Category Archives: หนังไทยnetflix

รีวิวหนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย ภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญ

รีวิวหนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย

รีวิวหนังไทยมาใหม่ และในวันนี้เราก็มี รีวิวหนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย ก็สงสัยอยู่ว่า หนังจะเป็นแบบไหน จะใกล้เคียงกับอะไรที่เราเคยคุ้นกันหรือเปล่า ดูจากตัวอย่างก็เริ่มรู้ว่า มันเป็นหนังวัยรุ่นสไตล์สยองขวัญ เรื่องราวของเด็กสี่คนที่ไปเที่ยวด้วยกันก่อนที่จะการตายของหนึ่งตัวละครจะเกิดขึ้น

ตัวอย่างก็บอกไว้เพียงเท่านี้ ไม่มีใครรู้อะไรอีกหลังจากนั้น จนกว่าจะได้ดูหนังเต็มๆ การจะบอกเล่าอะไรลงไปในข้อเขียนนี้ จึงกลายการสปอยล์เรื่องราวต่างๆ ไปในทันที เอาเป็นว่า ลองดูตัวอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนได้ที่ข้างล่างนี้ได้เลยนะคะ นักแสดงนำหลักๆในเรื่องก็ได้แก่ 

จิรายุ ละอองมณี รับบท สิงห์ , สุทัตตา อุดมศิลป์ รับบท มีน , พิมพกานต์ ​แพร่คุณธรรม​ รับบท จอย , เอกวัฒน์ นิรัตน์วรปัญญา รับบท ติ่ง , กฤษ สถาปนพิทักษ์กิจ รับบท กานต์ , กัลยา เลิศเกษมทรัพย์ รับบท แม่ติ่ง/แม่จอย ถ้าหากเพื่อนๆคนไหนที่อยากรู้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นแบบไหนมาติดตามรับชมการแนะนำหนังไปพร้อมๆกันในบทความนี้ได้เลยนะคะ

กำกับ กิตติธัช ตั้งศิริกิจ

สิทธิศิริ มงคลศิริ

ษรัณยู จิราลักษม์

บทภาพยนตร์ คงเดช จาตุรันต์รัศมี

เนื้อเรื่อง ภัทรา พิทักษานนท์กุล

วรฐิติ มโนสร้อย

ทินพัฒน์ บัญญัติปิยพจน์

ชนากานต์ คำกิโล

อำนวยการสร้าง ฤทัยวรรณ วงศ์สิรสวัสดิ์

คงเดช จาตุรันต์รัศมี

พิมพกา โตวิระ

นักแสดงนำ จิรายุ ละอองมณี

สุทัตตา อุดมศิลป์

พิมพกานต์ ​แพร่คุณธรรม​

เอกวัฒน์ ​เอกอัจฉริยา

กฤษ สถาปนพิทักษ์กิจ

กำกับภาพ สยมภู มุกดีพร้อม

ผู้จัดจำหน่าย Talent 1 Movie Studio

วันฉาย 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ช่องทางการรับชม ดูหนังฟรีออนไลน์

รีวิวหนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย

ผลงานกำกับโดย กิตติธัช ตั้งศิริกิจ,สิทธิศิริ มงคลศิริ และษรัณยู จิราลักษม์

หนังสยองขวัญหรือหนังผีเป็นหนังที่เราชอบดูหลังหนังแอคชั่น เพราะดูแล้วก็ขนลุกดี และผู้เขียนชอบดูมากจนปิดห้องดูคนเดียว และต้องปิดไฟด้วย ถ้าอยากได้อารมณ์ที่สุดต้องดูตอนกลางคืนเงียบๆ เราสามารถดูได้หมดทั้งหนังผีไทย ฝรั่ง หรือจีน บางทีก็มีหนังผีเกาหลีด้วย การดูในรูปแบบต่างๆ และประเภทต่างๆ ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ในชีวิตจริงเราไม่เคยกลัวเลย

หนังไทยที่น่าดูมีน้อยมากเพราะทุกวันนี้หนังผีหรือหนังสยองขวัญก็ทำแนวตลกเดิมๆจนต้องหาเนื้อเรื่องและฉากใหม่ๆมาดึงดูดคนดูให้ถูกใจ ลองดูสิ. เพราะตอนนี้ผู้ฟังไม่ได้โง่อีกต่อไปแล้ว ฉลาดกว่าเดิมมากจะได้ตั๋วไปดูหนังในโรง น่าจะมีอะไรแปลกใหม่มาขายโชว์บ้าง

รีวิวหนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย

ส่วนหนังไทยจาก GTH ก่อนจะเปลี่ยนเป็น GDH ผู้เขียนเองก็ชอบหนังผีหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ลัดดาแลนด์ รายการหน้าอาฆาตแค้น หรือฤดูร้อนนั้นฉันตาย

หรือจะเป็นทางแยกสี่ทาง ทางแยกห้าทาง และเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมาย และวันนี้เราจะมาแนะนำให้คุณรู้จักกับภาพยนตร์ ฤดูร้อนนั้นฉันตาย พระเอกและนางเอกเป็นดาราวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงในวงการดารา

เรื่องย่อ Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย

Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย เล่าเรื่องของ หญิงสาวกะชายหนุ่มที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน ชายหนุ่มชอบหญิงสาวมาก เพื่อนของฝ่ายชายวางยาโดยผสมใส่ไปในเบียร์ให้ฝ่ายหญิงกิน

โดยที่ฝ่ายหญิงกินเข้าไปเกิดอาการช็อกน้ำลายฟูมปากและสิ้นใจตายในห้องพัก ทั้งเพื่อนของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายต่าง ๆ วิ่งเข้าไปดูแต่ก็ช่วยไม่ทันซะแล้ว ฝ่ายหญิงได้ตายไปแล้ว ฝ่ายชายได้ต่อว่าเพื่อนของตัวเองว่าใส่ยาเยอะไปหรือเปล่า  

เมื่อเห็นว่าฝ่ายหญิงนั้นตายแน่แล้ว และฝ่ายชายได้กลัวความผิด จึงนำเอาหญิงสาวไปยัดใส่กระเป๋าเดินทางสีแดงใบใหญ่ ก่อนที่จะใส่ลงไปได้ฝ่ายชายได้หักแขนหักขาของหญิงสาว เพื่อให้ยัดใส่เข้ากระเป๋าไปได้ และนำไปทิ้งลงในทะเลที่อยู่ใกล้กับที่พัก 

ต่อมาตอนเช้าเมื่อเพื่อนของฝ่ายหญิงมองที่ระเบียงชั้นบน กับเห็นกระเป๋าใบสีแดงที่ใส่ศพของฝ่ายหญิง ได้ลอยมาติดที่ชายฝั่ง ฝ่ายชายจึงตัดสินใจนำกระเป๋าใส่ศพยัดใส่ท้ายรถเก๋งและขับออกไปเพื่อจะนำกระเป๋าใส่ศพฝ่ายหญิง ไปทิ้งในที่ไกล ๆ เพื่อทำลายหลักฐาน 

แต่ระหว่างที่ขับไปกลับได้ยินเสียงประหลาด ๆ อยู่ตลอดเวลา เปิดวิทยุฟังก็ได้ยินเสียงแปลกแทรกเข้ามาในวิทยุตลอด จนคนในรถเริ่มประสาทเสีย คิดและกลัวกันไปต่าง ๆ นานา เมื่อขับรถไปได้ไกลแล้วฝ่ายชายได้จอดรถเพื่อนำกระเป๋าใส่ศพฝ่ายหญิงลงไปทิ้ง

