Author Archives: Jack

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ The Edge of Daybreak หนังไทยที่ได้รับรางวัล

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ The Edge of Daybreak หนังไทยที่ได้รับรางวัล

รีวิวหนังไทยย้อนยุค  จะมา รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาทางการเมือง 2549 ที่ พลอย และลูกของเธอ เขากำลังใช้ช่วงเวลาเป็นคืนสุดท้ายกับ ปาล สามีซึ่งเป็นนักการเมือง ก่อนที่เขาจะเดินทางลี้ภัยตามคำสั่งคณะรัฐประหารไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา ติดตามรับชมกันได้เลย ที่ เว็บดูหนังเถื่อน

เนื้อเรื่องของหนัง

เหตุการณ์เรื่องราวของภาพยนตร์ พญาโศกพิโยคค่ำ  เป็นการเอารูปจากปี  2516 ตอนที่ พลอย อายุเพียง 9 ขวบเท่านั้น กำลังป่วยเข้าขั้นโคม่า ปราสาท ผู้เป็นพ่อหายตัวไปอย่างไร้วี่แวว ส่วน ไพลิน แม่ของเธอที่เพิ่งฟื้นตัวจากการรักษาอาการป่วยทางจิต กลับมาพบกับหมอประจำตระกูลอีกครั้ง เกิดเป็นรักในความลับที่ชวนเสน่หา

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ The Edge of Daybreak หนังไทยที่ได้รับรางวัล

เมื่อสุริยุปราคาได้เข้ามาบดบังจนทุกสิ่งอย่างมันมืดดำ เรื่องราวบางอย่างก็เปลี่ยนแปลง เงาสุริยุปราคานั้นได้กลืนกินหมอให้หายไป และคายปราสาทที่หายตัวไปให้กลับมา บาดแผลจากอดีต ก่อตัวขึ้นเป็นความมืดมิดภายในใจ ห้วงเวลาที่สุริยุปราคาพาทุกอย่างให้หยุดนิ่งไป ชะตากรรมและอนาคตของครอบครัวนี้ ถูกครอบงำไว้ด้วยความรุนแรงและความหวาดกลัว ไม่มีใครรู้ว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ THEEDGE OF DAYBREAK หนังดี

ปี 2564 น่าจะเป็นปีที่ ไทยดูห่างหายไปเยอะเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ในสายการประกวดนานาชาติแล้วหนังไทยก็ยังคงไม่ได้ห่างหายไปตามจำนวนการสร้างที่ลดลง และ ‘พญาโศกพิโยคค่ำ (The Edge of Daybreak)’ ของ ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์

พญาโศกพิโยคค่ำ HDมาสเตอร์  เป็นหนังไทยเรื่องล่าสุดที่ไปคว้ารางวัล FIPRESCI Prize จากเวที International Film Festival Rotterdam 2021 (IFFR) จากประเทศเนเธอร์แลนด์มาได้สำเร็จ ในสายประกวด Tiger Awards Competition

หนังเรื่องนี้ได้ทำมาเลียนแบบ หนังเรื่อง ‘Wonderful Town เมืองเหงาซ่อนรัก’ (2550) ‘Mundane History เจ้านกกระจอก’ (2552) ‘Eternity ที่รัก’ (2554) และ ‘Vanishing Point’ (2558) ซึ่งเราคงเห็นได้ว่านี่คือตระกูลหนังที่ไม่ได้เน้นเรื่องของการขายวงกว้าง แต่เป็นหนังที่เน้นการถ่ายทอดตัวตนของผู้สร้างและบูชาความเป็นศิลปะในภาพยนตร์เสียมากกว่า

THEEDGE OF DAYBREAK หนังเอเชีย

อย่างเช่นเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ นั้น เล่าถึงการเมืองเรื่องภายนอกบ้าน ที่กัดกินจิตใจของหญิงสาว 3 รุ่นในครอบครัวนี้ บ้านเมืองที่เขาบอกว่ามันเป็นประชาธิปไตย แต่หลายครั้งหลายหนมันกลับอยู่ในคราบของเผด็จการ ทั้งยังถูกฝังกลบไม่ให้คนไทยส่วนใหญ่ได้จดจำ บ้านนี้เมืองนี้กลายเป็นเศษซากที่เน่าเปื่อยผุพัง รอวันชำระล้าง

เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องที่สุดยอดมากเพราะได้ไปโชว์บนเวทีโลกเมื่อช่วงต้นปีนี้ก็คือ “The Edge of Daybreak” ต้องเรียกว่าเป็นหนังนอกกระแสที่ชือไทยๆ คือ “พญาโศกพิโยคค่ำ” ผลงานของผู้กำกับ “ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์” ที่ได้ไปเทศกาลหนังร็อตเตอร์ดัม 2021 ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่จัดขึ้นครบรอบ 50 ปีในปีนี้ โดยหนังเรื่องนี้ได้รับโอกาสไปเปิดตัวฉายเป็นรอบปฐมทัศน์โลก และยังมีชื่อติดเข้าประกวดในสาย Tiger Competition เพื่อลุ้น “ไทเกอร์ อวอร์ดส์” และล่าสุดผลรางวัลก็ได้ประกาศออกมาแล้ว

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ The Edge of Daybreak หนังไทยที่ได้รับรางวัล

The Edge of Daybreak Pantip  เป็นผลงานยอดเยี่ยม ซึ่งได้รับรางวัล FIPRESCI Award จากเทศกาลหนังร็อตเตอร์ดัม 2021 โดยรางวัลดังกล่าวเป็นเสียงโหวตและคะแนนความนิยมจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์จากทั่วโลก นั่นเท่ากับว่าบรรดาตัวแทนนักวิจารณ์จากที่ต่างๆ รู้สึกประทับใจและชื่นชมในผลงานหนังไทยเรื่องนี้ และได้เทใจเทคะแนนให้ ก่อนมอบรางวัลนี้ให้ เพื่อการสนับสนุนผลงานในฐานะหนังคุณภาพที่ควรค่าแก่นำไปพัฒนาต่อ

เรื่องราวปัญหาภายในสังคมและครอบครัว

โดยรวมๆแล้วในงานเทศกาลหนังร็อตเตอร์ดัมที่จะเกิดขึ้นนี้ เป็นการจัดงานณูปแบบออนไลน์ทั้งหมด และในงานประกาศผลรางวัลก็จัดขึ้นในรูปแบบสตรีมมิ่งเช่นเดียวกัน โดยรางวัลใหญ่ ไทเกอร์ อวอร์ดส์ ปีนี้ตกเป็นของ “Pebbles” หนังดราม่าเรื่องเล็กๆ จากทีมผู้สร้างหนังชาวอินเดีย ขณะที่ “The Dog Who Wouldn’t Be Quiet” หนังจากประเทศชิลี คว้ารางวัลใหญ่ในหมวด Big Screen Competition

ทั้งนี้ เรื่องย่อ พญาโศกพิโยคค่ำ นับว่าเป็นหนังไทยเรื่องแรกเลยที่ได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีระดับโลก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีหนังไทยนอกกระแสหลายๆ เรื่องคว้ารางวัลมาครองได้สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น “Vanishing Point” ของผู้กำกับ “เก่ง จักรวาล” หรือ “Wonderful Town” ของ “อาทิตย์ อัสสรัตน์”

พญาโศกพิโยคค่ำ เป็นหนังที่ดีมากเกี่ยวกับ ปัญหาของครอบครัวที่ประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากการประท้วงในอดีต และเหตุการณืได้ต่อเนื่องมาจนถึงเหตุรัฐประหารปี 2006 ที่กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ทุกคนล้วนแต่มีจิตใจที่บอบช้ำจากการเจริญเติบโตกับเหตุการณ์ต่างๆ นำแสดงโดย “โดนัท มนัสนันท์”, “ชลัฏ ณ สงขลา” และ “สุนิดา รัตนากร” ขณะนี้ยังไม่มีกำหนดเข้าฉายเมืองไทยแต่อย่างใด

แนะนำให้ลองรับชมดูนะครับเผื่อจะชอบ

ได้เห็นจากข่าวแล้วเราจะรู้ได้ว่า The Edge of Daybreak ดูฟรี หรือ พญาโศกพิโยคค่ำ เป็นหนังอีกเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนดูและได้รับความนิยมจากคนดูในเทศกาลหนังร็อตเตอร์ดัมประจำปีนี้ แต่น่าเสียดายที่หนังไม่สามารถคว้ารางวัลใหญ่ ไทเกอร์ อวอร์ดส์ กลับมาเชยชมที่เมืองไทยได้ แต่อย่างน้อยหนังก็ยังได้อีกหนึ่งรางวัลติดมือกลับบ้านได้อยู่

หนังได้ทำการเล่าเรื่อง สลับกันไปมา น่าสนใจมากๆ แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนหนังเรื่องอื่นคือ งานภาพที่เปลี่ยนเป็นสีขาวดำทั้งหมด ทำให้แม้แต่เลือดก็มองเห็นเป็นเพียงน้ำสีดำ แต่เพราะดนตรีประกอบนี่แหละที่ส่งเสริมให้ภาพต่าง ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ The Edge of Daybreak หนังไทยที่ได้รับรางวัล

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือ เป็นหนังที่ไม่มีสีเลยสักนิด นัยยะของมันคือหนังงานศพดี ๆ นี่เอง ให้อารมณ์เหมือนจะไว้อาลัยให้กับการจากไปของบางสิ่ง เมื่อรวมกับดนตรีประกอบที่ใช้เครื่องดนตรีสองสามอย่างเล่นไม่เชิงเป็นทำนอง แต่ระคายหูสั่นเครือ เจือความเศร้าและปวดร้าวอยู่ข้างใน

นี่คือหนัง The Edge of Daybreak เต็มเรื่อง  ที่มีความยาวๆมากเรื่องแรกของผู้กำกับคนนี้  เขาได้สร้างหนังออกมาแนวศิลปะในแกลเลอรี่ ภาพทุกช็อต รวมเข้ากับดนตรีประกอบ สามารถวางตัวเป็นงานศิลป์ในแกลเลอรี่ได้ทั้งหมด เป็นส่วนที่ต้องใช้ความคิดในการตีความ ซึ่งก็ต้องอาศัยทั้งเวลาและประสบการณ์ของผู้ชม

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง

ตัวละครทุกคนในเรื่องนี้ แสดงได้ดีมากๆเลยทีเดียว แต่ที่โดดเด่นสุดก็เป็นโดนัทที่แสดงทั้งสีหน้า แววตา ของคนที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยทางจิตใจ ของคนที่เฝ้ารอคอยสามีมาตลอด ของคนที่เหงา ว่างเปล่า และรู้สึกผิด เธอทำได้ดีอย่างน่าทึ่งในฉากที่ต้องพูดไดอะล็อกยาว ๆ

จะเรียกว่า The Edge of Daybreak รีวิว บางคนคิดว่าเป็นภาพยนตร์ที่ค่อนข้างจะดูยาก ผมคิดว่าอยู่ที่คนชอบนะ  เพราะว่าหลายๆฉากที่ชวนสงสัยว่า เขากำลังสื่อสารอะไร บางช่วงอาจพางุนงงในทีแรก ก่อนที่เรื่องราวจะถูกบอกเล่าจนเค้าลางบางอย่างมันชัดเจนขึ้น แต่ก็คงไม่แปลก ถ้าดูในครั้งแรกแล้วพบความไม่เข้าใจในหลายจุด จนอาจจะต้องใช้การพูดคุยสนทนาหาข้อมูล แล้วกลับไปดูซ้ำใหม่ซึ่งก็ย่อมจะเข้าใจได้มากขึ้น

รีวิว พญาโศกพิโยคค่ำ The Edge of Daybreak หนังไทยที่ได้รับรางวัล

สิ่งที่ชอบและชื่นชมก็คือ งานองค์ประกอบภาพที่ผสานกับงานดนตรีประกอบ ต่างส่งเสริมกันให้  ออกมาดูทรงพลัง แม้จะยังตีความได้ไม่ครบนัก เป็นงานหนังที่มีความเป็นศิลปะอยู่สูง แต่ก็เป็นกลิ่นใหม่ ๆ ที่นายแพทได้พาตัวเองเข้าไปพบ และก็หวังว่าใครหลายคนที่ได้อ่านบทรีวิวนี้จะได้ลองเปิดใจพาตัวเองเข้าไปพบเจอบ้าง สนใจติดตามรับชมหนังเรื่องอื่น ได้ที่ บอดี้ ศพ19

ชื่อภาพยนตร์ พญาโศกพิโยคค่ำ / The Edge of Daybreak
ผู้กำกับ ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์/Taiki Sakpisit
ผู้เขียนบท ไทกิ ศักดิ์พิสิษฐ์/Taiki Sakpisit
นักแสดง มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล, ชลัฏ ณ สงขลา, สุนิดา รัตนากร, ชมัยภร แสงกระจ่าง
แนว/ประเภท Drama, History
เรท
ความยาว 114 นาที
ปี 2021
เข้าฉายในไทย 16 ธันวาคม 2021
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย 185 Films, Common Move, White Light, FahFuenFactory, SAC Gallery, Purin Pictures
The Edge of Daybreak

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

วันนี้จะมาแนะนำ รีวิวหนังไทยnetflix เรื่อง บอดี้ ศพ#19 หนังไทยแนว ระทึกขวัญ หนังผี สยองขวัญ จิตวิทยา หักมุม  ของค่าย GTH โดยผู้กำกับ ปวีณ ภูริจิตปัญญา ที่เขียนบทของ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุลเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ และ ปวีณ ภูริจิตปัญญา  รีวิว บอดี้ ศพ19  เป็น เว็บดูหนังเถื่อน ที่ยังไม่ค่อยมีค่ายไหนที่ใจกล้าสร้างหนังแนวนี้ หนังอาจจะไม่ได้รู้จักในวงกว้างสำหรับคนไทย แต่สำหรับหลายคนที่ชอบหนังแนวที่เป็น mystery psychology หรือเรื่องราวแนวระทึกขวัญ หักมุมที่เรามักจะได้เห็นในหนังต่างประเทศ อยากให้ลองเปิดใจให้กับบอดี้ ศพ19 รับรองว่ากระพริบตาไม่ได้แม้แต่ฉากเดียว

รีวิว บอดี้ ศพ19 เรื่องนี้ แบ่งออกเป็นสองมุมดีกว่า ได้แก่

มุมของชลสิทธิ์

   ชลสิทธิ์ (เป้ อารักษ์) อยู่สองคนพี่ที่ชื่อเอ๋ พี่ก็ดูจะเป็นห่วงเน้องชาย อย่าง ชลสิทธิ์ที่ ชอบฝันเห็นการฆ่าอยู่เสมอ ชลสิทธิ์ไปสืบจนรู้ว่า ผีที่ตัวเองเห็นชื่อ ดาราราย แล้วต้องการขอความช่วยเหลือ ชลสิทธิ์ได้ไปผ่ากุ้ง แล้วมีดบาด เลยไปหาหมอจิ๊บ หมอจิ๊บบอกให้ชลสิทธิ์ไปหาหมออุษา แต่หมออุษาก็ไม่บอกอะไร นอกจากให้กลับไปก่อน ชลสิทธิ์เห็นว่า ผีดารารายไปฆ่าคนถึงสองคน

และสาเหตุของคนที่ตายเป็นคนที่ 1 ได้โดนลวดหนาดแทงและมีสัตว์สต๊าฟพุ่งออกมาเต็มไปหมด ส่วนอีกคนตายในทะเลเลือดที่เต็มไปด้วยกรด ชลสิทธิ์ตามหาพี่สาวไม่เจอ เลยมาตามดูในกระเป๋าที่ตัวเองเอามาแต่แรก แล้วพบว่า ฆาตรกรคือ หมอสุธีและหมอเป็นคนจับพี่สาวไป ในระหว่างฝันนั้น ตัวเองเห็นว่า ตัวเองกำลังฆ่าหั่นศพพี่สาวตัวเองอยู่

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

มุมความจริง

   เอ๋  (แป้ง อรจิรา) ได้แสดงเป็น ดาราราย ส่วนชลสิทธิ์ตายไปแล้วซึงเก็บใว้ในตู้เบอร์ 19 แล้วใครล่ะ คือ ชลสิทธิ์ คนๆนั้น คือ หมอสุธี  (ปลาย ปรเมศร์) หมอสุธีถูกสะกดจิตใว้โดย ดาราราย ทำให้ตัวเองคิดว่า เป็นชลสิทธิ์ และอยู่กับพี่สาวที่ชื่อ เอ๋ ส่วนจริงๆแล้ว หมออุษากับหมอจิ๊บรู้ว่า หมอสุธีสร้างโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมา

แต่หมออุษาเลือกที่จะปล่อยวาง อาจจะเพราะกำลังตั้งใจคิดอยู่ว่า จะรักษาสามีอย่างไรดี  หมอสุธีตัดสินใจฆ่าหั่นศพหมอดารารายเพราะว่า หมอจะเอาเรื่องความรักของทั้งสอง (เป็นชู้กัน) ไปเปิดเผย และฆ่าคนอีกสองคน ก่อนที่ตัวเองจะถูกจับ หมออุษาบอกความจริงหมอสุธี ส่วนหมอสุธิในคราบชลสิทธิ์ตกใจมาก

และกำลังจะหันไปมองอุษาเห็นเป็นผีดาราราย เลยตัดสินใจแทงเข้าไป แต่หมออุษาไม่ตาย  เรื่องราวต่อตรงว่า หมอดารารายสะกดจิตหมอสุธีบอกว่า ถ้าได้ยินเพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว แล้วต้องมนต์สะกด  พอถึงตอนจบ หมอก็หนีออกไปถูกแทง แต่หมอไม่ตาย (ฉากนี้ดูศิลปะมาก) แล้วดารารายก็ดีดนิ้ว บอกว่า ฉันอโหสิกรรม และถอนการสะกดจิต หมอร้องด้วยความเจ็บปวด

รีวิว บอดี้ ศพ19 เรื่องย่อ

ได้เล่าถึงเหตุการณ์ของ ชลสิทธิ์ (เป้ อารักษ์) นักศึกษาชายคนหนึ่งที่ได้พักอยู่กับพี่สาวชื่อ เอ๋ (แป้ง อรจิรา) ซึ่งเป็น วันหนึ่ง ชลสิทธิ์ ตื่นขึ้นมาในโรงละครที่กำลังทำการแสดงดนตรีอยู่แต่ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร เขาก็รีบเดินออกมาจากข้างนอก และเดินทางกลับบ้านทันที ตั้งแต่นั้นมา ชลสิทธิ์ มักจะฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมฆ่าหั่นศพหญิงสาวรายหนึ่งอยู่ตลอดเวลา

และเขายังคงฝันเห็นผี มาโดยตลอดและชอบพูดชื่อ ดาราราย ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ เขาอาการฝันร้ายของ ชลสิทธิ์ เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงถึงขั้นที่เขาไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิท จนสภาพร่างกายและจิตใจค่อยๆ แย่ลง แถมบางครั้งมันทำให้เขาเห็นภาพหลอนของผีตนนั้นที่คอยตามมาหลอกหลอนเขา จนกระทั่งเขาพลั้งมือบีบคอ เอ๋ จนเกือบตายเพราะคิดว่าเป็นผี

เอ๋ จึงขอให้เขาไปหาหมอเพื่อทำการรักษา เขาจึงได้ติดต่อขอเข้ารับการรักษากับ หมออุษา ตามคำแนะนำของ หมอจิ๊บ ที่ได้แนะนำให้กับเขาในวันที่เขาได้เข้าไปทำแผลที่โรงพยาบาลแต่หลังจากเข้าพบ หมออุษา เขาก็คิดว่าการรักษาไม่น่าจะได้ผล เขาจึงพยายามสืบหาต้นตอของฝันร้ายนั้นเองว่าผีตนนั้นต้องการอะไรจากเขา แล้วชื่อ ดาราราย ที่เขาได้ยินจากผีตนนั้นคือใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุฆาตกรรมที่เขาฝันถึงยิ่งสืบหาความจริง ความเจ็บปวดที่แสนสาหัสก็ยิ่งปรากฎ ความจริงนั้นคืออะไร ไปร่วมหาคำตอบกันนะฮะ

