๆแบบนี้แล้วกลับทำให้นึกถึง หนังผีโมโนโทน The Medium ร่างทรง ถึงแม้สีสันของฟิล์มหนังจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ความน่ากลัวระดับ 10 กระโหลก ยังทำให้ใครหลายคนบอกว่า จนถึงวันนี้ยังไม่กล้าเข้านอนคนเดียว