และกลับเห็นภาพหลอนเป็นฝ่ายหญิงมายืนถือปืนถือมีดเพื่อจะฆ่า จนตำรวจทราบเรื่องเพราะมีคนเห็นท่าไม่ดีจึงไปแจ้งตำรวจ และระหว่างที่ตำรวจจะจับฝ่ายชายได้ใช้ปืนไฟแช็คเพื่อป้องกันตัว และได้เกิดโรงงานดอกไม้ไฟระเบิดและเผาร่างฝ่ายชายจนตาย

การดำเนินเรื่อง

เรื่องราวที่มีอะไรมากกว่านั้น มากกว่าที่เราได้เห็นจากในตัวอย่างที่่บอกเราเพียงแค่การตายอย่างไม่ทันคาดคิดของ “จอย” (อาย-พิมพกานต์ แพร่คุณธรรม) ตัวละครสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งในทริปครั้งนั้น 2 หนุ่ม (สิงห์ แสดงโดย เก้า-จิรายุ ละอองมณี และกานต์ 

แสดงโดย สบาย – กฤษ สถาปนพิทักษ์กิจ) กับ 1 สาว “มีน” (ปันปัน – สุทัตตา อุดมศิลป์) ที่เหลือเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก ได้แต่คิดเพียงเอาตัวรอด จึงเลือกจะเก็บศพยัดใส่กระเป๋าเดินทางแล้วนำไปทิ้งเท่านั้น แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด ศพยังคงเลือกที่จะติดตามเขาตลอดมา

มีน กับ จอย นั้นเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ แต่เมื่อเพื่อนของเธอเสียชีวิตอย่างน่ากังขาในทริปเดทกับอีกสองหนุ่มที่ยังไม่รู้จักกันดี หนึ่งในนั้น คือ สิงห์ ที่จอยนึกชอบเขาอยู่ สิ่งที่เธอเลือกทำ ไม่สิ พวกเขาทั้งหมดเลือกทำนั่นแหละที่สะท้อนถึงผลที่จะตามมา

ความรู้สึกหลังรับชม

หนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย (2556) เป็นหนังผีวัยรุ่นที่ถ่ายทอดบทเรียนความหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองทำของคนเราซึ่งชีวิตจริง นับวันจะเริ่มแปลงจากผู้แสดงสีเทาเป็นสีดำกันมากยิ่งขึ้นทุกครั้ง โดยมีผีหน้าจอยที่รอตามหลอกเพื่อพวกเขาได้ยอมรับความผิดพลาดบาปในสมัยก่อนที่ปกปิดคนอื่นๆ เรื่องของคุณหลายแบบมานานและก็ทำให้ทุกคนที่คิดร้ายต่อคุณได้รับกรรมตามทันอย่างเร็ว 

แม้กระทั้งมีนที่เป็นเพื่อนสนิทโดยความเป็นจริงก็รอแอบแกล้งคุณลับหลังรวมทั้งอิจฉาเธอ แม้กระทั้งคนภายในครอบครัวก็ด้วยเหมือนกัน ซึ่งราวกับหนังอยากทำให้พวกเรามีความคิดเห็นว่าไม่มีผู้ใดที่จะดีกับทุกคนที่สุด เพราะว่าสิ่งที่มีความต้องการของตนย่อมแอบแฝงไว้ภายใต้มิตรภาพแล้วก็ความเกี่ยวพันของคนเราในสังคมที่แนบเนียนแล้วก็เมื่อถึงเวลาก็จะเบาๆแสดงออกมา 

แม้กระนั้นท้ายที่สุดเมื่อทำผิดไปแล้ว บาปที่ตนเองก่อก็จะตามมาโจมตีผู้ทำในตอนหลังไม่แตกต่างกับวิญญาณหน้าจอยที่เคียดแค้นเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สอนให้เรารู้ว่า เมื่อคุณคิดจะคบกับใครในฐานะเพื่อน คนใกล้ชิด หรือคนรัก

จงอย่าลืมว่าอาจไม่ใช่ทุกคนที่ตั้งใจเข้าหาคุณด้วยมิตรภาพจริง แต่เป็นเพราะผลประโยชน์หรืออาจจะต้องการเป็นที่ยอมรับด้วยก็ได้ ฉะนั้นอย่าได้ไว้ใจใครให้มากหากเขาไม่ใช่ร่างกายของเราเอง!

รีวิวหนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย จุดเด่นของหนัง

ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนเป็นหนังผีเป็นตอนๆ ในรูปแบบของซีรีส์ หนังแบ่งออกเป็น 3 ภาค ภาค 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนสนิทของนางเอกที่อิจฉาที่นางเอกเรียนเก่งกว่า

และถูกผีนางเอกหลอกหลอนจนต้องกระโดดลงมาจากตึกเพื่อฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายก็เป็นน้องชายของนางเอกที่เปิดเผยทุกอย่าง

Summer ที่แล้ว ฤดูร้อนที่ฉันตายไป ตอนที่ 3 จะพูดถึงน้องชายของนางเอกที่เป็นคนทำร้ายเธอ เป็นนางเอกเปิดกล้องกับพระเอก

มันเหมือนกับการเปิดกล้องเพื่อให้ผู้ชายเห็นกางเกงในของเขา ส่วนน้องชายเขาเป็นคนลงคลิปนั้นเอง ทำให้นางเอกคิดมากจนกลายเป็นผีและมาแก้แค้นน้องชายของตัวเอง

สรุปรีวิวเนื้อหา

ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า เป็นหนังผีที่ดำเนินเรื่องดี เปิดหัวนางรองก็ตาย แต่นางเอกก็ตายตอนจบเรื่อง เราชอบเนื้อเรื่องของหนัง มีฉากที่น่าตื่นเต้นและน่าตกใจตลอดทั้งเรื่อง ไม่น่ากลัวจนโจ่งแจ้ง ผู้กำกับหนังเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีพลัง เราชอบนักแสดงนำทุกคน 

รีวิวหนัง Last Summer ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย

บอกเลยว่าสตูดิโอหนัง GTH ทำหนังดีมาก ก็สนุกเหมือนกัน นานๆจะได้ดูหนังผีแบบนี้บ้าง ว่ากันว่ามีหลายรสชาติในหนังเรื่องเดียว ลดความน่าเบื่อได้มาก เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของตลาดหนังสยองขวัญ ให้ 10 เต็ม 10 เลยจ้าา

ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นๆได้ที่ รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม หนังสยองขวัญแนวแอ็คชั่นแฟนตาซี

รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม หนังสยองขวัญแนวแอ็คชั่นแฟนตาซี

รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม

รีวิวหนังไทยมาใหม่ สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกคนและนี่คือกลับมากำกับภาพยนตร์อีกครั้งหลังจากรับหน้าที่โปรดิวเซอร์ให้กับภาพยนตร์หลายเรื่อง ปรัชญา ปิ่นแก้ว กับผลงานล่าสุด SisterS กระสือสยาม นำตำนานผีไทยมาตีความใหม่ให้มีความทันสมัยและเข้ากับยุคปัจจุบันมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นไซไฟแฟนตาซีผสมกับแอ็คชั่นเล็กน้อย งานนี้มี 2 สาว โจ้ พลอยยุคล และ มิวนิก นันท์นภัส รับบทนำ ร่วมกับ หญิง รฐา และ ต๊อก สุภากร 