เนื้อเรื่อง

เรื่อง บอดี้ ศพ 19 HD เป็นหนังผี จิตวิทยา ระทึกขวัญสยองขวัญ และยัง หักมุม วางเนื้อเรื่องใว้ดี รูปแบบการนำเสนอก็ดี แทบจะเดาเรื่องไม่ออกเลยว่าเนื้อเรื่องจะเป็นแบบไหน CG (คอมพิวเตอร์กราฟิกส์) สวย เนียนดี  เริ่มเรื่องมาโดยใช้ CG (คอมพิวเตอร์กราฟิกส์) โดยเป็นภาพจากมุมสูงของเมืองลงตามท่อระบายน้ำและได้เจอแมวผีตัวนึง ที่กินเศษเนื้ออยู่ แล้วก็เริ่มเรื่องที่ชล (เป้ อารักษ์) ที่ตื่นมาอยู่ใน concert ที่มีเพลง “คิดถึงเธอทุกที ที่อยู่คนเดียว” ที่แพทกำลังร้องอยู่กับวงออเคสตร้า ฟังแล้วโหยหวนเหมือนโดนสะกด ชลลุกออกจาก Hall ไปกลางคันแล้วเค้าก็เจอเสื้อนอกถูกวางทิ้งไว้ เค้าหยิบมันกลับไปบ้านด้วย

ภาพเปิดเรื่องส่วนใหญ่ใช้ CG (คอมพิวเตอร์กราฟิกส์) หรือกล้องมุมสูง ดูสวย และลึกลับดี เมื่อถึงบ้านเค้าก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีใครหรืออะไรอยู่กับเค้าด้วย แล้วเค้าก็เห็นผีครั้งแรกจากในถุงขยะนั่นเอง  ชลเริ่มจะฝันเห็นฉากฆาตกรรมของผู้ชายคนนึงที่กำลังหั่นศพผู้หญิงอยู่ แต่เค้าไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

ซึ่งการแสดงในหนังบางตอนมีความคล้ายกับหนังเรื่อง saw เลยทีเดียวนะ  และหนังได้ตัดมาที่ หมออุษา (เข็ม ตีสิบ) กำลังรักษาเด็กคนหนึ่งซึ่งมีสร้างเพื่อนในจินตนาการของตนเองจนกระทั่ง ฆ่าหมาตาย ฉากนี้เราว่าประเด็นน่าจะอยู่ที่เพื่อนในจินตนาการที่เด็กสร้างขึ้นซึ่งจะเป็นตัวอธิบายเหตุผลในตอนสุดท้าย มากกว่าที่จะบอกถึงอาชีพของหมออุษาที่เป็นจิตแพทย์ มาที่หมอสุธี สามีหมออุษา กำลังถูกหมอจิ๊บ เพื่อนของหมออุษา ถามถึงเรื่องอาจารย์ดารารายที่หายตัวไป แต่สุธีกลับเงียบ ฉากนี้น่าจะเป็นประเด็นที่สงสัยกันว่าเป็นการกระตุ้นความทรงจำของหมอสุธี ชลกลับมาบ้านและทำกับข้าวอยู่กับเอ๋ (แป้ง อรจิรา) พี่สาวตนซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์

รีวิว บอดี้ ศพ19 (2007)

ตอนนั้นได้เห็นภาพหลอนจึงตกอยู่ในภวังค์ทำให้หั่นนิ้วตัวเองเข้าไป เอ๋จึงพาชลสิทธิ์ไปที่โรงพยาบาล ชลสิทธิ์จึงได้เจอหมอชื่อจิ๊บ พอเย็บแผลเสร็จหมอจิ๊บก็ทำการทดสอบสมองเบื้องต้น และถามชลว่าชื่อชลสิทธิ์ใช่ไหม ชลยืนยันว่าใช่และรู้สึกโกรธที่หมอหาว่าตนเองบ้า แต่หมอก็ยังฝากเบอร์โทรของหมออุษาไว้ให้ชล

ดูแรกๆอาจจะรู้สึกงงๆหน่อยแต่พอรู้เฉลยตอนจบถึงได้ อ๋อ มันเป็นจั่งซี่นี่เอง ชลกลับมาบ้านและฝันซ้ำๆ เดิมรวมทั้งเห็นผีผู้หญิงที่ถูกผ่าท้องเผยให้เห็นอวัยวะภายในทั้งหมดโดดเข้าใส่ชลจึงสู้โดยการบีบคอผี แต่กลายเป็นว่ากำลังบีบคอพี่สาวตนเอง เอ๋จึงขอร้องให้ชลไปหาหมออุษา เค้าตัดสินใจไปหาพบหมออุษา เมื่อได้พบชลสิทธิ์ หมอมีอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังทำการสอบถามต่อไป

ต่อมา ชลได้เล่าว่าเขาฝันว่าอะไรบ้าง และยังบอกอีกว่าความฝันจนรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องจริง เค้ารู้สึกว่าเป็นเหยื่อที่โดนฆาตกรรมเสียเอง รู้สึกถึงลมหายใจสุดท้าย และได้ยินคำว่า “ชื่อดาราราย ตามหาฉันให้เจอ” จะบอกว่าชอบเมย์ (ภัทรวรินทร์ ทิมกุล) มากเลย เป็นผู้หญิงที่มีพลังมากๆ ระหว่างนั้นชลก็ยังคงซ่อนแอบกับผีเด็กบ้าง ผีผู้ใหญ่บ้างไปเรื่อยๆ วันนึงเค้าก็ฝันเห็นประตูข้างตู้เสื้อผ้าซึ่งเมื่อเค้าจะแอบมองเค้าก็เห็นผีตัวนั้นจับมือเค้าแล้วก็มีแหวนอยู่ในมือเค้า

และยังมีอีกฉากที่ได้ทำแหวนตกลงไปแล้วแหวนไหลไปห้องหลังตู้เสื้อผ้า ทำได้สวยดี เหมือน the load of the ring เลย หมออุษาเริ่มตามหาตัวดาราราย ในขณะที่ชลเองก็ต้องการพิสูจน์ให้เอ๋รู้ว่าเค้าไม่ได้บ้า หมออุษารู้ว่าดารารายเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่ม.เดียวกับหมอจิ๊บและหมอสุธี อุษาไปหานก ที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์ของดารารายและก็ได้รู้ว่าสุธีเป็นคนฝากดารารายเข้าเป็นอาจารย์ที่นี่เอง นกเล่าเรื่องวิชาสะกดจิตเพื่อการบำบัด (เป็นการทำงานของจิตไร้สำนึก ที่จะดึงเอาเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจมากๆ ออกมาในสภาวะที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเพื่อใช้ในการรักษาคนไข้ คล้ายกับการสะกดจิตนั่นเอง)

แต่เธอได้บอกสุธีว่าไปเจอนก ในตอนที่ชลก็ได้ไปหาดาราราย ที่มหาลัย และได้เห็นแมวผี อยู่ที่โต๊ะนก คืนนั้นเค้าเห็นนกถูกผีตัวเดียวกับที่เค้าเห็นฆ่าตายต่อหน้าต่อตา อุษาโทรหาจิ๊บเพื่อจะบอกว่าเธอรู้เรื่องดารารายแล้วและคาดคั้นให้จิ๊บเล่าให้ฟังถึงความสัมพันธ์ของสุธีกับดาราราย (ดารารายเป็นเมียน้อยสุธีตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์จนจบและระหว่างที่เธอไปเรียนต่อเมืองนอก

สุธีก็มาแต่งงานกับอุษาแทน แต่ทว่าสุธี ได้ทำเหมือนจะออกห่างจาก อุษา เพียงเพราะรู้สึกผิดกับอุษาแต่ดารารายไม่ยอม) ชลมาหาหมออุษาเพื่อจะบอกว่านกถูกผีฆ่าแต่เค้ากลับเจอหมอจิ๊บกับแมวผีแทน เค้าพยายามเตือนหมอจิ๊บว่าอย่าพูดเรื่องดารารายไม่งั้นหมอจะเป็นรายต่อไป อุษากลับบ้านพร้อมทั้งบอกสุธีว่าเธอรู้เรื่องหมดแล้ว

สุธีรู้สึกผิดมากเลยสู้หน้าต่อไปไม่ไหว เค้าบอกเธอว่ามันจบแล้ว ดารารายจะไม่มีวันกลับเข้ามาในชีวิตของเค้าอีก ขณะที่ชลกำลังอาบน้ำ เค้าเห็นภาพหมอจิ๊บกำลังจมอยู่ในทะเลเลือดและหน้าถูกราดด้วยน้ำที่มีฤทธิ์กัดกร่อน (พูดไปผีมันดูไม่ค่อยน่ากลัวเลย วิธีฆ่าก็ไม่โหด ฉากโดนผีฆ่ากันเลยดูงั้นๆ ไม่หยองเท่าไหร่) ชลเริ่มเห็นภาพในความฝันชัดขึ้น

ต่อมาดารารายคุยกับสุธี ตอนนี้กำลังตามหาเอ๋แต่หาไม่เจอเลยแม้แต่เงา เค้าเห็นแมวผีตัวนั้นที่บ้านของเค้าเอง เค้าเดินตามแมวผีนั่นไป ไปยังประตูข้างตู้ที่เค้าเคยเห็นผีสิ่งที่เค้าเห็นเหมือนฉากในความฝันของเค้า ผู้ชายกำลังหั่นศพผู้หญิงอยู่ ในทันทีที่หัวถูกสับออกจากตัว เค้าก็ได้รู้แล้วว่าศพนั้นเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นคือเอ๋ พี่สาวเค้าเอง

ส่วนผู้ชายที่กำลังหั่นศพนั่นเล่าคือตัวเค้าเอง เมื่อตั้งสติได้เค้าบุกเข้าไปในห้องข้างตู้อีกครั้ง มันเหลือแค่แหวนที่เค้าเคยทำหล่นหายและเศษรูปถ่ายที่ถูกเผาไฟ เป็นภาพของดารารายกับสุธีบนเตียงนอน เค้าคิดว่าเค้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว เค้าต้องรีบไปบอกหมออุษาว่าสุธีสามีหมอเป็นฆาตกร ระหว่างที่อุษาไปดูศพหมอจิ๊บตำรวจพบนามบัตรที่หมอจิ๊บเขียนเบอร์อุษาให้กับชลไว้

ขอแนะนำเลยครับว่าเป็นหนังไทยอันดับ1 ที่สนุกมากๆ

เหตุผลการตามของหมอจิ๊บคือการที่ถูกตีหัวแล้วโดนลากลงบ่อดองศพซึ่งมีฤทธิ์เป็น กรด หรือ ด่าง นี่แหละ เธอได้ไปดูศพจิ๊บที่ห้องเก็บศพ และพบว่าเจ้าของตู้เบอร์ 19 นามสกุล ศุวมงคล (นามสกุล ดาราราย) ชลมาหาหมออุษาที่บ้านเมื่อเจออุษา ชลบอกอุษาว่าสุธีเป็นคนฆ่าดาราราย ฆ่านก ฆ่าหมอจิ๊บ และฆ่าเอ๋ พี่สาวเค้าด้วย อุษาก็ตะโกนกลับไปว่าฉันรักษาคุณไม่ได้อีกแล้ว คุณต่างหากที่เป็นคนฆ่าคนทั้งหมด เป็นคนฆ่าพี่สาวตัวเอง

ชลสิทธิ์เขาได้เสียชีวิตไปแล้วนะ ลองไปดูที่ตู้# 19 ชลรู้สึกงงมากๆเลยในตอนนี้ เค้าล้มลงและมองเห็นผีดารารายกำลังจะกระโดดใส่ตัวเค้า เค้าคว้าเสาโคมไฟแทงใส่ผีร้ายแล้วผีก็หายไปกลายเป็นอุษาที่ถูกแทง เค้าไปดูที่ตู้#19 ชลสิทธิ์ ศุวมงคล สาเหตุการตายคือเสียเลือดมาก ความทรงจำทั้งหมดเริ่มกลับมา

ชลสิทธิ์เขาเป็นน้องชาย ของดารารายซึ่งประสบอุบัติเหตุมาแล้วในตอนนั้น โดยหมอสุธีเป็นเจ้าของไข้ เค้าไม่สามารถยื้อชีวิตชลสิทธิ์ไว้ได้ เค้าเสียใจมากเพราะรู้ว่าชลสิทธิ์มีความหมายกับดาราราย(หรือเอ๋) มากกอดศพและบอกเค้าว่าเธอไม่เหลือใครแล้ว ขออย่าให้ทิ้งเค้าไป

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

และเขาได้เอายาพิษใส่ในน้ำของดารารายเองเพราะดารารายแอบถ่ายรูปบนเตียงไว้และใช้เป็นเครื่องต่อรองไม่ให้สุธีทิ้งเธอ เมื่อเธอดื่มเครื่องดื่มเธอรู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ระหว่างนั้น เพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยุ่คนเดียว ก็ดังขึ้น เธอจับมอืหมอและบอกว่าทุกครั้งที่สุธีได้ยินเพลงนี้ขอให้เค้ารู้สึกถึงแต่เรื่องดีดีระหว่างเธอและเค้า

แต่ถ้าเค้าคิดจะทิ้งเธอ เค้าจะต้องเจ็บปวดและได้รับทุกอย่างกลับไปเช่นกัน เค้าจะไม่มีวันลืมเธอได้เลยเฮือกสุดท้ายของเธอ เธอพูดว่า “ชื่อดาราราย ตามหาฉันให้เจอ” แล้วหมอก็พาเธอมาที่บ้านเคยให้ดารารายอยู่และฆ่าหั่นศพที่นั่นหนังใหม่

ซึ่งเมื่อเปิดช่องท้องเค้าพบตัวอ่อนของเด็กอยู่ในท้องดาราราย เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกของเค้า เมื่อเค้ารู้ว่านกบอกเรื่องเค้ากับดารารายให้อุษาฟัง เค้าก็กลับไปฆ่าเธอโดนใช้ของมีคมฟันเธอทั้งตัว (ในจินตนาการชลเห็นลวดหนามเกี่ยวตัวนกจนตาย) ส่วนหมอจิ๊บก็วิ่งไปตีหัวแล้วโยนลงบ่อดอง (ในจินตนาการเห็นจมทะเลเลือด) หมอถูกจับระหว่างให้การที่ศาล

เค้าก็ยังยืนยันว่าหมอสุธีเป็นคนฆ่าคนทั้ง 3 เมื่อเค้ามองตัวเองในกระจกก็เห็นหน้าชลสิทธิ์ในนั้น ระหว่างพาตัวกลัวเรือนจำเพลงที่สะกดหมอก็ดังขึ้น เค้ากระโดดลงจากรถทันที และถูกเห็นเส้นที่รถบรรทุกขนมาหล่อนใส่ทิ่มตามตัวทั้งร่าง

หลายๆฉากมันงดงามมากเลยนะ เหมือน แมทริกเลย แต่หมอยังไม่ตายนะ มานอนให้เค้าแหวกอกอยู่ที่ ร.พ. ให้ oxegen อยู่ แล้วผีดารารายก็โผล่มาบอกว่า ฉันอโหสิให้คุณ และจะปลดปล่อยคุณเดี๋ยวนี้ อ๊ากกกกกกก แล้วหมอสุธีก็สำลักเลือดพร้อมรับรู้ถึงความเจ็บปวดขณะโดนแหวกอกทันที

รีวิว บอดี้ ศพ19 ความรู้สึกหลังจากดูจบ

สรุป เรื่องนี้ก็เป็นภาพยนต์แนว จิตวิทยา ระทึกขวัญ หักมุม ผีนิดๆ ชลสิทธิ์คือน้องของดารารายที่ตายไปแล้ว (นอนในตู้ 19) แต่ระหว่างที่โดน keyword ที่ดารารายสะกดไว้ (เพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว) หมอสุธีจะคิดว่าตัวเองคือชลสิทธิ์ แต่ที่ไม่รู้ว่าดารารายคือพี่สาวตัวเองอาจเพราะความทรงจำลึกๆ +รู้สึกผิดทำให้อยากจะลืมเรื่องของดาราราย

เอ๋จริงๆ ก็คือดารารายสมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์(ซึ่งเป็นเมียน้อยหมอแล้ว) ที่หมอสุธีสร้างขึ้นในจินตนาการ (เหมือนเด็กที่อุษารักษาตอนเปิดเรื่อง) เหตุที่หมอจิ๊บทดสอบสมองตอนที่ชลไปทำแผลมีดบาด และอุษาตกใจตอนชลสิทธิ์เข้ารับการรักษาเพราะสิ่งที่หมอจิ๊บ+อุษาเห็นคือสุธี ที่บอกว่าตัวเองคือชลสิทธิ์นั่นเอง

นำแสดงโดย
– เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ รับบทเป็น ชลสิทธิ์
– แป้ง อรจิรา แหลมวิไล รับบทเป็น เอ๋ (พี่สาวของ ชลสิทธิ์)
– เข็ม กฤตธีรา อินพรวิจิตร รับบทเป็น หมออุษา (ภรรยาของ หมอสุธี)
– ปลาย ปรเมศร์ น้อยอ่ำ รับบทเป็น หมอสุธี (สามีของ หมออุษา)
– เมย์ ภัทรวรินทร์ ทิมกุล รับบทเป็น ดาราราย

  ความรู้สึกหลังจากดูจบ

บทภาพยนต์นี้ดีมากๆ และเมื่อทุกอย่างเฉลยแล้วก็สามารถคลายปมทุกอย่างได้อย่างดีมาก เป็นหนังไทยน้อยเรื่องมากที่จะทำได้แบบนี้ (เพราะที่เห็นๆ มาจากหลายๆ เรื่อง แม้บทจะดี ดำเนินเรื่องดี หรือเล่าเรื่องดี แต่พอวิเคราะห์องค์รวมแล้วก็ยังจะเห็นบาดแผลของหนังซ่อนอยู่จุดนู้นจุดนี้เต็มไปหมด)หนังสามารถนำประเด็นของคนเป็น โรค MPD (Multiple Personality Disorder) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคหลายบุคลิก มาเล่นได้อย่างชาญฉลาดมากฮะ เห็นได้ชัดว่ามีการทำการบ้านมาอย่างดี ไม่มีจุดที่ให้จับผิดได้เลย ยิ่งสืบหาความจริง ความเจ็บปวดที่แสนสาหัสก็ยิ่งปรากฎ ความจริงนั้นคืออะไร ไปร่วมหาคำตอบกันนะครับทางช่อง The Medium ร่างทรง

รีวิว The Medium ร่างทรง หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

แน่นอนว่ามันเป็นภาพยนต์ไทยเรื่องแรกที่รับชม เว็บดูหนังเถื่อน ในโรงหลังเขาประกาศให้โรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ เปิดให้บริการได้ มันเป็นหนังไทยจากค่าย GDH559 ที่ทำงานด้วยโครงเรื่องและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากทีมงานเกาหลี ที่นำโดยนาฮงจิน เป็นหนังไทยแนวสยองขวัญ รีวิว The Medium   รีวิวหนังไทยnetflix นั่นเองแหละครับ

แต่ด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถ่ายทำในรูปแบบ mockumentary คือ ดำเนินเรื่องเหมือนสารคดีที่อาจทำให้คนดูรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริง และเป็นการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกทั้งของผู้กำกับชาวไทย บรรจง ปิสัญธนะกูล เจ้าของผลงานอย่าง แฟนเดย์พี่มาก..พระโขนงกวน มึน โฮ4 แพร่ง5 แพร่ง โดยก่อนหน้านั้นก็กำกับหนังสยองขวัญที่สร้างชื่อร่วมกับ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ เรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ และ แฝด หรือติดตามหนังเรื่องอื่นได้ที่ ผ้าผีบอก Ghost cloth