ชื่อหนัง กระแสสยาม / SisterS

ผู้กำกับภาพยนตร์ : ปรัชญา ปิ่นแก้ว

ผู้เขียนบท: Four Red Fruits

นักแสดงนำ : นันทภัทร์ เลิศนำเชิดสกุล (มิวนิก BNK48), โจ-พลอยยุคร โรจนกตัญญู, ฟลุ๊ค-ชินภัทร กิติชัยวรางกูร, ชิม่อน-วชิรวิชญ์ เรืองวิวัฒน์, หญิง-รฐา โพธิ์งาม, ต๊อก-ศุภกร กิจสุวรรณ

ความยาว: 106 นาที

ปี: 2019

ประเภท/ประเภท: สยองขวัญ, ระทึกขวัญ, แอ็คชั่น

อัตราส่วนภาพ:

ประเทศไทย

อัตรา: ไทย/, MPAA/

วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 4 มีนาคม 2019

สตูดิโอ/ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย: สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล, บารมี, สำนักงาน BNK48

ช่องทางการรับชม ดูหนังฟรีออนไลน์

รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม

รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม ผลงานผู้กำกับปรัชญา ปิ่นแก้ว

เป็นเรื่องน่าเสียดายและโชคดีที่กระแสสยาม โดย ปรัชญา ปิ่นแก้ว (ผู้กำกับองค์บากและต้มยำกุ้ง) เข้าฉายพร้อมๆ กับแสงกระสือที่เพิ่งเข้าฉายเมื่อเดือนก่อน ส่วนที่เราถือว่าโชคดีคือ แสงกระสือ ซึ่งทำได้ดีตามมาตรฐานหนังไทย ช่วยเหลือคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เปิดใจรับภาพยนตร์ไทยและความเชื่อเกี่ยวกับกระแสมากขึ้น และส่วนที่เราคิดว่าน่าเสียดายคือ แสงกระสือ ทำได้ดีเกินมาตรฐานของหนังไทย จนมาสร้างหนังกระแสสยาม เทียบได้กับไม่มีอะไรดีเลย

เราพยายามอย่างหนักที่จะไม่เปรียบเทียบทั้งสอง เราพยายามมองว่าทั้งสองเรื่องนี้มีสไตล์ที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กระแสสยามโดยปราศจากแสงกระสือแวบเข้ามาในจิตใจของเรา หากเราพยายามพูดอย่างเป็นกลาง เราจะพูดถึงกระแสสยามซึ่งผลิตโดย BNK48 และจัดจำหน่ายโดยสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล เขาตั้งใจจะทำให้ดูเป็นชายมากขึ้น

รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม

จากการตั้งชื่อเรื่องและใช้สถานที่สร้างรังกระสือในสยาม อยากให้คนดูเพื่อความบันเทิงทั่วไป มีฉากแอ็คชั่นและมนต์ดำต่อสู้กันระหว่างคนกับกระแส ในขณะที่แสงกระสือเน้นเรื่องความรักโรแมนติกและจิตวิญญาณของกระแส รวมถึงความสำคัญของศิลปะและความพิถีพิถัน นอกจากนี้ยังมีการตีความใหม่ที่ลึกซึ้งและจริงจังมากขึ้น

มันเลยเป็นสไตล์ที่แตกต่าง สุดท้ายก็แล้วแต่บุคคล คุณชอบกระเสือกประเภทไหนมากกว่ากัน? แต่สำหรับเรากระแสสยามไม่ตรงกับใจเราเลย คุณจะบอกว่าฉันไม่ชอบมันจริงๆ สิ่งเดียวที่ฉันชอบคือภาพที่สวยงาม อ้อ…และนักแสดงหน้าตาดีด้วย

เรื่องย่อ SisterS กระสือสยาม

เรื่องราวก็คือ เรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของ “พี่น้องสองสาว”ที่ไม่อาจจะเลือกวิถีชีวิตรวมทั้งความเป็นไปของตนได้ทั้งสองได้รับการอุปการะมาไม่เหมือนกัน

และก็จำเป็นต้องแยกกันอยู่ด้วยสิ่งที่จำเป็นบางสิ่งบางอย่างวันหนึ่งชะตากรรมก็ทำให้สองพี่น้องจำเป็นต้องมาดำรงชีวิตด้วยกัน เมื่อ“วีณา” พี่สาวผู้ยอมเสียสละทั้งชีวิตเพื่อคุ้มครอง “โมรา”น้องสาวผู้อ่อนแอ

ให้รอดพ้นจาก “ราตรี”นางพญาผีกระสือซึ่งคอยวันที่โมราจะเปลี่ยนร่างในวัย 16 ปีเพื่อหมายฆ่าจากความแค้นที่ฝังลึกในสมัยก่อนกับเชื้อสายของพวกคุณรวมทั้งเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏทั้งสองจำเป็นต้องต่อสู้แล้วก็ก้าวผ่านความไม่ลงรอยกัน

อันร้ายแรงนี้ไปให้ได้ในที่สุดแล้วพวกคุณจะปลดปล่อยให้เป็นไปตามวิถีชีวิตที่ไม่มีช่องทางของแต่ละคนหรือจะดิ้นรนฝืนโชคชะตานี้เพื่อได้กลับมาอยู่เป็น“ครอบครัวเดียวกัน” อีกที…

ความรู้สึกหลังรับชมหนัง กระสือสยาม

หากเราพยายามพูดอย่างเป็นกลาง เราจะพูดถึง กระสือสยาม ซึ่งผลิตโดย BNK48 และจัดจำหน่ายโดยสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล เขาตั้งใจจะทำให้ดูเป็นชายมากขึ้น จากการตั้งชื่อเรื่องและใช้สถานที่สร้างรังกระสือในสยาม อยากให้คนดูเพื่อความบันเทิงทั่วไป

มีฉากแอ็คชั่นและมนต์ดำต่อสู้กันระหว่างคนกับกระแส ในขณะที่แสงกระสือเน้นเรื่องความรักโรแมนติกและจิตวิญญาณของกระแส รวมถึงความสำคัญของศิลปะและความพิถีพิถัน นอกจากนี้ยังมีการตีความใหม่ที่ลึกซึ้งและจริงจังมากขึ้น

มันเลยเป็นสไตล์ที่แตกต่าง สุดท้ายก็แล้วแต่บุคคล คุณชอบกระเสือกประเภทไหนมากกว่ากัน? แต่สำหรับเรากระแสสยามไม่ตรงกับใจเราเลย คุณจะบอกว่าฉันไม่ชอบมันจริงๆ สิ่งเดียวที่ฉันชอบคือภาพที่สวยงาม อ้อ…และนักแสดงหน้าตาดีด้วย

โดยส่วนตัวนั้นค่อนข้างถูกจริตกับความบ้านๆ ของ แสงกระสือ เสียมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบ กระสือสยาม ด้วยความที่หนังได้ตีความเรื่องนี้ออกมาแบบไซไฟแฟนตาซี ให้กระสือเปรียบเสมือนโรคชนิดหนึ่งและสัตว์ประหลาด

แล้วนำมาผูกกับเรื่องราวการล้างแค้น ภาพรวมก็ถือว่าหนังทำออกมาได้ค่อนข้างดี แม้จะไม่ได้สนุกมาก แต่ก็ดูได้เพลินๆ แอบใส่จังหวะตุ้งแช่ให้ได้ตกใจกันหลายรอบอยู่ แต่การตีความกระสือใหม่มันยังดูไม่ค่อยลงตัวเท่าที่ควร

บทบาทนักแสดงนำ

สำหรับน้องมิวนิคกับน้องโจโจ้ ส่วนตัวพวกเรามีความรู้สึกว่ายังไม่ไหวจริงๆแม้กระนั้นมองเห็นอยู่ล่ะว่าน้องตั้งอกตั้งใจเล่นยอดเยี่ยมแล้ว ส่วนใดส่วนหนึ่งที่พวกเราว่าไม่โอเค อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากบทของน้องมันงี่เง่า โง่เง่า และไม่น่าเอาใจช่วยกันเลย แม้กระทั้งบทของดาราเบอร์ใหญ่อย่าง ต๊อก ศุภมือ กับญาญ่าญิ๋ง ก็ไม่โอเค นักแสดงราวกับจะเก่ง

แต่ว่าในที่สุดก็ง่อยเปลี้ยเสียขารวมทั้งทำอะไรที่ผู้ชมอย่างพวกเราเข้าไม่ถึง อย่างเช่น จังหวะนางพญาผีกระสือสามารถฆ่าวีณาได้ไพเราะวีณาสลบไป นางก็ไม่ฆ่า ฆ่าแม้กระนั้นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ทั้งๆที่ปากก็พูดว่ารอเวลาเอาคืนและก็ทรมาทรกรรมอีครอบครัวนี้มาตลอดชีพ และก็ปลดปล่อยให้วีณาตามมาเอาคืนนางกำนัลตอนองก์ในที่สุดซะอย่างงั้น

แล้วก็หากกล่าวว่าหนังย้ำเรื่องพี่น้อง นี่ก็ไม่อินจ้า คู่วีณา-โมรา นี่น่าลำไยมากมาย เขียนมาได้ว่ามีกันอยู่เพียงแค่สองคนพี่น้อง จะบ้าหรอ ไม่คิดจะปรับนิสัยกับสังคมหรือมีสหายมีฝูงบ้างหรอ แหม อันนี้ถูกทำโทษบทขุ่นบิดาก่อนด้วย ที่สอนลูกสอนหลานแปลกๆสอนวิชาให้หลาน บังคับหลานทำโน่นทำนี่เพื่อน้อง

(ซึ่งก็คือบุตรสาวในไส้ตนเองที่เป็นผีกระสือ) ไม่ให้หลานได้ทำอะไรที่หลานต้องการทำ หลานมิได้ดำเนินชีวิตเลย จำเป็นต้องมารอตามน้อง น้องก็โง่ เพราะว่าบิดามันเลี้ยงแบบไม่ถูกๆไม่สอนลูกให้อยู่กับเรื่องจริง ไม่บอกเรื่องจริงแล้วก็สาเหตุใดใด มัวแต่ปกปิดเรื่องจริงลูก อื่นๆอีกมากมาย ในที่สุด เมื่อตัวละครที่เป็นตัวเอกมันไม่น่าเอาใจช่วย ก็จบ.

รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม จุดเด่นและจุดด้อยของหนัง

และฉากแอคชั่นและฉากไคลแมกซ์ในรังของกระสือก็ไม่คู่ควรกับชื่อเสียงของผู้กำกับในภาพยนตร์แอคชั่น แต่… มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะวีณา ซึ่งเป็นสาวมัธยมปลายร่างผอมมีความรู้ เป็นเพียงเวทย์มนตร์อันชาญฉลาด

(เธอเรียนรู้จากพ่อโมรา (ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนรู้จากแม่ของวีณาได้ไม่กี่เดือนเช่นกัน) ไปต่อสู้กับกระสือหลายสิบตัว และหนึ่งในนั้นคือ ราชินีกระสือที่มีพลังวิเศษ ( ไม่รู้มาจากไหน) อีกทั้งฉาก CGI ที่กระแสหมีสู้กับกระแสก็รับได้ แต่ประเด็นคือ ตลกมากกว่าตื่นเต้น ดูแล้วก็ถอนหายใจ เหนื่อยที่หนุ่มกระแสต้องทน ทำสิ่งนี้

เราแอบคิดว่ากระแสสยามอาจเป็นหนังที่ดีกว่าที่เราคิด เพราะวิธีการเล่าเรื่องราวในยุคแรกๆ นั้นเป็นสากลมาก อีกทั้งยังมีฉากที่น่าสนใจในโลกของผีและวิญญาณรวมถึงปีศาจด้วย กระตุ้นให้ผู้ชมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เพราะจริงๆ แล้ว หนังแบบนี้ค่อนข้างจะคาดเดาได้ ความสนุกจึงอยู่ที่การรอคอยระหว่างทาง มากกว่าจะมีทริคอะไรมาทำให้ว้าว และถ้าต้นเรื่องทิ้งเบาะแสไว้มากมายขนาดนี้ ไคลแม็กซ์คงจะสุดยอดมาก หากคุณหยิบของที่กระจัดกระจายมาเล่นให้ถูกเวลา

อนิจจา เหมือนท้ายๆ ตัวหนังรู้สึกว่า “ฉันวางนู่นนั่นนี่เยอะไปแล้ว” เพราะงั้นก็เลยกระทำการ “ช่างมัน” โยนความน่าสนใจทุกอย่างทิ้งแล้วน้อมนำคำสอนของตาเอก HRK ขอพุ่งทางตรงไถเรื่องให้จบแบบง่ายๆ งงๆ ตรงๆ ทื่อๆ ชนิดที่ไม่แคร์สื่อ แคร์เงื่อนไข หรือต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น นัยว่า “ก็จะจบอ่ะ แล้วมันผิดตรงไหน!

ซึ่งมันน่าเสียดายเพราะเหตุว่าพวกเรามองเห็นประสิทธิภาพลางๆว่ามันสามารถไปได้ไกลกว่านี้มากมาย แม้กระนั้นหนังกลับเลือกที่จะหยุดซะก่อน แถมดันหยุดในจุดที่พวกเรามองเห็นปัญหาซึ่งจำนวนมากจะมาพร้อมกับบทที่แปลกๆกับโปรดักชั่นซึ่งว่ากันตรงๆก็ไม่ค่อยดีนัก

โดยยิ่งไปกว่านั้นกับ CG ที่ส่วนท้ายๆตอนจุดไคลแมกซ์หลุดได้น่ารังเกียจมากมาย มีเฟรมตกหรือภาพแบน ภาพยืด ในบางฉากอีก ไม่นับองค์ท้ายที่สุดกับผลสรุปที่เชิญชวนปวดหัวอีก

แต่ว่าน่าผิดหวังที่สุดเป็นการที่ประเด็นนี้โปรโมทหน้าหนังว่าจะเป็นหนังบู๊แอคชั่น แต่ว่าซีนพวกนั้นกลับลวกๆจนถึงเกินความจำเป็น บางฉากปราศจากความดุเดือดมิได้ลุ้น บางฉากที่บิวต์มาดิบดีเกือบจะอีกทั้งเรื่องก็กลับตัดฉับไม่ให้มองเสียอย่างงั้น