เรื่องย่อหนัง ร่างทรง (The Medium)

เหตุการณ์ต่างๆได้บอกถึงการถ่ายทอดร่างทรง ย่าบาหยัน ของคนหนึ่งในภาคอีสานของไทย แต่ทายาทคนนี้ไม่สามารถรับช่วงต่อแต่ก็ไม่อาจฝืนชะตาได้ นำมาสู่เรื่องราวเขย่าขวัญคนทั้งโลก เรื่องเกริ่นขึ้นใน ปี 2018 ทีมงานสารคดีทำข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวร่างทรงในไทย และไปพบเจ้าของเรื่องอย่าง ป้านิ่ม (เอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา) ที่เป็นร่างทรง ‘ย่าบาหยัน’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นในจังหวัดเลย

ที่น่าสนใจคือย่าบาหยันจะสืบทอดกันต่อเฉพาะลูกหลานที่เป็นผู้หญิงในตระกูลของป้านิ่มเท่านั้น โดยคนที่มีแนวโน้มรับต่อในปัจจุบันมากที่สุดคือ มิ้งค์ (ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร) ลูกของพี่สาวป้านิ่มนั่นเอง ทำให้ทีมสารคดีขออนุญาตมาถ่ายทำป้านิ่มและครอบครัวในปี 2019 จนได้มาเจอเรื่องราวต่าง ๆ และตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อของสารคดีจากเรื่องว่าร่างทรงคืออะไร มาเป็นเรื่องของการสืบทอดร่างทรงแทน

และเรื่องนี้ก็ได้กลับมาเล่นหนังสยองขวัญอีกครั้งของ โต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับชั้นแนวหน้าในปัจจุบันของไทยจากทั้งผลงานปลุกกระแสผีไทยจาก “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” (2547) จนมาถึงสร้างประวัติศาสตร์หนังไทยพันล้านจากหนังสยองปนขำเรื่อง “พี่มากพระโขนง” (2556) ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเขาในทุกย่างก้าว และการก้าวรอบนี้ก็เรียกว่าเป็นบันไดก้าวแรกสู่ระดับนานาชาติของบรรจงอย่างแท้จริง

เพราะว่าได้ถูกโน้มน้าวให้ร่วมงานกับผู้กำกับเกาหลีชื่อดังระดับเวทีนานาชาติอย่าง นาฮงจิน ที่เคยมีผลงานแนวสยองขวัญเรื่อง “The Wailing” (2016) ที่ได้รสชาติสยองชวนคิดที่น่าสนใจ และหนังเรื่อง “ร่างทรง” ก็ไปคว้าอันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของเกาหลีมาได้ด้วยอย่างงดงามเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พร้อมคำชื่นชมในดีกรีความโหดขนหัวลุกของหนัง แน่นอนว่านี่คือความภูมิใจของคนไทยอย่างแท้จริงแล้ว โดยไม่ต้องสนใจว่าหนังจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร

รีวิว The Medium ร่างทรง

ถ้าจะนับว่าอะไรที่ นาฮงจิน ส่งผลด้านดีต่อหนังนอกไปจากโครงเรื่องตั้งต้นที่เดิมเขาตั้งใจไว้ทำ “The Wailing” ภาค 2 นั่นก็คือ แนวทางการสร้างฉากและบรรยากาศของหนัง ที่กลิ่นฝนชื้นในชนบทดูเยือกเย็น ชวนเร้นลับ และภาพแปลกตาของพิธีกรรมความเชื่อที่แฝงอยู่ในชีวิตของคนได้อย่างน่าทึ่ง ฉากหลังเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ขาดไปรับรองหนังมีกร่อยลงแน่ ๆ

และบอกใว้ก่อนเลยว่าความคิดของทีมงานคนไทยไม่ใช่ย่อย ๆ เลย ไม่ว่าจะฉากหุบผาที่สถิตของรูปปั้นย่าบาหยัน รวมถึงตึกร้างที่รากไม้ชอนไชเป็นทรวดทรงน่าขนลุก นี่คือ 2 ฉากเด่น ที่แค่เห็นไม่ต้องเอาดนตรีหรืออะไรเข้าช่วยก็ชวนขนลุกแล้ว

พอประกอบกับดนตรีที่สร้างอารมณ์ร่วมมาก ๆ และการแสดงแบบเหมือนประทับร่างของนักแสดงสายฝีมือล้วน ๆ ทั้งตัวหลัก ตัวรอง ตัวประกอบ (เนี้ยบยันตัวประกอบนี่สำหรับหนังไทยคือคุณภาพสูงมาก) และบทหนังที่ปั่นหัวคนดูไปมา มันจึงเป็นหนังที่มีพลังสูงมาก ต้องปรบมือในการเลือกใช้นักแสดงที่เอาชื่อชั้นฝีมือเข้าว่าจริง ๆ

หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

ยิ่งช่วงหลังๆของภาพยนตร์เรื่องนี้จัดได้ว่า วุ่นวาย สับสน น่ากลัว ปั่นประสาท ขนหัวลุก น่ากลัวมาก ๆ บางช่วงทำเอาคลื่นไส้มวนท้อง อาจเพราะความมืดของโรง การเคลื่อนภาพที่สมจริงสั่นไหวเหมือนอยู่ในสถานการณ์ ดนตรีที่โหมกระหน่ำ การตัดต่อที่ฉับไว ต้องยกความดีครึ่งหนึ่งให้กับการชมในโรงภาพยนตร์จริง ๆ ถ้าจอเล็กกว่านี้ มืดน้อยกว่านี้ ดนตรีไม่ดังอย่างนี้ มันคงไม่ได้ผลตามที่คนทำหนังต้องการนัก แล้วเรื่องไล่ระดับอารมณ์ได้ดีไม่มีหย่อนแบบอัดแล้วอัดเล่าใส่หัวใจคนดูตลอดครึ่งเรื่องหลัง จนอยากปรบมือให้ดัง ๆ

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

และยังมีอีกอย่างที่น่ายกย่องคือความรุนแรงของเรื่องที่กล้าท้าทายข้อห้ามจารีตสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างน่าชื่นชมในความฉลาดไม่โฉ่งฉ่าง คงเล่าไม่ได้ว่าทาบูที่โดนขยี้ย่ำนั่นเป็นอะไรบ้าง แต่เห็นความจงใจลองของตรงนี้ชัดเจน ถ้าฝีมือการเล่าด้อยกว่านี้ รับรองไม่ผ่านหน่วยงานหั่น-แบนของไทยแน่นอน (และชื่อ GDH ก็อาจเป็นเกราะช่วยประมาณหนึ่ง) และที่สำคัญอาจกลายเป็นหนังไร้รสนิยมไปได้ง่าย ๆ ทีเดียวกับการเล่นของโสมมทั้งทางสายตาและทางจิตใจแบบนี้ ขอปรบมือดัง ๆ ให้อีกรอบ

ครึ่งหนึ่งหนังสารคดี อีกครึ่งคือหนัง(โคตร)สยองขวัญ

ดูเหมือนหนังจะถูกวางมาตั้งแต่ต้นแล้วจะดำเนินเรื่องในสไตล์กึ่งสารคดี ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกจริงในใจคนดู ครึ่งแรกนั้นหนังบอกเล่าด้วยการมีทีมงานสารคดีที่เราไม่เห็นตัวเข้าไปขอถ่ายทำสัมภาษณ์ป้านิ่ม คนทรงย่าบาหยันคนปัจจุบัน ก่อนจะไหลเรื่อยไปถึงคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คงจะเป็นงานถ่ายภาพที่ทำออกมาได้สวยงาม จนแอบนิยมในใจไม่ได้ว่า ช่างเป็นสารคดีที่เก็บเรื่องราวชาวบ้านพื้นถิ่นอีสานได้ดูดีเหลือเกิน

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

เรื่องราวได้เริ่มปั่นประสาทมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมิ้งเริ่มแสดงอาการผิดประหลาดมากขึ้นทุกที หนักข้อถึงขนาดไม่กินอะไรจนผอมแห้งเห็นกระดูก (ซึ่งอันนี้ ได้รู้เบื้องหลังว่า น้องญดาลดน้ำหนักไป 10 กิโลกรัมจริงๆ) ตัวหนังหลังจากนั้นจึงเริ่มจะไม่เรียลเท่าก่อนหน้าแล้ว เมื่อหนังเข้าสู่โหมดสยองขวัญเต็มตัว

ก็เริ่มจะไต่ระดับความโหดมากขึ้นเรื่อยๆ หนังเล่นทุกทางเท่าที่จะเล่นได้ โดยเฉพาะการใช้ภาพจากกล้องวงจรปิด การเล่นกับจอดำที่มองไม่เห็นอะไร ได้ยินแต่เสียง อะไรแบบนี้เป็นต้น จนไปปิดด้วยที่ความเฮี้ยนแบบจัดเต็มในโค้งสุดท้าย เหมือนคนที่กำลังวิ่งหนีเพราะโดนรุกไล่จากสัตว์ร้ายอย่างไม่ลดละ วิ่งยาวๆ มันก็ต้องมีเหนื่อยหอบกันบ้าง

ตั้งคำถามสะท้อนสังคม หลายสิ่งชวนถกเถียง

เรื่องราวในหนังนี่ จะว่าไป ก็หยิบเรื่องราวในสังคมมาตั้งได้หลายคำถามเหมือนกันนะ นอกเหนือจากเรื่องราวของความเชื่อความศรัทธาของคนในท้องถิ่นแล้ว ก็ยังตั้งคำถามไปถึงเรื่องการนับถือศาสนาที่นับว่าเป็นหนึ่งสิ่งสากลด้วยอีกต่างหาก

หนังยังมีแนวคิดให้เราในแนวพฤติกรรมบางอย่างเข้าไป ทำให้รู้สึกเหมือนหนังจะวิพากย์ไปถึงหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น วงการตำรวจเอง วงการทรงเจ้าเข้าผี รวมไปถึงความโหดร้ายที่มนุษย์ทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่เว้นแม้แต่บางเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว การกระทำของตัวละครบางส่วนก็ไม่ลงรายละเอียด เหมือนจะให้ผู้ชมไปถกเถียงวิเคราะห์กันเอาเอง

อาจจะมีบางคนไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด โดยใช้ข้อมูลที่รีเสิร์ชมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมายำเข้าด้วยกัน แล้วเริ่มเล่าด้วยแนวทางสารคดี มันจึงดูเหมือนจริง แต่ก็เป็นเพียงช่วงแรกเท่านั้น เพราะในช่วงต่อๆ มา คนดูก็อาจจะพอเห็นความไม่เนียนของตากล้องมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนังพยายามจะเล่าด้วยวิธี found footage

ภาพที่ต้องการให้เห็นต้องเป็นมุมมองของตากล้องสารคดี ซึ่งบางทีก็ทำหน้าที่เกินเลย บางเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะยกกล้องขึ้นถ่าย แต่ตากล้องก็ยังถ่ายต่อราวกับไม่สนใจความควรไม่ควรการเล่าในแบบกึ่งสารคดีจึงดูเหมาะดีกับช่วงแรก แต่ดูประดักประเดิดไปในช่วงหลัง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะขาดตกไม่พูดถึงไปไม่ได้เลย คือ น้องญดา นริลญา กุลมงคลเพชร ที่เล่นเป็นหญิงสาวแสนสก๊อยผู้ไม่เชื่อในเรื่องร่างทรง แต่กลับถูกผีเข้าจนออกอาการหนักข้อ เธอเล่นได้สุดมาก มีทั้งช็อตที่อึ้งไปเลย กับช็อตที่ต้องใช้พลังมากมายเพื่อจะแสดงได้อย่างเข้าถึง แม้ว่านี่จะเป็นเพียงงานแสดงหนังเรื่องแรกของเธอเท่านั้น

รีวิว The Medium รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง

7.4

The Medium (Rang Zong)

หนังผีน่ากลั้วๆแนวกึ่งสารคดี ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง โดยมีผู้กำกับมากฝีมือ โต้ง บรรจง เรื่องราวนี้ได้แนวทางมาจากความเชื่อเรื่องร่างทรงในแถบอีสาน เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งมีอาการแปลกประหลาดจนถูกเข้าใจว่าเป็นร่างทรงคนใหม่ของย่าบาหยัน หนังตั้งคำถามว่ามันคืออะไรกันแน่ ศรัทธาที่คนเชื่อถือกันนั้นเป็นของจริงมั้ย ครึ่งแรกเล่าแบบหนังสารคดี แต่ครึ่งหลังจัดหนักกับความเป็นหนังสยองขวัญ ยิ่งตอนท้าย ยิ่งเล่นหนักหน่วง กว่าจะจบคงเหนื่อยหอบไปตามๆ กัน

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา
ชื่อภาพยนตร์ ร่างทรง / Rang Zong / The Medium
ผู้กำกับ บรรจง ปิสัญธนะกูล
ผู้เขียนบท นาฮงจิน (story), ชเวชาฮวอน (story), ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
นักแสดง นริลญา กุลมงคลเพชร, สวนีย์ อุทุมมา, ศิราณี ญาณกิตติกานต์, ยะสะกะ ไชยสร, บุญส่ง นาคภู่, ภัคพล ศรีรองเมือง
แนว/ประเภท Horror
เรท ไทย/น18+
ความยาว 130 นาที
ปี 2021
เข้าฉายในไทย 28 ตุลาคม 2021
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย GDH559, จอกว้างฟิล์ม, Northern Cross, Showbox

ร่างทรง

พล็อตและบท – 7.3

การดำเนินเรื่อง – 7.1

การแสดง – 8.1

งานถ่ายภาพและเทคนิคพิเศษ – 7.5

ดนตรีและเพลงประกอบ – 7

รีวิว ผ้าผีบอก Ghost cloth หนังไทยที่ตลก หัวเราะจนน้ำตาไหล

รีวิว ผ้าผีบอก หนังไทยที่ตลก หัวเราะจนน้ำตาไหล

หากใครนอนอยู่บ้านเหงาๆ อยากหาหนังไทย สนุกๆดูซักเรื่อง วันนี้มีหนังมาแนะนำ เว็บดูหนังเถื่อน เป็นหนังแนว สยองปนฮา ของ 5 สาว BNK48, หยิ่น อานันท์, วอร์ วนรัตน์ และ บอส สหรัฐ  มาในเรื่อง  รีวิว ผ้าผีบอก Ghost cloth เริ่มต้นที่ชวนให้คิดว่าน่าจะออกมาเป็นหนังผี ยิ่งตัวอย่างหนังก็ยิ่งบอกชัดว่า นี่ท่าจะมาทางสายหนังฮาแต่ว่ามีผีเป็นส่วนประกอบ

เมื่อไปดูจริงๆ จึงได้พบว่า ‘ผ้าผีบอก’ เป็นหนัง รีวิวหนังไทยย้อนยุค  แฟนตาซีลึกลับตลก บวกโรแมนติกหน่อยๆ  บอกเลยว่าสร้างรอยยิ้มให้กับแฟนๆ ได้อย่างมากโดยเฉพาะภาคเหนือ และ ภาคอีสาน ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่นี่ 13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ

รีวิว ผ้าผีบอก หนังผีไทย

มาตอนนี้ ได้มีโปรแกรมที่จะผลิตหนังขึ้นมา  iAM Films  ยังทำออกมาได้ดีเสมอเลยนะ ค่ายเองก็พยายามจะหาส่วนผสมใหม่ ๆ ให้กับภาพยนตร์ แม้ว่าจะดูโยนหินถามทางไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการเสิร์ฟอะไรใหม่ ๆ ให้แฟนคลับและคนดูหนังอยู่เรื่อย ๆ ตั้งแต่ส่วนผสมแบบหนังอินดี้ (Where We Belong) การใส่ความเป็นอีสานบ้านเฮาใน ‘ไทบ้าน x BNK48 จากใจผู้สาวคนนี้’ (2563) หรือการใส่ส่วนผสมแนวแคนดิดใน ‘ห้าวเป้งจ๋า อย่าแกงน้อง’ (2564)

โดยมีหนังล่าสุดเรื่อง ‘ผ้าผีบอก’ เรื่องนี้ก็เหมือนเดิม ยังมีส่วนประกอบที่แม้จะยังไม่ได้ถึงกับกระชากฟีลจากไทบ้านมากนัก เพราะตัวหนังก็ยังหยิบเอาวัฒนธรรมภาคเหนือ-อีสานมาปรับใช้ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ส่วนผสมสูตรนี้ มาจากโปรดิวเซอร์อย่าง ‘มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล’ และได้ ‘อั้ม-ณัฐพงษ์ อรุณเนตร์’ นักแสดงจากภาพยนตร์ของพี่มะเดี่ยว ทั้ง ’13 เกมสยอง’ (2549), ‘ฝัน หวาน อาย จูบ’ (2551) และ ‘หลุดสี่หลุด’ (2554) และเคยผ่านงานมิวสิกวิดีโอของทั้ง BNK48 และ CGM48 มานั่งแท่นผู้กำกับครั้งแรก

เรื่องย่อ ผ้าผีบอก

เหตุการณ์ได้เล่า บอกเหตุการณ์ เมื่อ พันปีก่อน เรื่องมีอยู่ ว่า พระมหาเทวีศรีมอย ซึ่งเป็นแม่ ของ ‘เจ้าหลวงรังสิมันต์’ (หยิ่น- อานันท์ หว่อง) เจ้าเมืองเวียงไชยเชษฐ์บุรี จึงได้มีการจัดการแข่งขัน ทอผ้า เพื่อเลือกหญิงสาว ที่เหมาะสมในการขึ้นมาเป็นชายา คู่บัลลังก์ เพราะเจ้าเมืองท่านทรงพระง้องแง้ง ไม่ยอมเลือกมเหสีสักที แต่กลายเป็นว่า ‘อัญญานางหอมนวล’ (วี- วีรยา จาง) แห่งนครผางาม หนึ่งในผู้แข่งทอผ้าในครานั้น กลับถูกรัดคอตายอย่างลึกลับในระหว่างทอผ้า โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ

รีวิว ผ้าผีบอก หนังไทยที่ตลก หัวเราะจนน้ำตาไหล

และหนังได้เล่ามาจนถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน ‘บักคูณ/อชิ’ (วอร์ – วนรัตน์ รัศมีรัตน์) เป็นคนจัดทีมขึ้นมา เพื่่อที่จะถ่ายไลฟ์สด รายการผี  ได้ไปสัมผัสผ้าโบราณผืนหนึ่งที่บ้านของยายทวด วิญญาณของอัญญานางหอมนวลจึงปรากฏตัว เพื่อตามหาคนร้ายที่ฆ่านาง โดยมีผู้ต้องสงสัยคือเจ้านางองค์อื่น ๆ

ได้มีการให้เข้าร่วมการแข่งขันการทอผ้า ทั้ง ‘เก็ดถะวา’ (โมบายล์-พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค), ‘สะบันงา’ (ปูเป้-จิรดาภา อินทจักร) และ ‘สาระปี’ (น้ำหนึ่ง-มิลิน ดอกเทียน) พ่วงมาด้วยข้าประจำตัวอย่าง ‘คำเคิบ/วีว่า’ (จีจี้- ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล) ร่วมเป็นผู้ต้องสงสัย การสืบสวนหาคนร้ายจากยุคพันปีก่อนจึงต้องเริ่มต้นขึ้น ก่อนที่อชิและพวกจะต้องเผชิญกับอาถรรพ์ครั้งใหญ่