ซึ่งทำเอาผู้เขียน หงุดหงิดเป็นอย่างมาก ถ้าหากบทห่วยแม้กระนั้นถ้าหากซีนต่อสู่น่าดึงดูดอย่างที่ได้โปรโมตไว้มันก็ยังเพียงพอมีคุณค่ามากขึ้นบ้าง แต่ว่าพอเพียงเป็นอีหรอบนี้เรียนตามจริงว่าเชียร์ไม่ขึ้นจริงๆ

บทสรุปรีวิวเนื้อหาโดยรวม

กระนั้นถ้าเกิดจะหาสิ่งดีๆของหนังก็อาจเป็นฝีมือการแสดงของน้องมิวนิคที่ไม่ได้ห่วยเลย ดียิ่งกว่าที่คาดไปมาก แม้กระนั้นก็นั่นแหละนะค่ะ ดาราเล่นได้โอเคตามหน้าที่

แม้กระนั้นถ้าหาก “หน้าที่” มิได้ส่งให้การแสดงดังที่กล่าวผ่านมาแล้วมองมีคุณค่าขึ้นมามันก็ดูเหมือนเท่านั้น และก็ผลสรุปของศึกผีกระสือ 2019 ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่หลายคนคาด เมื่อ “แสงสว่างผีกระสือ” ส่องแสงเจิดจ้า “ผีกระสือไทย” ที่มาแบบขมุกขมัวคลุมเครือสำหรับการเสนอสักด้าน ก็ยากจะต่อต้านหรือประมือด้วยได้จริงๆ

ถ้าเกิดจะกล่าวในเรื่องความสามารถของ ต๊อก ศุกภร แล้วก็หญิง รฐา แล้ว ก็ถือว่าทำเป็นดีไม่มีตกหล่น ที่จะมีปัญหาก็คือบทที่ออกจะไม่ใส่จะมีผลให้นักแสดงมีมิติ

รีวิวหนัง SisterS กระสือสยาม

สิ่งที่น่าจะเป็นปัญหาอีกสองสามอย่างของ ‘SisterS’ ก็คือ ความไม่เหมือนจริงของเรื่องราว การไล่ล่าที่ชักชวนผู้ชมให้ลุ้นหนักแต่ว่าเรื่องราวกลับเกิดขึ้นราวกับผู้แสดงที่ลุ้นคุ้นเคย คนที่อยู่รอบข้างเสมือนจะไม่สำคัญกับเรื่องราว

อีกส่วนก็อาจจะเป็นฉากการต่อสู้ที่มิได้น่าละลานตาเท่าที่มุ่งหวัง กับ CG ที่ค่อนข้างจะดีในฉากถอดหัวแต่ว่าไม่เวิร์กในฉากแอคชั่น สุดท้ายอย่างไรก็ตามหนัง SisterS กระสือสยา ก็เป็นหนังไทยหนังผีแนวใหม่ที่ ไม่ยึดติดวิธีการเล่าเรื่อง หรือการหลอกหลอนแบบเดิมๆอีกต่อไป

ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นๆได้ที่ รีวิวหนัง Mother Gamer เกมเมอร์เกมแม่ ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่มีพล็อตเรื่องเกี่ยวกับกีฬาอีสปอร์ต (E-Sports)

รีวิวหนัง ขุนบันลือ ภาพยนตร์ไทยแนวคอมเมดี้ ผลงานการกำกับของ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา

รีวิวหนัง ขุนบันลือ

รีวิวหนังไทยมาใหม่ สวัสดีค่ะกลับมาพบกันในวันนี้เราจะมารีวิวหนังเรื่อง ขุนบันลือ ภาพยนตร์ไทยแนว คอมเมดี้ ผลงานการกำกับของ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ซึ่งภาพยนตร์เริ่มเรื่องราวทั้งสิ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ซึ่งในยุคนั้นมีขุนบันลือเป็นขุนนางในกระทรวงมหาดไทย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปทําธุระให้กับ พระยาปันตานัยนิรัณ เมืองจังหวัดเชียงราย

เรื่องราววุ่นวายก็เลยได้เริ่มขึ้นในในเวลานั้น ถ้าหากเพื่อนๆคนไหนที่อยากรู้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นแบบไหนมาติดตามรับชมการแนะนำหนังไปพร้อมๆกันในบทความนี้ได้เลยนะคะ

ข้อมูลภาพยนตร์

กำหนดฉาย: 27 ธันวาคม 2561

แนว: ตลก

นำแสดง: เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา, เอ็นดู วงษ์คำเหลา, สุนารี ราชสีมา, เพทาย วงษ์คำเหลา, ลัทธ์กมล ปิ่นโรจน์กีรติ, ธนา ฉัตรบริรักษ์, ศักราช  ศรีวังพล, เจสสิก้า เอสพินเนอร์, สายสิน วงษ์คำเหลา, สมรักษ์ คำสิงห์, นพรุจ  แย้มขะมัง, นก วนิดา  เชิญยิ้ม, ปลาคราฟ เชิญยิ้ม, อรชร  เขิญยิ้ม, นงค์ เชิญยิ้ม, โรเบิร์ต สายควัน, เอกชัย ศรีวิชัย, ณัฐรภัทร์ กริษฐาเมธาสิริ, ไนกี้ นิธิดล ป้อมสุวรรณ

กำกับ: เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา

รีวิวหนัง ขุนบันลือ

รีวิวหนัง ขุนบันลือ ผลงานการกำกับของ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา

เป็นอีกรอบที่พี่หม่ำกลับมาเล่นเอง ควบคุมเอง กับหนังสไตล์ตลกโปกฮาเบาสมอง ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่ามันเป็นการมัดเรื่องของมุกตลกขบขันคาเฟ่ จะยิง 5 บาท 10 บาท ก็เอาหมด แนวๆเดียวกับละครชิงร้อยชิงล้านนั่นแหละ

เพียงแค่มีเนื้อหาที่มากขึ้น มีการเชื่อมโยงเรื่องหละหลวมๆซึ่งมันก็จะไม่ใช่หนังที่มีบทคงที่เท่าไรนัก หลายๆครั้งเลยทำให้บทพังทลาย เพราะว่าผู้กระทำระกระโดดของฉาก (เป็นถ่ายซีนมุกไว้เป็นชอตๆแล้วตัดมาต่อกันเพื่อเก็บได้ทุกมุก แล้วก็มองเป็นการเป็นงาน)

ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ หม่ำ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา หลังจากห่างหายไปนานกว่า 4 ปี นับจาก ทาสรักอสูร (2014)

งานนี้ก็เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้จะสามารถทำรายได้เทียบเท่าผลงานของลูกสาว เอ็ม บุษราคัม จาก ส่มภัคเสี่ยน (2017) ในแนวตลกที่กวาดรายได้ทั่วประเทศทะลุ 100 ล้านบาทได้หรือไม่นะ?  ช่องทางการรับชม  ดูหนังฟรีออนไลน์

รีวิวหนัง ขุนบันลือ

หนังเรื่องนี้เองก็ไม่ได้หนีพ้นไปจากหนังในกลุ่มนี้สักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากว่าพี่หม่ำ รวมทั้งคณะละครในหนังประเด็นนี้ล้วนขบขัน …หนังมันเลยเฮฮา

ซึ่งในส่วนของมุก มีหลายมุกที่ทำเป็นดี ยิงตรงเป้า บางมุกก็บางทีก็อาจจะแป้กไปบ้าง แม้กระนั้นรวมๆรวมทั้งเป็นหนังที่มองได้เพลิดเพลินนะ

เพียงแค่พวกเราบางครั้งก็อาจจะจำต้องรู้จักพี่กินดีโดยประมาณนึง เนื่องจากมุกที่เล่นในประเด็นนี้ก็จะวนๆแถวจังหวัดเชียงราย แถวครอบครัวพี่หม่ำ

เรื่องย่อ ขุนบันลือ

เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัย ร.ศ. 123 (พ.ศ. 2447) เมื่อ ขุนบันลือ (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) ได้รับมอบหมายให้ไปราชการที่เมืองเชียงราย แต่ขุนบันลือเองกลับกังวลใจ เพราะถูก มด (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ทาสหญิงที่ขุนบันลือแอบมีความสัมพันธ์ด้วย จับได้ว่าท่านขุนเคยมีซัมติงกับซัมวันที่เมืองเชียงรายมาก่อน 

รวมถึงความชุลมุนวุ่นรัก เมื่อเพื่อนรักของท่านขุน พาลูกสาวลูกชายมาฝากให้ช่วยดูแลระหว่างที่ไปราชการต่างประเทศ และทั้งคู่กลับมีเรื่องชอบพอกับบรรดาทาสในเรือนท่านขุนซะอีก

เรื่องราวความรักระหว่างชนชั้นจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ยันรุ่นลูก ท่านขุนจะหาทางออกอย่างไร มาติดตามอ่านรีวิวกันต่อเลยค่ะ

เรียกว่าการกลับมากำกับและพ่วงตำแหน่งนักแสดงนำของ หม่ำ เพ็ชรทาย ครั้งนี้เรื่องราวของหนังก็ยังคงเป็นความตลกโปกฮาที่เป็นจุดขายของเจ้าตัวเหมือนเดิม คราวนี้ได้หยิบเอาเรื่อง

ส่วนตัวเกี่ยวกับการนอกใจภรรยาไปมีเมียน้อยเชียงรายที่แก๊งตลกสามช่าอำกันจนหลายคิดว่าเป็นเรื่องจริงมาปรับเป็นบทภาพยนตร์หวังให้แฟนๆ ได้ฮากัน

พร้อมด้วยการพาบรรดาคนในครอบครัวทั้งภรรยา ลูกชาย และน้องชายมาร่วมแสดง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้สร้างความสนุกเฮฮากันท้องคัดท้องแข็งได้มากอย่างที่คาดหวังไว้

ด้วยมุกตลกที่ปรากฏอยู่ในหนังนั้นไม่ได้มีความแปลกใหม่เลย ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเห็นมุกเหล่านี้ในโชว์ตามรายการต่างๆ หรือภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของ หม่ำ เพ็ชรทาย จังหวะในการตบส่งมุกรวมก็ดูธรรมดาสร้างเสียงฮาได้เพียงน้อยนิดพอได้ขำในลำคอ

ในส่วนของพล็อตเรื่องที่ดูเหมือนจะน้ำเน่าอารมณ์คล้ายละครย้อนยุคสมัยก่อน แม้จะมีการแทรกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาเป็นช่วงๆ ก็ไม่ได้ทำให้หนังน่าสนใจมากขึ้น ดูๆ ไปก็แอบเบื่อเล็กน้อย และเชื่อว่าหลายคนน่าจะเดากันออกและมันก็ไม่สร้างเสน่ห์อย่างที่ควรจะเป็นเลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตั้งความหวังเพื่อที่จะไปสนุกเฮฮากับ ขุนบันลือ netflix นั้นช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร เหตุผลก็ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่าหนังค่อนข้างจะซ้ำซาก

แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรมากหวังดูเอาแค่เพลินๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะบางครั้งบางเรื่องราวก็อาจจะทำให้คนเราหัวเราะได้ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องนี้

ความน่าสนใจของภาพยนตร์

ด้วยการตัวทีเซอร์หนัง มีจุดน่าสนใจตรงที่มาเซตฉากเป็นแบบย้อนยุค แอบให้ความรู้สึกควันหลงจาก บุปเพสันนิวาส หน่อย ๆ แต่เส้นเรื่องของแต่ละตัวละครไม่ได้มีอะไรที่หนังหยิบมาขยายอะไรแบบจริงจัง

หนังไม่ได้โฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของ ขุนบันลือ กับหญิงสาวคนไกลที่เป็นปริศนามากอย่างที่คิด แต่จะวนเวียนอยู่กับเรื่องราวในชีวิตประจำวันมากกว่า แล้วก็ขยันปล่อยมุก 5 บาท 10 บาท

รีวิวหนัง ขุนบันลือ

บวกกับความตลกหน้าตายในแบบหม่ำสไตล์มาสร้างจุดขายเหมือนหนังของแกเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าด้วยความที่มีนักแสดงรับเชิญหลากหลายมาสร้างสีสัน

นี่คือจุดที่ช่วยพยุงหนังให้ดูเพลินได้เรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วง 20 นาทีแรก ทุกอย่างดูสมูทกว่าที่คิด ที่หนังดูจะมีบรรยากาศที่ดี ไม่พยายามตลกเกินไป

ความรู้สึกหลังรับชม

คือถามว่ามันตลกมั้ย ผมว่ามันตลกนะ หลายๆชอตที่ยิงมานี่ฮาจริง แต่ถ้าคนไม่รู้ว่าเชียงรายคืออะไร พี่หม่ำมีประเด็นอะไรกับที่บ้าน ก็อาจจะงงๆ ไม่เกทมุกก็เป็นได้ แต่ถ้าเกทกับเรื่องที่เค้าแซวๆพี่หม่ำกันบ่อยๆ 

ที่เหลือก็คือเข้าไปเสพความฮาล้วนๆ โดยรวมมองว่านี่เป็นหนังตลกส่งท้ายปีที่เรียกเสียงหัวเราะได้ดี สำหรับคนที่ชอบตลกสไตล์พี่หม่ำค่ะ หลายมุกหลายตัวละครปูมาดี เพื่อมาขยี้มุกซ้ำทีหลังก็มี

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเน้นไปทางความฮาเสียส่วนใหญ่ เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรมากมาย ไม่ได้มีปนของตัวละคร หรือความซับซ้อนใดๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหาภาพยนตร์ไว้ดูคลายเครียด กับภาพยนตร์เรื่อง ขุนบันลือ

รีวิวหนัง ขุนบันลือ จุดเด่นและจุดด้อยหนัง

อย่างไรก็ดี เนื่องจากว่าตัวหนังมันมิได้มีเส้นเรื่องที่จะพัฒนาต่อได้เป็นชิ้นเป็นอัน มันมีแต่ชายหญิงแต่ละคู่มองเห็นหน้าสบตากันแว้บแรกแล้วปิ๊ง แล้วไปจบกัน หรือไม่ก็มีเงื่อนที่เกี่ยวเนื่องกันมาก่อนแล้ว ที่ผ่านมามองเห็นกันเดินไปเดินมาในบ้านไม่คิดอะไร