พล็อตเรื่องของหนัง

จริง ๆ แล้วตัวพล็อตเองมีความน่าสนใจล่ะนะครับ เพราะถือว่าเป็นส่วนผสมที่แปลกใหม่ดีสำหรับหนังไทยเลยแหละ โดยเฉพาะส่วนผสมของ “คอมมีดี้-สยองขวัญ-พีเรียด-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน” แถมยังจับเรื่องตำนานพื้นบ้าน ผสมกับแนวทางของละครแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่ดูโบราณ แต่บอกไม่ได้ว่าอยู่ในยุคสมัยไหน

ทั้งหมดนี้เป็นแค่สถานที่ ที่สร้างมาไม่ได้เป็นสถานที่จริงแค่ สมมุติขึ้นมา (เฉย ๆ ว่าเป็นล้านนา) แอบแซวนิยายพีเรียดผ้าผลงานของ ‘พงศกร’ และก็มีแนวทางของหนังสไตล์ Whodunit (ไผฆ่าหอมนวล ? ) แถมยังบวกไซไฟนิด ๆ โรแมนติกหน่อย ๆ ด้วย (อืม ตกลงนี่มันหนังอะไรแล้วเนี่ย (555)

และในที่สุดก็เริ่มเดาเหตุการณ์กันออกแล้วสินะ ว่าตัวหนังจะออกมาเป็นอย่างไร ใช่ครับ มันออกมากาวมาก การ์ตูนโคตร ๆ แม้ตัวหนังในช่วงเริ่มแรกพยายามจะปูเรื่องให้เรารู้สึกน่ากลัว รู้สึกถึงความโหดเหี้ยมของคนที่ฆ่าหอมนวล แต่หลังจากนั้นตลอดทั้งความยาวหนัง 100 นาที มันก็กลายเป็นความกาว เหมือนกำลังดูอนิเมะอะไรแบบนั้นเลยครับ คือถ้าใครที่จะดูเอาความสยอง ดูความ Whodunit อยากเป็นนักสืบปัวโรต์ ไรงี้ ขอให้ล้มเลิกความคิดนั้นซะเลยนะครับ

โครงเรื่องของหนัง

พอดูไปเรื่อยๆ เราจะรู้ได้เลยว่า ผู้กำกับ คิดจะวางโครงเรื่อง ให้ดูซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เหมือนเวลาเราดูหนัง Whodunit ผนวกกับการเล่าเรื่องกรรมแต่ชาติปางก่อน ที่แต่ละคนล้วนมีความผูกพันกันอย่างบังเอิญไปด้วย แต่เพราะตรรกะและการกระทำของตัวละครนี่คือแบบ…เมิงจะไม่เอาจริงเอาจังอะไรกันซักอย่างบ้างเลยเรอะ (555) ทุกการกระทำ เหตุผลของตัวละคร ล้วนเป็นไปเพื่อความกาวล้วน ๆ แถมตัวละครยังมีพลังพิเศษ ก็ยิ่งดูเบียวเข้าไปอีก

รีวิว ผ้าผีบอก หนังไทยที่ตลก หัวเราะจนน้ำตาไหล

โดยรวมทั้งหมดแล้ว หนังได้ทำออกมาแบบไร้ขีดจำกัดมากเกินไปนะ คือมันบันเทิงและฮาด้วยความเบียวและความอีหยังวะของมันจริง ๆ ทุกการกระทำในบทหรือด้นสด นี่คือคิดตามด้วยความ Realistic ไม่ได้จริง ๆ ยิ่งเล่าไปเรื่อย ๆ เหมือนทีมเขียนบทมันมือ ยิ่งใส่ความเบียว ความเหวอแตกหนักข้อขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งบางอันก็ได้ผล ดูแล้วก็ยังพอจะฮาไปกับความบ้าบอของมันได้ แต่บางอันก็ดูจะฝืน ๆ อยู่เหมือนกัน จนถึงไคลแม็กซ์ท้าย ๆ นี่คือเวรี่เบียวจนเหวอแตกกันไปเลยยยยย

หนังผีที่ตลกมาก

แต่ก็ด้วยความเป็นหนังที่ ค่อนข้างจะติดตลดไปหน่อย และหนังได้ทำออกไปแนว เหวอแตก จนแทบจะกลายเป็นหนังคัลต์ของ BNK48 แทรกแก้เลี่ยนด้วยพาร์ตดราม่าซึ้ง ๆ ที่ตัวบทขมวดปมไว้แล้วเก็บกลับได้ดี แต่ไอ้ความเล่น ๆ มันก็กลายเป็นข้อสังเกตได้เหมือนกัน เพราะบทที่ดูเหมือนจะออกแบบมาประมาณหนึ่ง

แต่พอมัวแต่เหวอไปกับความเบียวมาก ๆ แก่นสารของเรื่องก็เลยดูกลายเป็นการสั่งสอนแบบธรรมดา ๆ ไปเสียอย่างนั้น รวมถึงบทและการเรียบเรียงเรื่องราวในบางจุดดูจะยังเก็บงานไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก เลยทำให้การเล่าเรื่องบางพาร์ตยังดูงง ๆ ไม่เข้าที่เข้าทางไปด้วย รวมทั้งยังทิ้ง Plot Hole ไว้เยอะมากแทบจะทั้งเรื่องเลย

และในด้านของนักแสดงต่างๆของเรื่องนี้  ยกตัวอย่างที่เด่นๆเลยก็ มี BNK48 เรามักจะเห็นปัญหาของการเฉลี่ยบทบาทของเมมเบอร์ที่จะหนักเฉพาะเมมเบอร์บางคน หรือการที่เมมเบอร์รับบทบาทในหนังบางเรื่องได้ไม่เข้าปากเข้าบท แต่กับหนังเรื่องนี้ ต้องชื่นชมว่าสามารถแก้เกมตรงจุดนี้ได้ค่อนข้างดีนะครับ อาจจะเพราะว่าจำนวนเมมเบอร์+หยิ่นวอร์+ทีมแก๊งรายการผีนั้นถือว่ากำลังดี ไม่เยอะเกิน สามารถเฉลี่ยแอร์ไทม์ได้ค่อนข้างดีเลย

รีวิว ผ้าผีบอก บทสรุป

และที่เป็นประเด็นหลักๆของหนังคือ การพัฒนาบทการแสดงของตัวละครแต่ละคน ที่ถือว่าค่อนข้างได้ผลเลยล่ะครับ สามารถหยิบเอาเสน่ห์ของแต่ละคน และแทรกความตลกออกมาได้น่าสนใจ ซึ่งแฟนคลับน่าจะพอดูออกครับว่าคาแรกเตอร์ไหนที่เอามาจากตัวเมมเบอร์จริง ๆ และนั่นก็ทำให้การแสดงของ BNK48 ถือว่าโตขึ้นไปอีกระดับ

แต่ในส่วนของตัวเอกของเรื่อง  คงจะหนีไม่พ้น ‘หอมนวล’ (วี BNK48) และ ‘บักคูณ’ (วอร์ วนรัตน์) ตัวพระนางหลักของเรื่อง ที่งานนี้ถือว่ามีความน่ารักชวนจิ้น วอร์เล่นได้ทั้งบทฮา ซึ้ง โรแมนติก ส่วนน้องวีก็ถือว่าสวยและขึ้นกล้องมากจริง ๆ ครับ เรียกว่างานนี้ #วอร์วี ต้องมาละนะครับ

รีวิว ผ้าผีบอก หนังไทยที่ตลก หัวเราะจนน้ำตาไหล

สรุปแล้วหนังเรื่อง ‘ผ้าผีบอก’  นี่อาจเป็นหนังที่คล้ายๆกับเรื่อง ‘หอแต๋วแตก’ เวอร์ชัน BNK48 ก็ได้ เพราะมันอุดมไปด้วยความวาไรตี้ครบรส ที่ใช้ความเบียวขั้นสุด ความกาว ล่อฮากันแบบไม่ต้องเกรงใจใคร

ในขณะเดียวกัน มันก็ยังเกาะเกี่ยวความสยองขวัญ ตำนานผี และความบันเทิงแบบจักร ๆ วงศ์ ๆ มาสับ ๆ คลุกเคล้าจนกลายเป็นหนังผีตลกที่เหมาะกับการถอดสมองระหว่างดู เหมือนกำลังนั่งกินหมกกบอยู่หน้าฮ่านอย่างไรก็อย่างนั้นเลยครับ

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่ สารคดี ภาพยนตร์ ซีรี่

เว็บดูหนังเถื่อน วันนี้จะมาเล่าเรื่อง 13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ ที่หลายคนคงจำเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 2016 และโด่งดังไกลออกไปทั่วโลก ในฐานะคนไทย คนหนึ่งที่ติดตามชีวิตของ 13 ทีหมูป่าติดถ้ำกันเเบบไม่มีหยุดพักเช่นเดียวกับหลายๆคน เลยรู้เรื่องราวมาเยอะพอสมควรว่าจะเป็นเเบบไหน

เเต่  รีวิวหนังไทยnetflix  เรื่องนี้ได้ทำให้เรารู้สึกจริงๆเลยเหมือนกับตอนที่ข่าวพึ่งออกใหม่ๆเฉยเลย ซึ่งเรื่องเล่าจากในถ้ำ เป็นการตีแผ่เรื่องราวที่ทั่วโลกเคยให้ความสนใจเหตุการณ์ที่สมาชิกทีมฟุตบอลเยาวชน 13 คนทางภาคเหนือของประเทศไทยติดอยู่ในถ้ำที่น้ำท่วมเมื่อกลางปี 2018 หลังติดอยู่ในถ้ำนานถึง 17 วัน จนแทบจะไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะรอดชีวิตกลับออกมา

แต่ต้องขอแนะนำตรงนี้เลยนะว่าเรื่องทีม 13 หมูป่า มาสเตอร์  เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องแรกนะที่ได้เอามาทำเป็นหนัง เพราะมีหนังหลายเรื่องเเล้วที่นำเหตุการณ์นี้มาสร้าง เพราะเหตุการณ์หมูป่าถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จารึกของไทย เเละของโลกเช่นกัน เพราะข่าวออกทั่วโลกเลย ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่นี่ บุพเพสันนิวาส ๒

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ สารคดีที่สร้างจากเรื่องจริง

สารคดีนี้  Netflix ได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมาจากการสัมภาษณ์ ของโปรดิวเซอร์ และกำกับภาพยนตร์โดย ไพลิน วีเด็ล ผู้กำกับสารคดีคนแรกของไทย ที่สามารถคว้ารางวัลสาขาสารคดียอดเยี่ยมจากงาน International Emmy Awards ครั้งที่ 49 จากผลงานสารคดี Netflix ‘ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง(Hope Frozen: A Quest to Live Twice) ซึ่งจะว่าไป สารคดีเรื่องนี้คือผลพลอยได้จากซีรีส์ Netflix ‘ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง’ (Thai Cave Rescue) ที่เพิ่งฉายไปไม่นานนี้เองล่ะนะครับ

ความเป็นมาของสารคดีเรื่องนี้ คือ ไพลินได้เข้าไปสัมภาษณ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำงานด้านข้อมูลให้กับทางซีรีส์ จนกระทั่ง Netflix มองเห็นว่าน่าจะต่อยอดไปเป็นสารคดีจริงจังได้ เลยมีการถ่ายซีนจำลองเหตุการณ์ประกบการสัมภาษณ์ในภายหลัง ซึ่งถ้ำหลวงในซีนนั้นกับในซีรีส์ก็คือถ้ำหลวงจำลองอันเดียวกันนั่นแหละ

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

สารคดีเรื่องนี้ ทำให้เราได้เห็นและสัมผัส ในมุมมองของ 13หมูป่า ในช่วง แรกเริ่มของเหตุการณ์ทั้งหมด สำรวจเบื้องหลังวิถีชีวิตในฐานะเด็กท้องถิ่น และในฐานะลูกชาย ที่ถ่ายทอดผ่านพ่อแม่ของเด็ก ๆ จนกระทั่งเข้าไปติดภายในถ้ำ ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาในสถานการณ์อันตรายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความท้อแท้ที่ไม่เคยถูกเล่ามาก่อน รวมไปถึงเรื่องราวนอกถ้ำ

ตั้งแต่ตำนานปรัมปราเก่าแก่ของ ถ้ำหลวง ข้อมูลด้านธรณีวิทยาของตัวถ้ำ รวมทั้งความรู้สึกของพ่อแม่ของเด็ก ๆ สำรวจปฏิบัติการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อุทยานถ้ำหลวง นักสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านถ้ำหลวง ผู้บัญชาการหน่วยซีล นักประดาน้ำในถ้ำจากต่างประเทศ เลยไปสำรวจปรากฏการณ์สังคมในฐานะข่าวใหญ่ที่ดังไปทั่วโลก ผ่านมุมมองของผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และปฏิกิริยาทางสังคมที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ณ เวลานั้นด้วย

ความน่าสนใจของสารคดีเรื่องนี้

ขอบอกเลยนะว่าความน่าติดตามอีกมุมมองของเรื่องนี้ อยู่ที่เนื้อเรื่องที่ไม่ได้เล่าจากมุมมองในเชิงข่าว ข้อมูลดิบ เทคนิค หรือนำเสนอแต่ความอันตรายภายในถ้ำหลวงที่น้ำท่วม ความตื่นตะลึงในปฏิบัติการที่เสี่ยงอันตรายในทุก ๆ ขั้นตอน แต่ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ หรือแม้แต่การตั้งคำถามกับระบบการจัดการและโครงสร้างของผู้มีอำนาจในการจัดการวิกฤติ

แต่เนื้อหาหลักของหนังเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย หรือจะเรียกว่าเป็น Trivia ส่วนตัวของ Subject หลักในเรื่อง นั่นก็คือตัวแทนเด็ก ๆ 13หมูป่าตัวจริงทั้งโค้ชเอก, ไตตั้น, มิกซ์, ตี๋, เติ้ล, มาร์ก และ อดุลย์ ประกอบวางกับซีนสถานการณ์จำลอง และฟุตเทจจากข่าวบางส่วนแทน แน่นอนว่ามันอาจจะทำให้รู้สึกว่าเดจาวูเหมือนดูซ้ำเหตุการณ์เดิมที่รู้บทสรุปไปแล้วบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนเสริมเรื่องราวที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าตีหัวเข้าบ้านอะไรขนาดนั้น

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

และสิ่งเหล่านั้นก็คือ ผู้สร้างสารคดีในเรื่องนี้ เขาไม่ได้อยากต้องการให้ เป็นสารคดีบันทึกประวัติศาสตร์ หรือการบันทึกเหตุการณ์ของข่าวถ้ำหลวงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเหมือนกับไดอารี่ที่เด็ก ๆ 13 หมูป่าได้เล่าทุกอย่างในมุมมองของ แต่ละคน ตั้งแต่ก่อนวินาทีที่ 0 ที่ก้าวเข้าถ้ำหลวงด้วยซ้ำ รวมทั้งสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นวินาทีต่อวินาทีในระหว่างระหว่างติดถ้ำ

ตั้งแต่ในช่วงแรกที่เด็กๆ ทุกคน ยังคงมีความหวัง  สะท้อนผ่านมุกตลกคุยเล่นคุยหัว แต่พอสถานการณ์เลวร้ายลง ความหวังเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความหิว ความเครียด ความกดดัน การต่อสู้เอาตัวรอดแบบสับสนไร้เหตุผล เราจึงเริ่มรู้สีกได้ว่ากราฟของไดอารี่ฉบับนี้เริ่มดำดิ่งลงเห็น ๆ มุกตลกของพวกเขาเริ่มออกไปในทางมุกตลกร้าย ที่สะท้อนภาพความทุกข์และความสิ้นหวังที่กำลังครอบงำพวกเขาทีละนิด แม้จะมีความหวังอยู่บ้าง แต่เหมือนพวกเขาเองก็เริ่มเผื่อใจเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเอาไว้แล้วด้วย

โครงเรื่องของสารคดี

สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้มี โครงสร้างที่ซับซ้อนมากเกินไป จริง ๆ มันก็เป็นท่าที (Format) สากลของภาพยนตร์สารคดีทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ และประกอบกับเรื่องราวของถ้ำหลวงนั้นถูกเล่าจนปรุ และทุกคนต่างก็รู้บทสรุปของมันอยู่แล้ว แต่ก็ต้องชมตัวหนังว่า สามารถลำดับกราฟเรื่องออกมาได้น่าสนใจ เป็นกราฟเรื่องที่เล่าตามความรู้สึกของทุกคน ค่อย ๆ

สวิงจากด้านบวกลงไปจนถึงความท้อแท้อย่างถึงที่สุด มุกร้าย ๆ ที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มค่อย ๆสะท้อนความรู้สึกที่ไม่ได้แค่เกิดจากความห่าม แต่มาจากความรู้สึกลึก ๆ ที่ยังอยากมีความหวังเอาตัวรอดออกไปจากถ้ำเสียมากกว่า ส่วนโค้ชเอกก็รู้สึกหวาดหวั่นในฐานะพี่ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบน้อง ๆ หรือแม้แต่ปูมหลังของเด็ก ๆ แต่ละคนที่เล่าโดยพ่อแม่ก็เป็นการเติมเต็มเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิด และความเป็นมนุษย์ให้กับเด็ก ๆ และเติมความน่าสนใจให้กับตัวสารคดีมากยึ่งขึ้นกว่าที่เคยมีมา

จนเมื่อเด็ก ๆ ได้ออกมาจากถ้ำแล้ว ท่ามกลางทุกคนที่ดีใจมีความสุข แต่เนื้อเรื่องของหนังก็ยังตั้งคำถามกับพวกเขาในฐานะที่กลายมาเป็นที่รู้จักและได้รับโอกาสนับไม่ถ้วน ซึ่งสารคดีก็ได้สะท้อนเรื่องราวผ่านความรู้สึกกดดันของเขาต่อกระแสสังคมส่วนหนึ่งที่อาจมองพวกเขาว่าพวกเขาเป็นคนสร้างภาระขึ้นจากความบ้าบิ่น มากกว่าเป็นผู้ประสบเหตุ

หนังที่สร้างจากเรื่องจริง

ความรู้สึกของโค้ชเอกที่กลัวพ่อแม่ของน้อง ๆ จะเข้ามาดุด่า รวมทั้งความรู้สึกผิดลึก ๆ ในใจที่พวกเขามองว่าตัวเองมีส่วนให้เกิดความสูญเสียหลาย ๆ อย่าง ทั้งเวลา ทรัพยากร และโดยเฉพาะกับนาวาตรีสมาน กุนัน หรือจ่าแซม เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ ที่ทำให้พวกเขามีมุมมองต่อชีวิตที่เปลี่ยนไปจากตอนก่อนเข้าถ้ำอย่างเห็นได้ชัด

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

13 หมูป่าเรื่องเล่าจากในถ้ำ’ สำหรับหลายๆ คนอาจมองว่าเป็นสารคดีถ้ำหลวงอีกเรื่องหนึ่งนั่นแหละ แต่สำหรับผู้เขียน สารคดีเรื่องนี้ก็อาจจะสื่อให้นึกถึงหนังแนว Coming of Age อยู่เหมือนกันนะครับ

แทนที่ตัวละครต้องออกเดินทางไกลเหมือนหนัง Coming of Age ปกติ พวกเขากลับเดินทางเข้าไปในถ้ำ เพื่อไปเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย กระทบกระเทือนรุนแรง และได้กลับออกมาพร้อมกับคำตอบที่ว่า พวกเขารู้สึกกับเหตุการณ์อันจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง พวกเขาผ่านความรู้สึกโหดร้ายดำดิ่งมาได้อย่างไร และพวกเขามีความคิดที่เติบโตขึ้นอย่างไรบ้าง

สารคดีของเด็กทั้ง 13 คน

ไม่สนว่าใครจะคิดยังไงก็ตามนะ แต่อย่างน้อย สารคดีเรื่องนี้ก็ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาเด็กๆ ทั้ง 13คน ได้เพิ่มเติมเรื่องราวของตัวเอง ลงไปเติมเต็มในเหตุการณ์ครั้งใหญ่ ที่เป็นเหมือนไดอารี่ที่เติมเรื่องที่ไม่เคยถูกเล่าในฐานะของเด็กชายที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มที่เคยผ่านสถานการณ์และความรู้สึกที่มืดมิดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตมาแล้ว