แม้กระนั้นพอเพียงอยู่ๆไปก็เกิดอารมณ์เปลี่ยว อารมณ์เหงาหงอย อารมณ์คัน (ฮา) ความสัมพันธ์ของผู้แสดงที่เป็นข้ารับใช้ในเรือนกับตัวขุนนางนั้นเลยไม่ค่อยจะมีมากมายอย่างที่จะต้องเป็น

ทั้งยังหนังก็มิได้ตั้งใจจริงกับข้อความสำคัญประเด็นการเลิกขี้ข้าอีกเช่นเดียวกัน จริงๆจำเป็นต้องกล่าวว่าหนังมีพลอตซึ่งสามารถสร้างโอกาสต่างๆเข้ามาใส่ไว้ในเรื่องให้แข็งแรงขึ้นได้

และก็บางทีอาจครบรสมากยิ่งกว่าภาพยนตร์ตลกที่มาในอารมณ์เฮฮาคาเฟ่แต่ก่อน หลายมุก หลายเหตุการณ์ดูก็รู้ว่ามาแบบด้นสด ไหลไปบ่อย

ราวกับมองตลกคาเฟ่คณะ ป๋าเทพ เล่น เพียงแค่ตัวมุกไม่ค่อยฉีก รวมๆเลยค่อนข้างจะจาง จะมีตัดคะแนนหน่อยตรงที่จังหวะจะโคนไม่ค่อยดี จะไปงัดฉากตลกมาใช้ซะโดยมาก

ซึ่งนี่ก็เป็นเยี่ยมในสิ่งที่อยู่คู่หนังหม่ำมาตลอด พอๆกับหนังพชร์ แต่เข้าใจได้ว่ามันยังเวิร์กและเข้าถึงฝูงชนมองอีกกลุ่มนั่นแหละ

อันที่จริงดู ๆ ไป นี่เหมือนกับจะเป็นหนังที่หม่ำเคลียร์ตัวเองประเด็น ‘คนเชียงราย’ ให้ชัด ๆ กับเมียแกเองมากกว่าค่ะฮ่าๆ ซึ่งก็เป็นความโรแมนติกแบบกระด้าง ๆ ตามสไตล์คนขี้เขินแบบแกเอง ขณะที่น้องมิกซ์ ก็ได้ออกมาโชว์สกิลแร็พอยู่หลายซีน

โดยภาพรวม หนังขุนบันลือ เต็มเรื่อง สร้างความบันเทิงได้ในระดับที่ดูได้เรื่อย ๆ ไม่รู้สึกติดขัดหรือรำคาญอะไรมากนักค่ะ

บทสรุปโดยรวมของภาพยนตร์

ส่วนฝ่ายนักแสดงสมทบก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว ตัวแจมที่ต้องยกให้เขาเลยอย่าง “โรเบิร์ต สายควัน” ก็ทำออกมาได้ดี ทำให้หนังมีความน่าดูมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ใครที่กำลังหาหนังตลกดูคลายเครียด หัวเราะไปจนจบเรื่องล่ะก็ หนังขุนบันลือ เต็มเรื่อง พากย์ไทย ก็เป็นหนังที่แนะนำอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

หากว่ามุกขำขันรวมๆจะมองแกนๆจางแต่ว่าในช่วงท้าย หนังก็หมวดเงื่อนเข้าด้วยกันก้าวหน้าในเรื่องครอบครัว ที่จริงดูๆไป

นี่อย่างกับจะเป็นหนังที่กินจัดการตนเองประเด็น ‘คนจังหวัดเชียงราย’ ให้ชัดๆกับภรรยาเอ็งเองมากยิ่งกว่าฮ่าๆ ซึ่งก็เป็นความโรแมนติกแบบแข็งกระด้างๆตามสไตล์คนขี้เขินแบบแกเอง

ช่วงเวลาที่น้องมิกซ์ ก็ได้ออกมาโชว์สกิลแร็พอยู่หลายซีน ก็แค่ยังไม่ถึงกับฉายแววเมื่อมาอยู่บนหนัง อย่างไรก็แล้วแต่ ในรูปภาพรวม ขุนกึกก้อง สร้างความสนุกสนานได้ในระดับที่มองได้เรื่อยไม่เคยรู้สึกขัดข้องหรือหงุดหงิดอะไรเท่าไรนัก

และจะต้องดูว่าจุดหนึ่งที่ถูกใจเป็นเรื่องของการเก็บเนื้อหาในฉาก-รูปร่างหน้าตาสไตล์การแต่งตัว ทำเป็นดีมากกว่าที่คิดอย่างยิ่งจริงๆ‪

โดยภาพรวมหนังไม่ได้น่าเกลียด ไม่ได้แย่เข้าขั้นวิกฤต แน่นอนล่ะ..หนังแนวนี้เราไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเขา ถ้าใครดูตัวอย่างหนังแล้วชอบ สนุกกับมุกในตัวอย่าง บอกเลยว่ามุกที่เหลือทั้งหมดในเรื่องคุณผู้ชมก็จะสนุกกับมันเช่นกัน

ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นๆได้ที่ รีวิวหนัง อาตมาฟ้าผ่า หนังตลกไทยใหม่ล่าสุด นำแสดงโดย โอ๊ต ปราโมทย์ และ ป๊อป ปองกูล

รีวิวหนัง อาตมาฟ้าผ่า หนังตลกไทยใหม่ล่าสุด นำแสดงโดย โอ๊ต ปราโมทย์ และ ป๊อป ปองกูล

รีวิวหนัง อาตมาฟ้าผ่า

รีวิวหนังไทยมาใหม่ สวัสดีเช้าวันอังคารที่แสนสดใสนะคะ เริ่มต้นวันใหม่แบบนี้ เพื่อน ๆ คนไหนหาหนังตลกสุดฮาดูกันอยู่ไหมเอ่ย ? มาจ้าาา วันนี้ผู้เขียนก็มีหนังไทยที่พึ่งจะเข้าฉายทาง Netflix และติดอันดับ 1 – 10 เรียบร้อยแล้ว

นั่นก็คือเรื่อง อาตมาฟ้าผ่า เต็มเรื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นผลงานการผลิตโดยความร่วมมือระหว่างเอ็ม พิคเจอร์ส บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)

และบริษัท ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด สามยักษ์ใหญ่แห่งวงการบันเทิงของไทย และจะเข้าฉายในปี 2566

ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะมาสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี มีอีกทั้งมุกตลกขบขัน และก็ข้อคิดเตือนใจสำหรับเพื่อการดำเนินชีวิตเติมแต่งเข้ามาอย่างกลมกล่อมละมุนละไม รุมล้อมไปด้วยความสนุกสนานร่าเริงจากเหล่านักแสดงที่คนทัพมาอย่างคับคั่ง ช่องทางการรับชม  ดูหนังฟรีออนไลน์

รีวิวหนัง อาตมาฟ้าผ่า

เรื่องราววุ่นๆของพระ ที่ต้องปะทะกับสายฟ้าฟาด

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็น ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ พิพัฒน์ จอมเกาะ และควบคุมการผลิตโดย ยอร์ช ฤกษ์ชัย

ในส่วนของ เรื่องย่อ อาตมาฟ้าผ่า เกิดเรื่องราวของ พระจืด (โอ๊ต ปราโมทย์) พระที่มีชะตาชีวิตแปลกและน่าอัศจรรย์ เขาต้องมาวิ่งหนีฟ้าผ่าด้วยเหตุว่าดันไปผูกกรรมร่วมกับหมอผีที่ชื่อ ปักเป้า (ปิอป ปองกูล) เอาไว้ภายในชาติปางก่อน