ทุกเรื่องราวเหล่านั้นอาจเลือนหายสาบสูญไปตามเวลา หลายคนอาจยังไม่เข้าใจพวกเขาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คือ ไดอารี่เล่มนี้จะเป็นบทบันทึกเล็ก ๆ ที่คอยย้ำเตือนให้พวกเขา (และพวกเรา) มองเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นอดีต และย้ำเตือนว่า หากยังคงมีโอกาสที่สอง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตล้วนเป็นบทเรียนที่สอนให้คนเราเติบโตขึ้นได้จริง ๆ

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ บทสรุป 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ | THE TRAPPED: 13 HOW WE SURVIVED THE THAI CAVE

คุณภาพด้านการแสดง   8.7

คุณภาพโปรดักชัน   8.8

คุณภาพของบทภาพยนตร์   9.1

ความบันเทิง   9.2

ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม   10

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

จุดเด่นเรื่องนี้เป็นอีกมุมมองที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้กันมาก่อนจากปากของเด็กๆทั้ง 13 คน อาจจะมีเดจาวูบ้างแต่ถือว่าไม่ตีหัวเข้าบ้าน เรียบเรียงกราฟอารมณ์ของเรื่องราวได้น่าสนใจและน่าติดตาม โปรดักชันถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ทั้งซีนบทสัมภาษณ์ ช็อต Insert ซีนจำลองเหตุการณ์ที่สมจริง และฟุตเทจที่เลือกใช้จุดสังเกต9.2 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ

 

รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ สานต่อรักจากยุคอยุธยา สู่ยุครัตนโกสินทร์

รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ สานต่อรักจากยุคอยุธยาสู่ ยุครัตนโกสินทร์

รีวิวหนัง บุพเพสันนิวาส ๒ สานต่อรักจากยุคอยุธยาสู่ ยุครัตนโกสินทร์

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (2561) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า  รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒  ที่สร้างปรากฏการณ์ ละครโทรทัศน์ ทำให้ทุกคนรู้จัก ออเจ้า กันทั่วทั้งประเทศได้  ซึ่งเป็นละครแนวย้อนยุคคอมเมดี้ผสมผสานความโรแมนติก ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

เว็บดูหนังเถื่อน จึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของละครเรื่องดังกล่าว จนทำให้ต้องมีแผนในการสร้างภาคต่อที่ชื่อว่า พรหมลิขิต จนกลายเป็น รีวิวหนังไทยย้อนยุค  ชื่อเรื่องว่า  “บุพเพสันนิวาส 2” แต่ต้องล้มลุกคลุกคลานอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้พวกเขาต้องเลื่อนฉายมาหลายต่อหลายครั้งและถือว่าเป็นภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์อีกเรื่องหนึ่งในปีนี้ที่หยิบยกนำเอาละครชื่อดังมาจากแปลงเป็นภาพยนตร์เช่นเดียวกับเรื่อง เจ้าแม่นาคี

วันนี้ จะขอพาทุก ๆ รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ คนย้อนเวลากลับสู่ยุครัตนโกสินทร์ เมื่อ 177 ปีก่อน กับเรื่องราวความรัก พรหมลิขิตที่นำพา ภพ-เกสร มาเจอกัน และเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความรักในยุครัตนโกสินทร์ให้เราได้กลับมาฟินอีกครั้ง และสามารถติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่  ทิดน้อย

รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ บทนำของเรื่อง

กอ่นหน้านี้เป็นละคร ออนแอร์อยู่ทางช่อง 3 ก็สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นกระแส เป็นละครทีวีที่มีผู้ชมพูดถึงและเข้าชมเป็นประวัติการณ์ ด้วยเรื่องราวที่คนเคล้ากันทั้งความเป็นละครย้อนยุค บวกกับละครประวัติศาสตร์ แถมยังสร้างสรรค์บทได้ชวนหัว มีอะไรในนั้นให้หยิบออกมาพูดถึงในโลกโซเชียลได้เยอะแยะ ไม่แปลกเลย ถ้าวันหนึ่งจะมีคนหยิบมันมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่เขาไม่ได้นำมารีเมกแต่ใช้วิธีการสร้างเป็นภาคต่อ นั่นแหละ บุพเพสันนิวาส ๒ HD จึงกำเนิดขึ้นในวันนี้

ภาพยนต์เรื่องนี้ได้ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมื่อการสองค่าย คือ Broadcast Thai กับ GDH ปรุงมันออกมาจนเป็นภาพยนตร์ที่สานต่อเรื่องราวความรักข้ามภพข้ามชาติของตัวละครคู่หนึ่ง โป๊ป ธนวรรธน์ และ เบลล่า ราณี ยังคงเป็นคู่ขวัญคู่พระนางเช่นเดิม แต่เปลี่ยนมาเล่าเรื่องในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น พร้อมมีตัวละครที่มาจากตัวตนคนจริงในประวัติศาสตร์เข้ามาร่วมด้วย มาลองดูกันซิว่า หนังจะสานตาความสนุกจากละครได้มากน้อยเช่นไร

เรื่องย่อหนัง บุพเพสันนิวาส ๒

โดยหนังจะเล่าถึงเรื่องราวเหตุการโดยในภพนี้ พี่หมื่นได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ โดยกลายเป็น ภพ และในเรื่องได้เรียกว่า ขุนสมบัติบดี (โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ จากละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’) นายช่างหนุ่มผู้ยิ้มหวานที่สุดในประเทศสยามคนที่ฝันถึงแม่หญิงคนหนึ่งมาเนิ่นนานจนปักใจว่าเธอคือคู่บุพเพสันนิวาส

แต่มาก้ได้มาพบเจอหญิงงามที่ชื่อว่า เกสร (เบลล่า ราณี แคมเปญ จากหนังเรื่อง ‘อีเรียมซิ่ง’) หญิงที่มีหน้าตาตรงกันกับแม่หญิงการะเกดสาวในฝันของเขาเด๊ะๆ จึงไม่รอช้าเข้าไปจีบในทันที แต่เธอเป็นหญิงหัวก้าวหน้า เธอชอบจะไปเล่าเรียนและได้ภาษาจากบาดหลวงปาลเลอกัวซ์ เธอเลยไม่เชื่อเรื่องบุพเพฯ แถมยังไม่ชอบหน้าภพเข้าเสียอีก

รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ สานต่อรักจากยุคอยุธยาสู่ ยุครัตนโกสินทร์

และไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ที่ภพได้เจอ กับเกสรเขายังคงติดปากเรียกว่า ‘ออเจ้า’ ทุกครั้งไป คนที่เกสรสนใจกลับกลายเป็น เมธัส (ไอซ์ พาริส อินทรโกมาลย์สุต จากหนังเรื่อง ‘Ghost Lab’ และมินิซีรีส์ ‘Bad Genius’) ชายหนุ่มในโลกปัจจุบันที่ดันย้อนเวลากลับไปในอดีตยุคเดียวกับสองคนก่อนหน้าเข้าโดยบังเอิญ ทั้งยังเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาที่สยามกำลังเจรจาซื้อเรือหลวงเอกสเปรส เรือกลไฟจากเมืองลิเวอร์พูล ที่นายห้างหันแตรนำมาเสนอขาย แต่เรื่องราวเริ่มจะลุกลามบานปลายจนอาจทำให้ประวัติศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลง นี่คือภารกิจรัก เคล้าภารกิจบ้านเมือง ที่ภพและเกสรจักต้องเผชิญ

Love Destiny The Movie

จนได้กลายเป็นเรื่องราว ของชายผู้หลงรักหญิงที่อยู่ในความทรงจำในชาติก่อน จนถึงขนาดอิดออดของถอนหมั้นกับคู่ที่ผู้ใหญ่ได้คุยกันไว้ มุ่งมั่นตามหาหญิงที่เป็นคู่บุพเพฯ แต่ดันมาพบเอาทีหลังว่า นางคือคนถูกหมายหมั้นกันเอาไว้ สุดท้ายต้องกลับลำไปจีบให้เธอรักเพื่อจะได้ครองคู่ตามที่สร้างบุญกรรมด้วยกันเอาไว้

ขณะที่เหตุการณ์ในชาติภพใหม่เปลี่ยนจากสมัยอยุธยา กลายมาเป็นรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ถ้าจะพูดอย่างจำเพาะเจาะจงลงไปก็คือสมัยรัชกาลที่สาม ที่ยุคนั้นรู้กันว่ารุ่งเรืองมากทั้งด้านการค้า วรรณกรรม และการเข้ามาของพวกยุโรป (ที่ชาวสยามเรียกพวกเขาว่า ชาววิลาศ) มีบาทหลวงปาลเลอร์กัวซ์ที่มาเผยแผ่ศาสนาแลอาศัยอยู่โบสถ์อัสสัมชัญ

หมอบรัดเลย์ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาเช่นกันแต่เพราะความสนใจในการพิมพ์จึงได้เป็นผู้ตีพิมพ์หนังสือฉบับแรกแห่งสยาม มีนายห้างหันแตรผู้นำทั้งกล้องถ่ายรูปเข้ามาเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งแรก ทั้งยังเป็นคนนำเรือกลไฟเข้ามาเสนอขายกับเสด็จในกรมด้วย อีกทั้ง สมัยนั้นก็สยามยังรุ่งเรืองทางด้านวรรณกรรมเพราะมีกวีเอกของโลกของ สุนทรภู่ ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นเช่นกัน บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์สยามเหล่านี้ต่างก็มีพื้นที่โลดแล่นอยู่ในหนัง เกาะเกี่ยวไปกับตัวละครสำคัญๆ ของเรื่องทั้งสิ้น

หนังเรื่องนี้ทำออกมา เป็นเรื่่องราวที่เล่าสลับกันทั้งเรื่อง ระหว่างชาติของ ความรักของ ภพ และ เกสร และอีกภพชาตินึง พร้อมมี เมธัส หนุ่มจากอนาคตเป็นตัวสอดแทรก และพาร์ทการเมือง เมื่อเหตุการขายเรือกลไฟที่ลุกลามบานปลาย และการก้าวข้ามเวลามาของเมธัสที่อาจส่งผลให้ประวัติศาสตร์สุ่มเสี่ยงจะถูกเปลี่ยนแปลง ภพจึงตั้งปณิธานทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้เรื่องราวมันเป็นไปตามนั้น พร้อมๆ กันไปกับทำยังไงให้เกสรมีใจ

ถ้าจะให้บอกตรงๆก็เหมือนกันการเอาหนังที่ผู้ชมรู้ตอนจบมาตั้งแต่ก่อนดูอยู่แล้ว หนึ่งคือมันเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องบุพเพสันนิวาส กับมันเป็นเรื่องที่เอาประวัติศาสตร์มาขีดเขียนเป็นบทหนัง

ความน่าสนใจของหนัง

จึงไม่ต่างกับตอนเป็นละคร คือ การหยิบเอาตัวตนคนจริงในประวัติศาสตร์มารับใช้บทหนัง ทำให้ผู้ชมรู้สึกจับต้องพวกเขาได้มากกว่าจะเป็นแค่ตัวอักษรในหนังสือ แต่ก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีตัวละครมากมายตามไปด้วย ลำบากในการจัดเรียงกันพอสมควร รวมทั้งยังต้องสร้างฉาก เสริมด้วยการใช้ซีจีมาปรับแต่งภาพให้ใกล้เคียงกับยุคสมัย ซึ่งจะว่าไป หนังก็ทำตรงนี้ได้ไม่ขี้เหร่เลย

ผมชื่นชอบที่หนังแทรกเอาภาพการ์ตูนที่บ่งบอกแผนที่ของตำแหน่งแห่งที่ของจุดต่างๆ ระหว่างเรื่องราวมาให้ เป็นอีกหนึ่งสีสันที่น่าสนใจ นอกเหนือไปจากกิมมิกต่างๆ ที่ถูกใส่เข้าไปหลายหลาก โดยเฉพาะเสื้อผ้าหน้าผมที่ส่งเสริมให้ตัวละครที่คู่กันแล้วไม่แคล้วกันได้ออกมาสวยหล่อตามที่อยากให้เป็น หรือเหล่าดอกไม้ชนิดต่างๆ ที่ภพมักจะใช้มันในการจีบเกสร แถมยังมีจุดเชื่อมโยงกับภาคละครได้อีกต่างหาก

รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ สานต่อรักจากยุคอยุธยาสู่ ยุครัตนโกสินทร์

แต่สิ่งที่รู้สึกว่า งง อยู่บ้าง ในระหว่างดูหนังเรื่องนี้ก็มีเช่นกัน แม้บางจุดของหนังจะใส่ความชวนจิ้นและชวนซึ้งมาให้ แฟนละครอาจได้พบกับสิ่งที่พวกเขารอคอยมาเนิ่นนาน แต่สำหรับนายแพทกลับพบว่า บางส่วนของหนังยังดูเยิ่นเย้อและยืดยาวเกินพอดี ราวกับหนังจะต้องการเก็บทุกเม็ดทุกมุกเพื่อเสิร์ฟมันให้กับคนที่รอคอยได้เต็มอิ่มมากที่สุด แต่บางส่วนอย่างพาร์ทการจีบกันของตัวละครหลักมันช่างดูธรรมดาและแห้งแล้ง หรือพาร์ทแอคชันบนเรือที่เยิ่นเย้อเชื่องช้า ทำให้หนังขาดความกลมกล่อมไปมากทีเดียว

หนังดี ที่คอหนังไทยไม่ควรพลาด

อีกทั้งด้วยความเป็นหนังที่ต้องเล่าเรื่องให้จบภายใน 2 ชั่วโมง 46 นาที ก็อาจทำให้ไม่สามารถนำความสนุกอย่างที่พบในละครมาทำให้ผู้ชมได้อินไปกับเรื่องราวได้ เราอาจจะได้พบส่วนผสมเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกหยิบใส่เข้ามาแต่ไม่อาจทำให้เราฟินได้มากพอ

แต่ก็ นักแสดงแต่ละคนต่างทำหน้าที่แสดงในบทบาทได้ดีมากเลยทีเดียว ไอซ์ พาริส กับบทเมธัสคือตัวละครแนวขโมยซีนในเรื่อง เขามีบทบาทสูงที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไป พร้อมๆ กับการเป็นคนในอนาคตที่มีความเกี่ยวข้องกับอดีต นนกุล ชานน ที่สวมบทเสด็จในกรม ส่วนบทที่ชวนรู้สึกแปลกประหลาดก็คงจะเป็น บทสุนทรภู่ ที่สวมบทบาทโดย นิมิตร ลักษมีพงศ์ เป็นบทที่มาๆ ไปๆ บางทีก็แทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็ทำให้หนังมีอีกมุมที่เพิ่มเติมเข้ามา

หลายช็อตในหนังชวนขำคิกคัก แต่กลับไม่มีตรงไหนชวนขำคำโต ขณะที่บางส่วนก็กลับแป้กเสียอีก หนังเรื่องนี้จึงมีทั้งส่วนที่ดูดีน่าสนใจ ปะปนไปกับส่วนที่ลดทอนความสนุกลงไป จุดโดดเด่นที่สุดในใจนายแพทคือดนตรีประกอบที่ทำได้จึ้งมากๆ แม้หนังจะจบลงไปแต่ก็ยังเหลือฉากที่แถมท้ายในระหว่างกลางเครดิตที่ไม่ควรพลาด

รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง บุพเพสันนิวาส ๒

บุพเพสันนิวาส ๒

มันเหมือนเป็นรักแรกพบของทั้งคู่แต่ชาติปางก่อน จากในละครมาเจอกันอีกทีในฉบับภาพยนตร์ เรื่องราวที่เกิดในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น นำพาบุคคลจริงในประวัติศาสตร์มาเจอกับตัวละคร หนังเล่าพาร์ทความรักสลับกับพาร์ทการเมืองที่อิงเกร็ดความจริงและนำมาเขียนใหม่ให้เกาะเกี่ยวกัน หนังมีทั้งมุกขำคิกคักกับมุกแป้ก แม้จะผูกเรื่อง

รีวิว บุพเพสันนิวาส ๒ สานต่อรักจากยุคอยุธยาสู่ ยุครัตนโกสินทร์

ชื่อภาพยนตร์     บุพเพสันนิวาส ๒ / Love Destiny the Movie

กำกับ    อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม

เขียนบท            Pattaranad Bhiboonsawade, เบ็ญจมาภรณ์ สระบัว, ทศพล ทิพย์ทินกร, อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม

แสดงนำ            ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ราณี แคมเปน, พาริส อินทรโกมาลย์สุต, ชานน สันตินธรกุล, ปวีณ์นุช แพ่งนคร, นิมิตร ลักษมีพงศ์, สุวัจนี พานิชชีวะ, สุรพล พูนพิริยะ, Daniel B. Fraser, Jonathan Samson

แนว/ประเภท      History, Comedy, Romance

เรท       ไทย/ท

ความยาว           166 นาที

ปี          2022

สัญชาติ ไทย

เข้าฉายในไทย    28 กรกฎาคม 2022

ผลิต/จัดจำหน่าย จอกว้างฟิล์ม, GDH559, Broadcast Thai Television

Love Destiny the Movie

พล็อตและบท – 6.6

การแสดง – 7.2

การดำเนินเรื่อง – 5.5

เพลงและดนตรีประกอบ – 7.9

งานถ่ายภาพ เทคนิคพิเศษและโปรดักชัน – 7.3

6.9

 

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

นายพงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับไม่ว่าจะเป็นเรื่องเท่ง โหน่ง คนมาหาเฮีย’ ‘เท่ง โหน่ง จีวรบิน และ’ แคท อ่ะ แว่บ ที่ล้วนประสบความสำเร็จด้านรายได้เป็นอย่างดี และในอีกชื่ออย่าง เท่ง เถิดเทิง ก็คือนักแสงตลกที่สามารถข้ามความสำเร็จจากวงการทีวีสู่วงการภาพยนตร์ได้อย่างสวยงามทั้งงานสร้างชื่ออย่าง มือปืน/โลก/พระ/จันทร์ จนถึง หลวงพี่เท่ง’  เป็นการ  เว็บดูหนังเถื่อน  ที่สามารถสร้างรายได้ระดับปรากฎการณ์ได้ทั้งคู่หลังจากที่พี่เท่ง เถิดเทิงได้ทิ้งงานกำกับมาหลายปีจากนั้นก็กลับมากับงานกำกับครั้งใหม่ อย่าง รีวิว ทิดน้อย เป็นภาพยนต์ที่นำเอาตำนาน แม่นาคพระโขนง มารีเมคใหม่ รีวิวหนังไทยNetflix  ในมุมมองของคนแอบรักอย่างตัวละครทิดน้อยที่ถูกมอบหน้าที่ คนตาบอดเพราะความรัก เรียกได้ว่านี่จะเป็นงานหนังตลกปนโรแมนติกเรื่องแรกในพอร์ตโฟลิโองานกำกับของเขา ดูรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่ Bad Guys ล่าล้างเมือง

เรื่องย่อ ทิดน้อย

ณ ทุ่งพระโขนง มีสาวสวยเธอผู้นั้นคือ นาค (พัชราภา ไชยเชื้อ) ซึ่งเป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคน รวมไปถึง มาก (อนันดา เอเวอริงแฮม) หนุ่มหล่อกำยำแห่งทุ่งพระโขนง และ ทิดน้อย (เท่ง เถิดเทิง) ชายหนุ่มที่มีหัวใจให้นาคผู้เดียว และเป็น มาก ที่ได้ครอบครองหัวใจนาคแต่หลังจากเขาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ทิดน้อยเลยต้องรับหน้าที่คอยดูแลนาคที่กำลังท้องแก่ และในช่วงเวลานี้ที่จะพิสูจน์ใจว่าระหว่างรักแท้ของมาก กับ รักแท้แท้ของทิดน้อย ใครจะได้ครอบครองหัวใจของนาคกันแน่

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

เมื่อได้ดูหนังจบลงไปแล้วคงจะบอกว่าบทบาทการแสดงของ ‘ทิดน้อย’ ดูจะเป็นการแสดงที่เหมือนละครสามช่าที่ไม่ต่างจากงานชิ้นก่อน ๆ ทั้งการนำตำนานของหนังที่คนรู้จักอยู่แล้ว มาผูกเรื่องเข้าไปแบบหลวม ๆ และมีซีนทีเล่นทีจริงที่หลายคนคิดถึงจากรายการชิงร้อยชิงล้านพอคนดูไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องราวอะไรมากนักก็เป็นโอกาสของพี่เท่งเขาล่ะที่จะใส่มุกเข้ามาไม่ยั้ง ซึ่งพี่เท่งก็ใช้บริการจากบรรดานักแสดงตลกที่เป็นพันธมิตรกันทั้งรุ่นเก๋าอย่างพี่โหน่ง หรือ น้าถั่วแระ เชิญยิ้ม ไปจนถึงรุ่นใหม่อย่าง แจ๊ค แฟนฉัน และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่มาสร้างสีสันให้หนังได้เป็นอย่างดี

รีวิว ทิดน้อย หนังมาสเตอร์

แต่จุดหลักๆที่สำคัญของหนัง คือการนำ อนันดา เอเวอริงแฮม  มาแสดงในหนังตลกแนว ๆ นี้มาประกบคู่กับ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ นางเอกซุปตาร์ที่ร้างจอไปนานกลับมารับบท แม่นาค อีกรอบหลังจากแสดงในเวอร์ชันละครไปเมื่อ 24 ปีที่แล้วก็ทำให้ ‘ทิดน้อย มาสเตอร์’ มีแนวทางชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายคือบรรดาแฟนคลับอั้ม รวมถึงคนที่เคยดูหนังที่อนันดาเล่นแล้วอยากเห็นเขาเล่นบทตลกบ้างก็ทำให้หนังดูมีสิ่งที่ชวนติดตามไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะ

เพียงแต่ งานกำกับของพี่เท่งก็ยังไม่สามารถทำให้อั้มและอนันดา เก็ตกับการเล่นมุกแบบด้นสดหรือการปล่อยจอยไหลไปกับบทแบบเดียวกับนักแสดงตลกรับเชิญมากมายบนจอได้ เลยทำให้ภาพรวมเองก็ออกมาไม่กลมกล่อมนัก นักแสดงหลักก็ดูจะพยายามแสดงในส่วนที่เล่าเรื่อง แต่ด้วยงานกำกับที่ไม่ได้เน้นการคุมแอ็กติ้งก็ทำให้ภาพรวมการแสดงของทั้งคู่ออกมาดูไม่จืดจนเหมือนนักแสดงฝีมือตกอย่างเห็นได้ชัด

นักแสดงนำระดับซุปเปอร์สตาร์

ส่วนคนอื่นๆที่เอามาทำมุก ตลก ขำๆ ไม่ค่อยจะมีผลกับเรื่องราวเท่าไหร่นัก มิหนำซ้ำคงต้องยอมรับล่ะว่าหากจะประเมินในฐานะหนังตลกเองก็ยังเป็นหาจังหวะที่จะทำให้คนดูขำได้ยาก เพราะการเอาโนว์ฮาว (Know How) การเล่นมุกไปเรื่อยแบบละครสั้นสามช่ามาใช้กับหนังชั่วโมงครึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเลยกลายเป็นหนังที่ล้นไปทุกส่วนจนบาลานซ์ระหว่างความตลกกับความโรแมนติกอย่างที่มันอยากเป็นไม่ได้

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

และบ้างครั้งการเล่นมุกต่างๆดูไม่ค่อยจะตรงจังหวะสักเท่าไหร่นะ แต่ดีที่มีทิดน้อยที่เป็นจุดขาย มาเป็นตัวละครศูนย์กลางในการเล่าเรื่องก็กลับเล่าได้สะเปะสะปะเหมือนไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหน จะให้คนดูลุ้นว่าทิดน้อยจะเอาชนะใจนาคยังไงก็ดันให้คาแรกเตอร์ทิดน้อยดูไม่ค่อยฉลาด เข้าข้างตัวเองและแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาเรื่อย ๆ หรือจะให้คนดูซาบซึ้งกับความเสียสละของทิดน้อยและทำให้เห็นความรักที่มั่นคงของเขา หนังก็กลับไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องราวในส่วนนี้มากพอเสียด้วย

ปัญหาของหนัง

ในส่วนของประเด็นหลังที่สำคัญของหนัง ‘ทิดน้อย Netflix’  คือการที่พี่เท่งยัง คิดถึงรูปแบบเดิมๆในการทำหนัง จนทำให้จังหวะจะโคนการเล่าเรื่องของมันดูเชื่องช้า ย่ำกับที่ และไม่ตอบโจทย์ในการพาผู้ชมยุคใหม่เข้าโรงไปฮากับหนังสักเท่าไหร่ และที่ถือว่าไม่สนใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมเลยก็คือบทเดือนของ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่ยังคงเป็นมุมมองผู้ชายในยุคเบบี้บูมที่เห็นกะเทยเป็นสิ่งแปลกปลอมและหมั่นลวนลามผู้ชายจนดูน่ากลัว

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ แบบตรงไปตรงมาเลย คือการเอาหนังทั้งเรื่องความยาว ชั่วโมงครึ่ง ที่เล่าเรื่องยืดยาวและมุกตลกไม่ทำงานกับคนดูไปเทียบกับคลิปตลก ๆ ที่มีความยาวเพียงไม่กี่วินาที ก็คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าระหว่างการเสียเงินซื้อบัตรชมภาพยนตร์ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองกับการเปิดคลิปตลกในแอปต่าง ๆ แถมดูได้ทุกที่ ผู้ชมที่ต้องการความบันเทิงแบบทันทีจะเลือกแบบไหน

การกลับมา ของพี่เท่ง

หลังจากที่ได้ห่างหายจากวงการไปถึง 8 ปี พี่เท่ง เถิดเทิงก็กลับมาอีกครั้งกับงานกำกับครั้งใหม่อย่าง ‘ทิดน้อย หนังดีหนังดัง’ หนังที่ขอหยิบตำนานแม่นาคพระโขนงมาเล่าใหม่ในมุมมองของคนแอบรักอย่างตัวละครทิดน้อยที่ถูกมอบหน้าที่ คนตาบอดเพราะความรัก เรียกได้ว่านี่จะเป็นงานหนังตลกปนโรแมนติกเรื่องแรกในพอร์ตโฟลิโองานกำกับของเขา

พอดูหนังจบ แล้วก็คงไม่ผิดอะไรถ้า เราจะบอกว่าหนังเรื่อง ‘ทิดน้อย’ ดูจะเป็นการต่อยอด จากละครสามช่า ไม่ต่างจากงานชิ้นก่อน ๆ ทั้งการนำตำนานที่คนรู้จักอยู่ แล้วมาผูกเรื่องเข้าไปแบบหลวม ๆ และมีซีนทีเล่นทีจริงที่หลายคนคิดถึงจากรายการชิงร้อยชิงล้าน พอคนดูไม่จำเป็นต้องสนใจ เรื่องราวอะไรมากนักก็เป็นโอกาสของพี่เท่งเขาล่ะ

รีวิว ทิดน้อย มุกตลกต่างๆในเรื่อง

ที่นักแสดงจะใส่มุกขำขัน เฮฮากันตลอดเวลา ซึ่งพี่เท่งก็ได้เชิญนักแสดงตลกเก๋าๆ ที่เป็นพันธมิตรกันทั้งรุ่นเก๋าอย่างพี่โหน่ง หรือ น้าถั่วแระ เชิญยิ้ม ไปจนถึงรุ่นใหม่อย่าง แจ๊ค แฟนฉัน และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่มาสร้างสีสันให้หนังได้เป็นอย่างดี

มันไม่ได้มีแค่มุก ที่เล่นอะไรก็ดูผิดจังหวะ ไปหลายต่อหลายอย่างเลยแหละนะ แม้แต่ไอเดียที่เป็นจุดขาย อย่างการเอาทิดน้อย มาเป็นตัวละครศูนย์กลาง ในการเล่าเรื่องก็กลับเล่าได้สะเปะสะปะ เหมือนไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหน จะให้คนดูลุ้นว่าทิดน้อยจะเอาชนะใจนาคยังไง ก็ดันให้คาแรกเตอร์ทิดน้อย ดูไม่ค่อยฉลาด เข้าข้างตัวเอง และแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาเรื่อย ๆ หรือจะให้คนดูซาบซึ้ง กับความเสียสละของทิดน้อย และทำให้เห็นความรักที่มั่นคงของเขา หนังก็กลับไม่ได้ให้น้ำหนัก กับเรื่องราวในส่วนนี้มากพอเสียด้วย

และสิ่งที่เป็นประเด็นหลักๆเลยของหนัง ‘ทิดน้อย’ นั่นก็คือการพี่เท่งยังยึดติดแบบเดิมๆ รสนิยมการดูหนังของตนเอง จนทำให้จังหวะ จะโคนการเล่าเรื่องของมันดูเชื่องช้า ย่ำกับที่ และไม่ตอบโจทย์ ในการพาผู้ชมยุคใหม่เข้าโรงไปฮา กับหนังสักเท่าไหร่ และที่ถือว่าไม่สนใจความเปลี่ยนแปลง ของสังคมเลย ก็คือบทเดือนของ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่ยังคงเป็นมุมมองผู้ชาย ในยุคเบบี้บูมที่เห็นกะเทยเป็นสิ่งแปลกปลอม และหมั่นลวนลามผู้ชายจนดูน่ากลัว

ถ้าจะให้พูดแบบจริงๆตรงๆเลยก็คือ การเอาหนังทั้งเรื่องความยาว 105 นาที ที่เล่าเรื่องยืดยาว และมุกตลกไม่ทำงานกับคนดู ไปเทียบกับคลิปตลก ๆ ที่มีความยาวเพียงไม่กี่วินาที ก็คงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่าระหว่างการเสียเงินซื้อบัตรชมภาพยนตร์ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง กับการเปิดคลิปตลกในแอปต่าง ๆ แถมดูได้ทุกที่ ผู้ชมที่ต้องการความบันเทิง แบบทันทีจะเลือกแบบไหน

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

ที่เป็นจุดขายของหนังจริง ๆ คือการเอา อนันดา เอเวอริงแฮม  ที่ไม่เคยได้แสดงในหนังตลกแนว ๆ นี้มาประกบคู่กับ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ นางเอกซุปตาร์ที่ร้างจอไปนานกลับมารับบท แม่นาค ในครั้งนี้ได้

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง ทิดน้อย

  • ประเภท: คอมเมดี้ / ดราม่า
  • ผู้กำกับ: เท่ง เถิดเทิง
  • นำแสดงโดย: อั้ม พัชราภา, เท่ง เถิดเทิง, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม
  • ความยาว: 87 นาที
  • กำหนดฉายในไทย: 25 มกราคม 2023 (ในโรงภาพยนตร์)

Movie.TrueID METRIC: ทิดน้อย

  • ภาพรวม
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
  • การเล่าเรื่อง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
  • การแสดง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
  • เทคนิคงานสร้าง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
  • บทภาพยนตร์
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)

 

รีวิว Bad Guys ล่าล้างเมือง บู๊ แอคชั่น ที่นำมารีเมคแบบมันหยด

รีวิว Bad Guys ล่าล้างเมือง บู๊ แอคชั่น ที่นำมารีเมคแบบมันหยด

Bad Guys ล่าล้างเมือง บู๊ แอคชั่น ที่นำมารีเมคแบบมันหยด และเป็นหนึ่งในหนังไทยที่ น่าสนใจมากๆ

เป็นการกลับมาอีกครั้ง ของหนัง ที่คนไทย รีวิว Bad Guys ล่าล้างเมือง  นำมารีเมก จากหนังดัง ยอดฮิต ของ เกาหลี เป็นหนังที่น่าติดตามรับชมเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าหนัง เป็นที่รอคอยของใครหลายๆคนอยู่เหมือนกัน เมื่อได้เห็นตัวอย่าง การแคสติ้ง นักแสดงทำได้ดี ไม่แพ้ต้นฉบับ เนื้อหาจะเป็นการสืบสวน ไขคดีต่างๆ มีฉากมันๆ และพร้อมกับความสนุก ของเนื้อเรื่อง จะน่าสนใจยังไง เราจะมารีวิว ให้ตรงนี้  ดูหนังฟรีออนไลน์

รีวิว Bad Guys แบบมันหยด

หนังได้เล่าถึงสิ่งต่างๆของ  ‘ทีมหมาบ้า ’ที่ได้มีการก่อสร้าง มาโดย ‘สารวัตรพิทักษ์’ (เอ็ม สุรศักดิ์) ตำรวจสุดโหดพันธุ์หมาบ้าที่มีปมในใจเรื่องลูกสาวของเขา และความฟอนแฟะของวงการตำรวจที่ทำงานได้ขัดใจป๋าเอามาก ๆ เขากำลังถูกพักงานด้วยเหตุผลบางอย่างและได้โดน ผู้บัญชาการ นำชัย’ (สุรศักดิ์ ชัยอรรถ) ได้ถูกเรียกให้กลับมาทำคดีที่ยากที่สุด คือการตามล่าฆาตรกรสายฝน ฆาตรกรต่อเนื่องที่ก่อคดีในคืนฝนตก แต่ความบ้าของสารวัตรพิทักษ์ไม่หยุดที่ตัวเอง เขายังผุดไอเดียที่บ้าบิ่นขึ้นมาเสนอด้วยการขอตั้งทีมอภิมหาวายร้าย ด้วยการเอาโจรมาจับโจร

จากผลงานที่สุดจะบ้าบิ่นของเขา ในการที่ ‘จะปราบปีศาจต้องใช้ปีศาจที่เลวร้ายกว่าเท่านั้น’ เลยได้เลือกนักแสดง ร้ายที่โดดเด่นกันไปคนละด้านมาใช้งาน เริ่มตั้งแต่ ‘ยักษ์’ (หยวน กวินรัฎฐ์) นักเลงที่ถนัดการใช้กำลังและใช้มันได้ดีจนเกินขีดจำกัด ‘เรส’ (ก็อต จิรายุ) นักฆ่ามืออาชีพที่ฆ่าโหดเหมือนโกรธใครมา และ ‘สกาย’ (ณ ณภัทร) ฆาตรกรต่อเนื่องสุดอัจฉริยะเพื่อให้ได้รับสิ่งของต่างๆ โดยมี ‘ผู้กองอลิส’ (นิ้ง ชัญญา)  เป็นตำรวจหญิงที่ยิงปืนแม่นมากๆเลยทีเดียว ที่ท่านนำชัยไว้ใจให้เข้าร่วมทีมนี้ด้วย และนี่คือการรวมตัวของทีมสืบสวนพิเศษที่บรรจุไปด้วย อาชญากร ตำรวจบ้าและตำรวจหญิงสติดีเพียงหนึ่งเดียว

เมื่อหยิบงานสุดหินมารีเมก

และเมื่อดูมาแล้ว สี่ตอนจะเป็นการเริ่มต้นดูละครเรื่องนี้โดยไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งนั้น ก็ต้องบอกว่ายังทำออกมาได้ไม่สมหวังดั่งใจคิด ฉะนั้นแล้วการรับชมให้ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น คุณอาจจะต้องเป็นคนที่ไม่เคยดูต้นฉบับมาก่อน หรือไม่ก็เอาความคาดหวังพับใส่กล่องไปเลยจ้ะเพราะมันเป็นการอดใจยากเอามาก ๆ แต่ก็ไม่ได้สร้างมาต่างกับต้นฉบับกันมากเท่าไหร่นัก เพราะภาพในหัวที่ความทรงจำยังคงอยู่ จะเสนอหน้าออกมาสลับฉากให้คุณเปรียบเทียบเข้าจนได้อย่างลืมตัว โดยเฉพาะถ้าต้นฉบับชิ้นนั้นเป็นผลงานที่ทำเอาไว้ในระดับ ดีมาก

รีวิว Bad Guys ล่าล้างเมือง บู๊ แอคชั่น ที่นำมารีเมคแบบมันหยด

Bad Guys’ (2014)เป็นหนังแนว อาชญากรรม ระทึกขวัญ สืบสวน และ เป็นที่ยอดฮิต ของเกาหลีเลยทีเดียว และโครงเรื่องแบบนี้ ยังไม่มีผู้กำกับคนไหนเคยทำมาก่อน แต่ก็เป็นเอกลักษณ์ของช่อง ocn เขาละค่ะ จัดเป็นซีรีส์สายโหดที่ประสบความสำเร็จจนมีการสร้างซีซัน 2 ‘Bad Guys : Vile City’ ในปี 2017และด้วยความสะใจของผู้กำกับ เลยได้ สร้างเป็นฉบับภาพยนตร์ ‘The Bad Guys : Reign of Chaos’ ในปี 2019 ก็เป็นการรีเมกตัวเองด้วยการใช้คนเขียนบทคนเดียวกันหมด แตกต่างกันที่ทีมหมาบ้าเปลี่ยนคนเปลี่ยนภารกิจและต่างผู้กำกับ

จนกลายเป็นหนังทำเงินอันดับ 6 ของปีนั้น แต่ความนิยมและความประทับใจก็ยังไม่สามารถเทียบชั้นตัวเองในซีซัน 1 ไปได้นี่เอามาสร้างใหม่แล้ว ยังทำกันยากมากๆเลยนะ แล้วเรามารีเมกของเขาก็ต้องบอกเลยว่างานนี้เป็นงานที่ หินไม่ใช่เล่น แต่ในฐานะที่เราเห็นความตั้งใจที่เต็มร้อย จากรายละเอียดต่าง ๆ ที่ใส่มาในเรื่อง ทั้งฉาก แสง สี เพลงประกอบที่ผ่านการคิดเยอะมาแล้ว และที่สำคัญนักแสดงคุณภาพที่คัดสรรมาแล้วอย่างดี ทำออกมาได้ระดับนี้ก็ถือว่าไม่แย่แล้ว

การแคสติ้งนักแสดงหลักที่ต้องปรบมือให้

ตัวอย่างแรกที่ได้เห็นบอกเลยว่า โดนใจมากๆเลย ยิ่งนักแสดงอย่าง  ‘สกาย’ ฆาตรกรโรคจิตที่ต้องบอกว่าการจับเอา ณ ณภัทร มาเปลี่ยนลุคเป็นพ่อโรคจิตเดาใจยากนี่เป็นการคัดสรรนักแสดงที่น่าจะทำการบ้านกันเข้มข้นน่าดู เป็นความละเอียดที่ร้องว่า เฮ้ย ดีจัง ณ ณภัทร ลุคนี้คล้ายพัคแฮจินมาก ๆในการโชว์บทบาทของแต่ละคน บอกเลยว่า ทำได้ดีมากๆเลย และยิ่งไปกว่านั้น เอ็ม สุรศักดิ์ การแสดงเป็นสารวัตรพิทักษ์ หัวหน้าทีมหมาบ้าที่บ้ากว่าอาชญากรไปหลายปีแสง งานนี้พี่แกใส่เต็มแบบปล่อยพลังจนเรารู้สึกว่าการดูคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เพราะได้ชมผลงานของนักแสดงที่เราคิดถึงและไม่ผิดหวังกับการแสดงของเขาแม้แต่นิด

อีกคนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ หยวน กวินรัฎฐ์ หรือหยวน ดรากอนไฟว์ ที่เราคุ้ยเคยกันดี งานนี้หยวนเหมือนไม่ได้มาแสดงหรอกค่ะ แต่น่าจะเดินเข้ามาใช้ชีวิตในฉากเสียมากกว่า เพราะอินเนอร์และการปล่อยมุกที่เป็นธรรมชาติของหยวน ไม่ได้สร้างความขัดหูขัดตาใด ๆ เลยกับตัวละครตัวนี้ที่จัดเป็นตัวโจ๊กของเรื่องบางทีบทไม่น่าจะมีความฮาซักเท่าแต่ แต่พอ จังหวะโบ๊ะบ๊ะมันไม่น่าจะโผล่มาในเวลานั้น ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องที่ควรสะกดอารมณ์ หายไปในพริบตาอย่างน่าเสียดาย แต่เมื่อมาอยู่ในมือของหยวนก็ทำให้ลดความไม่น่าจะมีลงไปได้อย่างไม่ขัดใจสักเท่าไหร่

บทและการดำเนินเรื่อง

ข้อดีหลายๆอย่างของหนัง อาชญากรรม สืบสวนสอบสวน มักจะอยู่ที่ความไม่รู้ ไม่สามารถเดาได้ว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง ยิ่งถ้าการดำเนินเรื่องสามารถดึงอารมณ์ร่วมของคนดูออกมาได้อย่างเต็มร้อย จนไร้ช่องว่างของการไว้ใจ ชนิดที่เราไม่สามารถไว้ใจใครได้สักคน ละครเรื่องนั้นก็ประสบความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้วแต่การรีเมกครั้งนี้ยังไม่สามารถดึงอารมณ์นั้นออกมาได้ดีเท่าที่ควร ด้วยบริบทหลายอย่างประกอบกัน

ทั้งการดำเนินเรื่องที่เลือกฉากก่อนหลังมาใช้ให้ยากที่จะคล้อยตาม บทที่ไม่สมเหตุสมผลในหลาย ๆ ฉากจนยากที่จะเชื่อทำให้ความน่าติดตามที่กำลังสนุกอยู่นั้น ลดลงไปอย่างน่าเสียดาย และเมื่อเกิดการชูตัวละครตัวใดตัวหนึ่งให้เด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เสน่ห์ของละครเรื่องนี้ลดลงไปอีก (แล้ว) ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วทีมหมาบ้าควรมีความโดนเด่นทัดเทียมกัน ไม่มีใครน้อยหน้าใครจากเอกลักษณ์ความสามารถของแต่ละคน

รีวิว Bad Guys ล่าล้างเมือง บู๊ แอคชั่น ที่นำมารีเมคแบบมันหยด

ด้วยการนำทีมของหัวหน้าทีมอย่างสารวัตรพิทักษ์ แต่สำหรับครั้งนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าเราจะเห็นตัวละครตัวหนึ่งโดดออกมาจากคนอื่น ๆ ในทีมอย่างจงใจถ้าจะให้พูดถึงการแสดงของ ก็อต จิรายุ นักแสดงที่ไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้งกับฝีมือของเขา เรื่องนี้ก็อตออกมาแต่ละฉากนั้นช่างโดดเด่น น่าดู น่าตามไปทุก ๆ ฉากที่เขาเข้าไปเล่น

แต่กลายเป็นเด่นเกินหน้าเกินตาจนแทบจะเป็นพระเอกของเรื่องไปซะแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ไม่มีพระเอก ไม่มีนางเอก มีแต่ตัวเอก 5 คนที่เคมีต้องเข้ากันอย่างถึงที่สุดและมีสารวัตรพิทักษ์นำทีมป๊อปสตาร์ไปค้นฟ้าคว้าฆาตรกรมาให้ได้ เท่านั้นเองในส่วนของนักแสดงเขาทำได้ดีมาก ๆ ในส่วนของเขาแล้วค่ะ และทำดีมากขึ้นไปอีกเมื่อนักแสดงในทีมมีนักแสดงระดับฝีมืออยู่ในนั้นเกือบทั้งทีม จึงทำให้บรรยากาศน่าติดตามมากขึ้นและอยากติดตามจริง ๆ ซะด้วย ไม่ใช่ว่าต้องการจะติดตามเรื่องราวตอนต่อไปนะคะ แต่ต้องการจะชมผลงานที่ตั้งใจเล่นของนักแสดงเหล่านั้นซะมากกว่า

โปรดักชัน แสง สี เสียง

ขอบอกเลยนะว่าหนังเรื่องนี้น่าดูมากๆ และไม่ควรพลาด กับการแสดงที่จัดจ้านแสบทรวงยิ่งกว่าผีตากผ้าอ้อม ที่เห็นแล้วว้าวมาตั้งแต่ Voice | สัมผัสเสียงมรณะ แต่เมื่อมันถูกฉายซ้ำในเรื่องอื่นและเป็นการฉายที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่เว้นที่ว่างให้ปล่อยอารมณ์ ก็ทำให้ไม่ว้าวสักเท่าไหร่แล้ว

คงอาจจะมีบ้างเล็กน้อย ที่อาจจะดูเหมือนจะขัดๆนิดหน่อย อะไรจะแดงแล้วแดงอีกขนาดนั้น ชนิดที่ทุกพื้นที่บนโลกพร้อมใจกันสาดแสงแดง แสงเหลืองจัด ๆ เขียวแสบ ๆ เต็มไปหมด จนขัดกับบริบทในหลาย ๆ ส่วนที่ตรงกันข้ามกันเสียอย่างนั้น เป็นความคอนทราสต์ที่ไม่สามารถดึงอารมณ์ได้ด้วยซ้ำ

รีวิว Bad Guys ล่าล้างเมือง บู๊ แอคชั่น ที่นำมารีเมคแบบมันหยด

หากทิ้งสเปชให้ถูกที่ถูกเวลามากกว่านี้ ก็จะกลายเป็นการเล่นสีที่น่าสนใจเอามา ๆ และเมื่อรวมกับดนตรีประกอบที่มาบ่อย มาถี่ โดยไม่เว้นช่วงว่างให้คนดูได้ดิ่งไปกับฉากนั้น ๆ เองบ้าง ยิ่งทำให้การขยี้อารมณ์ที่ควรจะได้กลับไม่ได้หน้าตาเฉย ฉากที่ควรลุ้นระทึกกลับกลายเป็นเกินระทึก เอฟเฟกต์เลือดที่สาดกระจายแบบผิดธรรมชาติ ทำให้เหมือนจะน่ากลัวแต่ดันไม่น่ากลัว

องค์ประกอบต่าง ๆ ภายในฉากที่ขาดความสมจริงไปมากจนสังเกตเห็นเช่นบางฉาก ที่กำลังบีบหัวใจลุ้นระทึก แต่กลับมีมุกเป็กๆเข้ามาแทรก มุมนี้ผู้เขียนก็เข้าใจว่า ผู้สร้างและผู้กำกับน่าจะมีความหวังดีไม่อยากให้เราต้องดิ่งตามละครที่ควรจะดิ่งนั่นแหละค่ะ แต่ความหวังดีนั้นกลับขัดใจ ทำให้สายอาชญากรรมบีบจิตอย่างเราไม่สาแก่ใจเล้ย จริง ๆ

รีวิว Bad Guys ความหวังสุดท้ายที่จะรอชมในตอนต่อ ๆ ไป

และสิ่งบันดาลใจของการเขียนหนังเรื่องนี้ของ ต้นฉบับ คือ เป็น หนังไทยมาใหม่ ที่จูงอารมณ์ของคนดูให้คล้อยตามและทำ ให้ดิ่งไปกับความสงสัยได้เก่งกาจ ภาพบรรยากาศที่สื่อออกมาสร้างพลังดึงดูดรุนแรงชวนติดตาม เคมีนักแสดงเข้ากันอย่างไม่มีใครโดดเด่นเกินหน้าเกินตาและกินกันไม่ลง บทสนทนาเข้มข้นทำให้คล้อยตามในทุก ๆ ฉาก

และมีการทำปริศนาที่ให้ติดตามอยู่ตลอด สร้างความสงสัยจนไม่สามารถเดาทางได้เลยแม้แต่นิด เป็นซีรีส์ที่สาแก่ใจอีช้อยยิ่งนัก ความคาดหวังจากการรีเมกครั้งนี้จึงมีมากพอสมควร มากพอ ๆ กับเมื่อครั้งที่ช่อง 3 รีเมก ‘My Love from the Star’  และทางเวปของเรายังมีหนังสนุกเรื่องอื่นอีกมากมาย รับชมได้ที่ เธอกับฉันกับฉัน เราสามคน รับรองสนุกไม่แพ้กัน

รีวิวหนัง บุพเพสันนิวาส 2

รีวิวหนัง บุพเพสันนิวาส 2

หนังไทยมาใหม่ สำหรับ บุพเพสันนิวาส ภาคแรก ที่เรื่องราวอยู่ในยุคสมเด็จพระนารายณ์ฯ แห่งกรุงอโยธยา เราค่อนข้างพึงพอใจ ในแง่การมอบความบันเทิงในครัวเรือนและการกระตุ้นซอฟต์พาวเวอร์ จนถือเป็นปรากฏการณ์ก็ว่าได้ แต่พอเอาละครขยับมาทำเป็นภาพยนตร์อย่าง บุพเพสันนิวาส ๒ เราไม่ค่อยซื้อสักเท่าไหร่ (เช่นเดียวกับนาคี 2) และก็คาดหวังว่ามาตรฐานมันจะขยับขึ้นตามและให้คุณค่าในแบบภาพยนตร์

บุพเพสันนิวาส ๒ ผลงานของผู้กำกับ ปิ๊ง อดิสรณ์ (ผู้กำกับ รถไฟฟ้า มาหานะเธอ) มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง (อีกนิดจะเท่า Avengers) สำหรับเรา มันค่อนข้างยาวเกินความจำเป็น เพราะหนังอยากจะขายทั้งฉากเกี้ยวของคู่พระนาง และขายทั้งเรื่องประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้วย (ถ้าจะเรื่องเยอะแบบนี้ น่าจะเหมาะเป็นละครแบบภาคแรกมากกว่า)

สำหรับ บุพเพสันนิวาส ๒ คนดูไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกมาก่อนก็สามารถดูรู้เรื่อง แต่ถ้าเคยดู ก็จะเข้าใจบริบทบางอย่างมากกว่า เช่น cameos และ มนต์กฤษณะกาลี อีกอย่างหนึ่ง หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องราวของหนุ่มตัวละครใหม่ แล้วพี่หมื่นกับแม่หญิงการะเกดที่กลับชาติมาเกิดนั้นมาเป็นตัวเสริมทัพของพ่อหนุ่มคนนั้นอีกทีเสียมากกว่า

 

 

รีวิวหนัง บุพเพสันนิวาส 2 หนังไทยมาใหม่

ในชาตินี้ ภพ หรือขุนสมบัติบดี (โป๊ป ธนวรรธน์) เป็นผู้เชื่อในบุพเพสันนิวาสและตามจีบ แม่หญิงเกสร (เบลล่า ราณี) เพราะรูปร่างหน้าตาเหมือนกับนางในฝันที่เขาฝันถึงทุกคืน แต่เกสรไม่เชื่อในบุพเพสันนิวาส เป็นผู้หญิงหัวก้าวหน้า ร่ำเรียนวิชากับบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ (โจนาธาน แซมซัน) รวมถึงภาษาอังกฤษ และพอเธอได้พบกับ เมธัส (ไอซ์ พาริส) เธอก็สนใจเขามากกว่า เพราะเมธัสหน้าฝรั่ง พูดภาษาอังกฤษได้ และใช้ภาษาแปลกเหมือนมาจากอนาคต

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ไทยยุครัชกาลที่ 3 ที่ตัวละครเอกทั้งสามต้องเข้าไปพัวพัน คือ การมีบทบาทของนักธุรกิจชาวต่างชาติคนดังอย่าง นายหันแตร (แดเนียล เฟรเซอร์) เจ้าของห้างฯ แห่งแรกในประเทศไทย ที่เสมือนเป็นหนึ่งในตัวร้ายในหน้าตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทย เพราะมีความขัดแย้งทางการค้ากับราชสำนัก ซึ่งในหนังหมายถึง เสด็จในกรม (นนกุล ชานน) เกี่ยวกับเรือกลไฟ ‘เอ็กสเปรส’ ที่นำมาเสนอขายแก่สยามประเทศ นอกจากนี้ หนังยังมีบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ไทยยุคนั้นคนอื่น ๆ อีก เช่น สุนทรภู่ (นิมิตร ลักษมีพงศ์) และหมอบรัดเลย์

ในพาร์ทความรักหรือการจีบกันของพระนางเป็นพาร์ทที่เราไม่อินนัก (ถึงขั้นเบื่อและหาวเลยก็ว่าได้) รู้สึกมันไม่จำเป็นหลายฉาก เหมือนมีเพื่อเซอร์วิซแฟนคลับของคู่จิ้นหรือ ไอซ์ พาริส เสียมากกว่า ในส่วนของพาร์ทประวัติศาสตร์ ซึ่งได้ รอมแพง นักเขียนนิยายจากภาคแรก มาเป็นที่ปรึกษาด้วยนั้น เราค่อนข้างโอเค เพราะพยายามนำเสนอประวัติศาสตร์ในแง่มุมใหม่ และการตีความทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากตำราเรียน ถึงแม้ยังโลกสวยและติดราชาชาตินิยมอยู่มาก แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่หนังไทยเรื่องต่อ ๆ ไปสามารถนำจุดแข็งไปต่อยอดและพัฒนากันต่อไป

 

 

 

รีวิวหนัง บุพเพสันนิวาส 2 เรื่องย่อ

เรื่องโดยย่อของหนังก็คือ เมื่อครั้งสมัยอยุธยา พี่หมื่นและเกศสุรางค์ (a.k.a.การะเกด) ครองรักครองเรือนจนตายจากไปแล้ว แต่ทั้งคู่ได้มีโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พี่หมื่นมาเกิดเป็น ‘ภพ’ (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) นายช่างหนุ่มหล่อที่ฝันถึงหญิงนางหนึ่ง และเชื่อหมดใจว่าเป็นบุพเพสันนิวาส

จนเมื่อเขาได้พบเจอกับ ‘เกสร’ (ราณี แคมเปน) ชาติภพใหม่ของเกศสุรางค์ที่หน้าเหมือนญิงในฝัน ภพเลยคิดจะเกี้ยวพาราสี แต่เพราะเกสรเรียนกับบาทหลวงฝรั่ง เกสรเลยเป็นหญิงหัวก้าวหน้าและไม่ได้เชื่อบุพเพสันนิวาส แถมเจ้าหล่อนกำลังสนใจ ‘เมธัส’ (พาริส อินทรโกมาลย์สุต) หนุ่มหน้าฝรั่งใส่เสื้อแสงอุษาพูดจาผิดยุคไปเสียอีกแน่ะ

นอกจากเรื่องบุพเพฯ บุพพัง ทั้งสามคนยังต้องเข้าไปวุ่นวายกับประวัติศาสตร์การบ้านการเมืองสยาม ที่มีบุคคลสำคัญในสมัยนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้ง ‘พระสุนทรโวหาร (ภู่) – สุนทรภู่’ (นิมิตร ลักษมีพงศ์) ‘บาทหลวงปาลเลอกัวซ์’ (โจนาธาน แซมซัน) ผู้นำกล้องถ่ายรูปเข้ามาในสยาม และ ‘นายห้างหันแตร’ (แดเนียล บรูซ เฟรเซอร์) ผู้นำเข้าเรือกลไฟ ‘เอ็กสเปรส’ มาเสนอขายแก่สยาม จนเป็นเหตุเกิดเรื่องราวที่อาจทำให้ประวัติศาสตร์สยามต้องเปลี่ยนแปลงไป

ถ้าจะนับว่า ‘บุพเพสันนิวาส’ เป็นจักรวาลภาพยนตร์ แม้ตัวละครอย่าง ‘ภพ’ และ ‘เกสร’ จะเชื่อมโยงกันกับฉบับละครในฐานะ ‘พี่หมื่น-การะเกด’ ที่กลับมาเกิดใหม่ แต่ต้วเนื้อเรื่องของ ‘บุพเพสันนิวาส ๒’ ก็ต้องนับว่าเป็นสปินออฟ (Spin-Off) จากเวอร์ชันละครล่ะนะครับ เพราะเนื้อหานั้นไม่ใช่ และไม่เกี่ยวข้องกับภาคต่อ (พรหมลิขิต) แต่อย่างใด

แต่เป็นภาพยนตร์ที่แตกเส้นเรื่องออกมาจากจักรวาลหลัก แถมยังแทบจะไม่มีตัวละครจากฉบับละครกลับมาเลยแม้แต่น้อย และถ้าตัดคำว่าระลึกชาติออก ภพและเกสรก็เปรียบเสมือน ‘ตัวแปร’ ของพี่หมื่นและการะเกดอีกทีก็ว่าได้ (นี่มันบุพเพฯ หรือหนัง Marvel แล้วเนี่ย…)

ในแง่ของบทและคอนเซ็ปต์ ก็ต้องบอกว่า บุพเพฯ ๒ นี้ยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ความเป็นรอมคอมที่หยิบเอาประวัติศาสตร์ และบุคคลสำคัญในสยาม มารวมเข้ากับความเป็น Fiction ได้อย่างค่อนข้างลงตัวนะครับ อาจจะเพราะด้วยรอมแพง เจ้าของบทประพันธ์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษา เหมือนเป็นแกนกลางให้กับทีมเขียนบทของ GDH ด้วย

ก็เลยยังคงสามารถผสมเรื่องแต่งเข้ากับประวัติศาสตร์ยุครัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 3 ได้ออกมาสนุก น่าสนใจใคร่รู้ และมีจุดเชื่อมโยงถึงกันและกันและกันได้อย่างลงตัว

 

 

รีวิวหนัง บุพเพสันนิวาส 2 ออเจ้า

ถ้ายังจำกันได้ ในงานเปิดไลน์อัปผลงานของ GDH ที่ชื่อว่า ‘GDH Xtraordinary 2021 Line Up‘ ที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว มีไตเติลอันหนึ่งที่เปิดตัวครั้งแรกในงานนั้นด้วย

นั่นก็คือ ‘บุพเพสันนิวาส ๒’ ที่ถือว่าฮือฮามาก เพราะว่าเป็นผลงานร่วมทุนครั้งแรกของ GDH และ ‘บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น’ หยิบเอาผลงานละคร ‘บุพเพสันนิวาส’ (2561)

ที่เคยสร้างกระแส ‘พีหมื่น-การะเกด’ ที่เคยกวาดเรตติงละครสูงทะลุถึง 18.6 ส่วนวันพุธ-พฤหัสบดีที่ออกอากาศเพลาใด เทรนด์ทวิตเตอร์ก็ติดอันดับมิได้ขาดสาย มาสร้างในรูปแบบภาพยนตร์นะออเจ้า

และถ้านึกย้อนไปเมื่อตอนละครฉาย นอกจากกระแสความสนุก ประทับใจ ฟินเวอร์ของละครแบบถล่มทลายแล้ว ไอเทมสิ่งละอันพันละน้อยในละครยังกลายมาเป็นซอฟต์พาวเวอร์ให้ชาวไทยเพลานั้นแต่งตาม กินตาม ใช้ตาม เที่ยวตามกันเป็นว่าเล่น ตั้งแต่กระแสการแต่งชุดไทย กุ้งเผา หมูกระทะ มะม่วงน้ำปลาหวาน พี่หมื่นแรปด่าการะเกด

(เจ้าเป็นคนกำเริบ ฯ) โล้สำเภา พ่อม้ำน้ำ มนต์กฤษณะกาลี มีมพี่กิ๊ก สุวัจนี ฯลฯ แถมยังพาให้หนังสือนิยายต้นฉบับที่ประพันธ์โดย ‘รอมแพง’ (จันทร์ยวีร์ สมปรีดา) ขายดีจนพิมพ์ซ้ำนับไม่ถ้วน

มาถึงปีนี้ ตัวหนัง ‘บุพเพฯ ๒’ ตัวหนังได้ ‘พี่ปิ๊ง’ (อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม) ผู้กำกับแห่ง ‘จอกว้างฟิล์ม’ เจ้าของผลงาน ‘รถไฟฟ้า มาหานะเธอ’ (2552) และละคร ‘น้ำตากามเทพ’

(2558) มารับหน้าที่กำกับภาพยนตร์ แถมยังเปิ๊ดสะก๊าดด้วยการเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่เปิดขายโทเคนดิจิทัลเพื่อระดมทุนสร้างผ่าน ‘Destiny Token’

ที่ขายหมดเกลี้ยงไปแล้วเรียบร้อย ได้มูลค่าระดมทุนรวม 265 ล้านบาท ส่วนรายชื่อผู้ระดมทุนก็จะได้รับการขึ้นเครดิตท้ายในฐานะ Executive Producer

 

 

บุพเพสันนิวาส 2 จากละครยุคอยุธยาสู่ภาพยนตร์ยุครัตนโกสินทร์

ถ้าจะให้รีวิว “บุพเพสันนิวาส 2” คงอดชมไม่ได้ว่าพล็อตเรื่อง ฉากต่าง ๆ ถูกรังสรรค์และจัดวางมาอย่างลงตัว เป็นพล็อตเรื่องที่คาดเดาไม่ค่อยได้ ไม่ดูถูกคนดู และมีเสน่ห์ในแง่ที่เต็มไปด้วยมุขตลก แต่ก็เต็มไปด้วยสาระ เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์มากเช่นกัน ทั้งยังเป็น 3 นาทีที่ใส่ความเป็นไทยในรัตนโกสินทร์ลงไปได้ราวกับกิ่งทองใบหยก

สำหรับใครที่มีความรู้ประวัติศาสตร์ หรืออ่านเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับยุคสมัยนั้นมาบ้าง จะยิ่งสนุกขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปาลเลอกัวซ์ นายห้างหันแตร หมอบรัดเลย์ และสุนทรภู่

ตัวเดินเรื่องอย่าง “ภพ”, “เกสร” , และ “เมธัส” ก็เดินเรื่องได้ดี แทบไม่มีที่ติ #โป๊ปเบลล่า คือ นักแสดงที่เหมาะแก่การเป็นคู่พระนางของเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ดูแล้วสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของ “พี่หมื่น-น้องการะเกด” และ “พี่ภพ-น้องเกสร” นอกจากนี้ ในภาพยนตร์เรื่องนี้คุณจะได้เห็นพัฒนาการการแสดงอีกขั้นของไอซ์ พาริส อย่างแน่นอน (ไปดูกันเอาเอง ฮ่า ๆ)

MVP ของเรื่อง ขอยกให้ “อาภู่ (สุนทรภู่)” เพราะออกมาไม่บ่อยมาก ทว่าทุกฉากที่ออกมามักสร้างความพีคไม่หยุด บางฉากเล่นมุขง่าย ๆ ที่เราอาจเคยเห็นมาบ้าง แต่ด้วยตัวละคร จังหวะ กรู๊ฟ มันเข้ากันอย่างเพอร์เฟ็กต์จนกลั้นขำไว้ไม่ได้

 

 

รีวิวหนัง บุพเพสันนิวาส 2 ความรู้สึกหลังดูจบ

โดยรวมแล้ว ‘บุพเพสันนิวาส ๒’ เป็นภาคขยายพหุจักรวาลของละครบุพเพสันนิวาสในแบบฉบับของ GDH ที่ยังคงกลิ่นอายความเป็นรอมคอมพีเรียดอิงประวัติศาสตร์สไตล์ ‘ออเจ้า’ ได้อย่างสนุกสนาน เป็นหนังแฟนเซอร์วิสที่แฟนละครหลงรัก แต่ก็ยังมีพื้นที่กว้างให้คนที่ไม่เคยดูละครได้ตามทันแบบสนุก ๆ แม้ว่าจะมีความขาด ๆ เกิน ๆ

มุกทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง และตัวหนังเกือบ 3 ชั่วโมงที่หลายคนอาจรู้สึกว่ามันยาวเกินไป แต่ก็ถือว่าเป็นความบันเทิงที่เหมาะเอาไว้ดูแบบเพลิน ๆ ได้ฮา ได้ฟินแบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะ อ่ะ อย่างน้อยดูแล้วก็น่าจะไม่เบะปากคว่ำแบบพี่กิ๊ก สุวัจนี

ในส่วนของงานภาพ แสง สี ของ “บุพเพสันนิวาส 2” GDH ทำได้ตามมาตรฐานของตนเอง เพราะงานภาพคม ละเอียด และค่อนข้างสมจริงเป็นอย่างมาก จะมองไปทางไหนก็สวยไปเสียทุกฉาก ไม่ว่าจะเป็นฉากเอฟเฟ็กต์ ฉากบู๊ ฉากรักโรแมนติก และอื่น ๆ อีกมากมายที่รอให้คุณมาชมด้วยตาตนเอง

บอกตามตรงว่า CG เรื่องนี้ต้องใช้คำว่า “เริ่ดไม่ไหว”

 

 

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90

หนังไทยมาใหม่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่มาแรงที่สุดในปี 2021 ขนาดพึ่งออกฉายในโรงภาพยนตร์ไปแค่ไม่กี่วัน ยอดก็พุ่งสูงติดอันดับหนึ่งในไทย บอกเลยว่าอาชีวะ ยุค 90 เอาใจวัยรุ่นยุคใหม่ได้เต็มๆเลย เพราะเนื้อหาของเรื่อง ได้ตีแผ่และสะท้อนในสังคม ที่กำลังเกิดปัญหาอยู่ในสังคมไทย ในยุคปัจจุบันนี้เลยละ และต้องยกให้เป็นอีกภาพยนตร์ไทยแห่งปีที่ทำได้ออกมาดีเกินคาดเลยทีเดียว  4 king มีใครบ้าง

สำหรับเรื่อง 4 kings โดยเรื่องนี้ใช้เวลาเดินทางมาอย่างเนินนานกว่าหลายปีกว่าที่จะสร้างขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องนี้กำกับโดย พุฒิพงษ์ นาคทอง ซึ่งเป็นศิษย์เก่าอาชีวะจากวิทยาลัยเทคนิคราชสิทธาราม โดยเขาได้นำเรื่องราวที่เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียนออกมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวที่สะท้อนสังคมออกมาได้อย่างดี 4 kings อาชีวะยุค 90 เต็มเรื่อง

4Kings อาชีวะยุค 90 เป็นหนังที่ยกประเด็นมาเพื่อสะท้อนสังคมและความจริงอีกมุมของกลุ่มนักเรียนนักศึกษาสายอาชีพในยุคก่อน ที่ใครๆ ก็มองว่าพวกเขาเป็นตัวสร้างปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและนองเลือก โดยเล่าเรื่องผ่านเด็กอาชีวะจาก 4 สถาบันหลักๆ ได้แก่ อินทร, ประชาชล, บูรณพันธ์ และ กนก ที่พวกเขามันก่อเรื่องจู่โจมกันแทบทุกครั้งที่เจอหน้า แต่ว่าเพราะอะไรจึงกลายเป็นปัญหาเช่นนี้ และนี่คือบทเรียนชีวิตที่พวกเขาเคยก้าวผิด ดา 4 king เสียชีวิต

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90 หนังไทยมาใหม่

องค์ประกอบต่างๆ ใน 4Kings อาชีวะยุค 90 อาจจะยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ เพราะยังคงมีช่องว่างและจุดโหว่ปะปนอยู่ตลอดทาง แต่เนื้อหาที่เข้มข้นของหนังก็สามารถช่วยกลบเกลื่อนอุดรอยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี จนทำให้ผู้ชมมองข้ามไปในบางจุด โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของหนังนั้น ถือว่าสอบผ่านและทำดีใช้ได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการปูเรื่องราวและสร้างมิติให้กับตัวละครต่างๆ

รวมไปทั้งการใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เก็บทุกเม็ดของความสภาพสังคมในยุค 90 ที่สัมผัสเห็นได้ถึงงานละเอียดที่ทีมงานและผู้สร้างบรรจงใส่มาทั้งในรูปแบบนามและวัตถุที่้ต้องขอยกนิ้วให้กับการทำการบ้านที่ดีใช้ได้อย่างหนังเรื่องนี้เลย แต่น่าเสียดายที่ในช่วงครึ่งหลังของหนังนั้น ค่อนข้างยืดเยื้อไปนิด ด้วยการใส่นู้นนี่เข้ามามากเกินจำเป็น หากมีการตัดทอนและปรุงแต่งให้กระชับกว่านี้หน่อย ลดไปอีกสัก 10 นาที เชื่อว่าอาจจะดีกว่านี้ 4 king เรื่องจริง

และแน่นอนว่าจุดเด่นหลักๆ ของหนังเรื่องนี้คือทีมนักแสดง ที่ต้องยกย่องและยอมใจในการคัดเลือกแคสติ้งชุดนี้เข้ามาประชันบทบาทอย่างถึงพริกถึงขิง ทีมนักแสดงชายของหนัง 4Kings ถือว่าเป็นทีมคุณภาพชุดหนึ่งเลยก็ว่าได้ พวกเขาสามารถขับและบิวต์มิติของตัวละครที่ได้รับเป็นอย่างดี นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่หนังเรื่องนี้สามารถได้นักแสดงที่ถ่ายทอดได้เข้าถึงบทแทบจะทุกตัวละคร

เพียงลำพัง “เป้ อารักษ์” อาจจะไม่สามารถพยุงหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องได้ ถึงแม้ว่าการแสดงของเขาจะไม่ได้แย่เลยก็ตาม แต่กลับได้พลังส่งเสริมที่ดีจากเพื่อนๆ นักแสดงสมทบ ไม่ว่าจะเป็น “ภูมิ รังษีธนานนท์” หรือ “อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี” (จ๋าย ไททศมิตร) โดยเฉพาะรายหลัง ถือว่าเป็นการโชว์ศักยภาพทางการแสดงที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90 เรื่องย่อ

จากเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยมาตั้งแต่ช่วงยุค 90 ของนักเรียนอาชีวะจาก 4 สถาบันที่มักจะก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันอยู่เป็นประจำ โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้จะโฟกัสไปที่เรื่องราวของตัวละครฝั่ง โรงเรียนอินทรอาชีวะศึกษา อย่าง ดา (รับบทโดย เป้ อารักษ์), บิลลี่ (รับบทโดย จ๋าย ไททศมิตร) และ รูแปง

(รับบทโดย ภูมิ รังษีธนานนท์) เป็นหลัก กับเรื่องราวความบาดหมางที่มีต่อศัตรูคู่อริอย่าง มด (รับบทโดย โจ๊ก อัครินทร์), โอ๋ (รับบทโดย ณัฏฐ์ กิจจริต) และ เอ็กซ์ (รับบทโดย ชนาธิป พิสุทธิ์เสรีวงศ์) จาก โรงเรียนเทคโนโลยีประชาชล (ที่เปลี่ยนชื่อมาจากชื่อโรงเรียนที่มีอยู่จริงคือ โรงเรียนเทคโนโลยีประชาชื่น)

โดยยังมีอีก 2 โรงเรียนที่ถือเป็นศัตรูหลักอีก 2 โรงเรียนอย่าง โรงเรียนกนกอาชีวะศึกษา ที่นำโดย บ่าง (รับบทโดย แหลม 25Hours) และ โรงเรียนเทคนิคบุรณพนธ์ ที่นำโดย เอก (รับบทโดย ทู สิราษฎร์)  4kings อาชีวะ มีใครบ้าง

อีกทั้งยังมี ยาท (รับบทโดย บิ๊ก D Gerrard) สมาชิกแกงค์เด็กบ้านที่คอยดักเล่นงานเด็กอาชีวะทุกสถาบันแบบไม่เลือกหน้า ไปร่วมสัมผัสกับเรื่องราวของมิตรภาพและความบาดหมางของสงครามระหว่างแกงค์อาชีวะที่คนในกรุงเทพยุค 90 รู้จักกันดี

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90

4 kings อาชีวะยุค90 ศึกสงครามระหว่างอาชีวะ 4 สถาบัน

เรื่อง 4KINGS เป็นหนังเกี่ยวกับเด็กช่างจากทั้ง 4 สถาบันในยุค 90 ที่เป็นคู่แค้นกัน โดยมี อินทรอาชีวะ, เทคโนโลยีประชาชล, ช่างกลบุรณพนธ์ และ กนกอาชีวะ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นการเล่าผ่านสายตาของฝั่ง “อินทร” ที่มีคู่ปรับตัวฉกาจอย่าง “ชล” นั่นเอง โดยตัวหนัง “อินทร” จะค่อยๆพาเราไปรู้จักตัวละครอื่นๆมากขึ้น พาไปรู้จักชีวิตความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ของเพื่อน ครอบครัว รวมถึงเรื่องของความรักด้วยเช่นเดียวกัน

ด้วยความที่ตัวละครในเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะ เรื่องราวจึงถูกถ่ายทอดโดย บิลลี่ อินทร (รับบทโดย จ๋าย ไทยทศมิตร) ซึ่งมีเพื่อนสนิทคู่ซี้อย่าง ดา อินทร (รับบทโดย เป้ อารักษ์ ) ตัวละครที่เป็นเหมือนหัวโจกของกลุ่ม และ รูแปง อินทร (รับบทโดย ภูมิ รังษีธนานนท์) เป็นตัวแสบที่จะมาสร้างสีสันให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เรื่องย่อ 4 king pantip

อยู่มาวันหนี่ง บิลลี่ จะต้องเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ โอ๋ ชล (รับบทโดย ณัฏฐ์ กิจจริต) และ เอก บู (รับบทโดย ทู สิราษฎร์) ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าหากเราไม่ได้อยู่ต่างสถาบันกัน เราจะเกินความขัดแย้งเหมือนวันนี้ไหม นอกจากนี้ยังมีตัวละครที่ปั่นป่วนสุดๆอย่าง ยาท เด็กบ้าน (รับบทโดย D Gerrad) ที่พร้อมบวกกับทุกฝั่งแบบไม่เลือกหน้าอีกด้วย

ต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้ถ่ายทอดมุมมองออกมาได้ดี ต้องขอชม จ๋าย ไทยทศมิตร ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ ถึงแม้จะไม่ใช่ด้วยท่าทางการเล่นใหญ่ แต่สายตาสามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมากๆเลยทีเดียว จากตอนแรกที่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นการเข้าไปดูเด็กตีกัน แต่กลับกลายเป็นว่าได้อะไรกลับมามากมาย รวมถึงเสียน้ำตาให้กับหนังเรื่องนี้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนังที่สะท้อนสังคมออกมาแทบจะทุกเรื่อง มีความตื่นเต้นในหลายๆฉากที่ทำให้เราต้องลุ้นตามไปจนจบเรื่อง

4 king หนังดีกว่าที่คาด ให้ข้อคิดมากกว่าที่หวัง 

นักแสดงทุกคนเล่นออกมาได้ดีและเข้ากันอย่างลงตัว ตัวละคนที่ทำให้ทุกคนรู้สึกคลายเครียดได้คือ รูแปง อินทร ซึ่งสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับคนดูได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง อีกหนึ่งตัวละครที่ประทับใจที่สุดคือตัวละคร ยาท เด็กบ้าน ซึ่งเป็นเด็กที่ไม่ได้อยู่ในสถาบันไหนเลย แต่สามารถโชว์พลังความบ้าออกมาได้เต็มๆ 4 kings อาชีวะยุค 90

การแสดงในภาพรวมนั้นน่าประทับใจมาก นี่เป็นหนังที่ชมคุณภาพของการถ่ายทอดอารมณ์ให้นักแสดงนำได้ทุกคนเลย ขนาดว่าหลายคนในเรื่องเป็นเพียงดาวรุ่งในวงการนะ คุณภาพการแสดงกลับไปไกลกว่ารุ่นเก๋าหลายขุมแล้ว แต่ถ้าให้ผมเลือกชื่นชมใครเป็นหลักก็คงต้อง 2 คนนี้เลยครับ บิ๊ก อุกฤษ (D Gerrard) ในบทยาท เด็กบ้าน

ที่มีบทแค่ประมาณนึง แต่ทุกครั้งที่โผล่นั้นกวนได้ใจ และเข้าถึงความบ้าได้สุดขีด ขณะที่อีกคนที่ผมชอบมากก็คือน้องเนโกะ เนรัญชรา เลิศประเสริฐ ซึ่งเอาจริงก็มีบทพอๆ กันกับบิ๊กนั่นแหละ แต่ฉากดราม่าน้องเล่นได้ถึงจิตถึงใจน้ำตาไหลมาก เป็นตัวแบกฉากโศกหลักของเรื่องที่ทำใหเราเข้าถึงตัวละครของน้องได้ดีมาก หวังอย่างยิ่งว่าอนาคตน้องจะไปได้ไกล ชมกันได้ที่ รีวิวหนังไทยมาใหม่

รีวิวหนัง 4 kings อาชีวะยุค90 ความรู้สึกหลังดูจบ

การเล่าเรื่องสำหรับเรื่องนี้หากจะให้สรุปสั้นๆ นี่ก็เป็นเหมือนโฆษณาสสส. ขนาดยาว หรือใกล้เคียงกับละครฟ้ามีตาก็ได้ เนื้อเรื่องไม่ได้มีชั้นเชิงซับซ้อน เน้นเล่าเรื่องง่ายๆ ให้ผู้ชมทั่วไปเข้าถึง พยายามเกลี่ยเฉลี่ยเนื้อหาเรื่องให้อยู่ตรงกลางระหว่างเรื่องเศร้าสอนใจเด็กวัยรุ่นหัวร้อนกับการโชว์ความเท่เก๋าของเด็กช่างไปด้วยในตัว ซึ่งนำเสนอออกมาได้ดี

ทั้งคู่ ขณะที่บทภาพยนตร์นั้นค่อนข้างเยี่ยม แม้ปลายทางเนื้อเรื่องจะเชย เดาง่าย แต่ความเป็นธรรมชาติของตัวละครที่สร้างมาและบทพูดที่ลื่นไหลนั้นก็ทำให้เนื้อเรื่องดูสมจริง มีชีวิตชีวา ทำให้เราเชื่อว่าตัวละครเหล่านี้มีชีวิตอยู่จริงๆ และทำให้เราอินกับเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก 4king เต็มเรื่อง 

โดยเฉพาะการออกแบบบุคลิกของกลุ่มแก๊งค์นักแสดงนำชายทุกคนคือทำได้ดี เห็นได้ถึงความเก๋าและกวนสมกับตัวละครเด็กช่างที่มักจะเป็นแบบนี้ ตัวจี๊ดทั้งนั้น ขณะเดียวกันหนังก็นำเสนอความมีมิติของตัวละครได้อย่างน่าชื่นชม รู้สึกได้ว่าผู้เขียนบท

(ซึ่งก็คือผู้กำกับนั่นแหละ) เข้าใจวิถีชีวิตของกลุ่มเด็กช่างเป็นอย่างดี และถ่ายทอดออกมาได้อย่างเหมาะสม ไม่อวยความเป็นเด็กช่างอย่างไร้เหตุผล แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้ใครรังเกียจเด็กช่างเพียงเพราะชื่อเสียงแย่ๆ ที่เด็กบางกลุ่มเคยสร้างไว้ก็เท่านั้น เพราะหากมองลึกๆ แล้วเด็กเหล่านี้ก็คือวัยรุ่นที่บ้านไม่ได้รวยนัก ขณะที่บางคนก็มีปัญหากับที่บ้านจนเลือกติดเพื่อนและรักเพื่อนมากกว่า หลายคนก็คึกคะนองไปตามวัย ก็เท่านั้น 4 king ตัวจริง    รีวิวหนังไทยใหม่น่าดู