ถ้าเกิดหมอปักเป้าทำเวรทำกรรมอะไรไว้ วิบากกรรมทั้งปวงก็จะเกิดขึ้นกับพระจืด แถมหมอปักเป้าดันไปให้คำปฏิญาณต่อฟ้า

เพื่อเอาอกเอาใจสาวที่ตัวเองจีบ พระจืดเลยโดนลูกหลงถูกฟ้าผ่าไปด้วย ก็เลยเกิดเป็นเรื่องราวชุลมุนวุ่นวายของพวกเขาที่จำเป็นต้องข้ามผ่านปัญหานี้ไปร่วมกัน

ประเภท: คอมเมดี้ / ตลก
ผู้กำกับ : พิพัฒน์ จอมเกาะ
นำแสดงโดย : ปราโมทย์ ปาทาน, ปองกูล สืบซึ้ง, ศนันธฉัตร ธนพัฒน์พิศาล
ความยาว : 93 นาที
กำหนดฉายในไทย : 6 เมษายน 2022 (ในโรงภาพยนตร์)

การดำเนินเรื่อง

ทีมเด็กวัดกับพระในเรื่องก็ เปิดฉากความสนุกโดยนำเนื้อหาทางพุทธศาสนามาด้วยทัศนคติเชิงบวก เตรียมผูกปมกับตัวละครของคุณให้พร้อมในเวลาไม่นาน

เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวพระรอดและพระสงฆ์ที่น่าสนใจจึงทำให้เกิดความขัดแย้ง ก่อนจะเข้าสู่แก่นของเรื่องอย่างรวดเร็ว

พระจืดต้องยอมรับกรรมที่เกิดจากหมอปักเปา มีการดำเนินเรื่องอย่างเรียบง่าย หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น วิธีแก้ปัญหาคืออะไร? เล่าเรื่องด้วยวิธีที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทีละขั้นตอน

เมื่อพระจืดออกเดินทาง พร้อมกับการประกบด้วยทีมเด็กวัด ในส่วนนี้สามารถเรียกรอยยิ้มออกมาได้ดีพอสมควร หลายคนอาจได้รับชมจากวิดีโอตัวอย่างสำหรับบทของ ลิงจ้อย ซึ่งเป็นไปตามแบบอย่างมีความกวนชวนยิ้มออกมาได้ในทันทีทันใด

รีวิวหนัง อาตมาฟ้าผ่า

แม้กระนั้นสิ่งที่ไม่เหมือนอย่างที่คิดคือทั้งทีมเด็กวัดไม่ได้มีบทสำหรับพูด หรือฉากตลกโปกฮาที่หวือหวามากเท่าไรนัก จะเป็นบทพูดที่ออกจะเรียบนิ่งไปสักนิด

ส่วนตัวมีความรู้สึกว่ากลุ่มนี้ควรสร้างความฮาได้มากกว่านี้ อย่าง อาไท ความสามารถสำหรับเพื่อการแสดง และก็จังหวะการเล่นตลกที่เคยผ่านผลงานมาก็ค่อนจะสร้างรอยยิ้มได้อยู่พอควร

แต่ว่าในเรื่องนี้บทบางครั้งอาจจะไม่ได้ส่งไปทางตลกขำก๊ากมากเท่าไรนัก การดำเนินรายละเอียดออกจะเรื่อยๆเรียบๆไม่มีจุดไหนที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไคลแมกซ์ อารมณ์พุ่งปรี๊ด แต่ว่าเป็นการเล่าแบบเพลิดเพลินเจริญใจยิ้มไปในทุกๆฉากนั้นๆ

โดยเมื่อเข้าถึงตอนคลายเงื่อนหนังมีการแทรกสอดแง่คิดสำหรับในการดำเนินชีวิตมาเสริมเข้าไปอย่างกลมกล่อมละมุนละไม

ก่อนที่จะคลี่คลายเรื่องราวหลักที่เป็นแก่นของเรื่อง และก็ตามมาด้วยการคลี่คลายนักแสดงนั้นๆอย่างครบบริบรูณ์ ไม่ทิ้งให้เลือนหายไประหว่างทาง ซึ่งถือข้อดีของหนังอีกหนึ่งอย่าง

ข้อดีและข้อเสียของภาพยนตร์

เรามาดูส่วนอื่นที่มีประสิทธิภาพของภาพยนตร์กันดีกว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการถ่ายภาพยนตร์ องค์ประกอบ การตัดต่อ และเอฟเฟ็กต์ CG ล้วนถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว

เช่น ฉากฟ้าผ่า พญานาค และกระสือ ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่ม CGI ส่งผลให้ได้รูปลักษณ์ที่สมจริงยิ่งขึ้น และรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เรามาเข้าฉากกันต่อ ส่วนประกอบ

โดยปกติแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ใช้ฉากหลายฉาก ตัวอย่างเช่น ฉากหลักสองฉาก ได้แก่ บ้านปักเป้าและวัด จะถูกจัดวางในลักษณะทั่วไป

นอกจากนี้ยังมักตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอีกด้วย การตัดต่อภาพยนตร์สามารถถ่ายทอดหลายอารมณ์ได้ในคราวเดียว และมีการหยุดทางอารมณ์เพื่อให้เราผ่อนคลายอยู่เสมอ มุมมองของตัวละครถือว่าได้ผล

การวิเคราะห์การกระทำของนักแสดงและการถ่ายทอดตัวละครได้อย่างแม่นยำนั้นยอดเยี่ยมมาก เช่นตัวละครหลัก พี่โอ๊ต-พี่ป๊อบ ก็จะมีตัวละครที่แฟนๆชื่นชอบ

หลายๆคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว ส่วนไหนของภาพยนตร์ที่จะคงตัวละครเดิมไว้เมื่อเข้ามา? และปรับให้เข้ากับบทภาพยนตร์มากขึ้น ทั้งคู่สามารถแสดงออกได้อย่างไม่เกรงกลัวต่อความลำบากใจ

รีวิวหนัง อาตมาฟ้าผ่า

มีข้อความสร้างแรงบันดาลใจทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เตรียมแสดงความสามารถในฐานะนักดนตรีด้วย บุคคลอีกคนหนึ่งที่เราชื่นชมมากคือคาริสสา

ความสามารถของเธอยอดเยี่ยมมาก เล่นใหญ่ ไร้กังวล สวยงาม และอำนวยความสะดวกส่งเสริมความเพลิดเพลินเพิ่มเติม

ส่วนเด็กวัดทั้ง 4 คน ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า บทสนทนาอาจไม่ได้มีเจตนาเพื่อตนและอาจไม่ตลก 100% เท่าที่ควร มันค่อนข้างโดดเดี่ยว อย่างไรก็ตาม

มีนักแสดงคนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือหลิงจ่อย ถ้าจอยไม่อยู่ เรื่องราวบางเรื่องก็คงจะต้องจบลง แม้แต่ฝน ศนันธฉัตร ก็ปรากฏตัวทั้งตอนต้นและตอนท้ายด้วย

อย่างไรก็ตามความน่ารักของเธอยังคงสร้างความประทับใจให้กับผู้ติดตามผู้จงรักภักดี สุดท้ายนี้ขอพูดถึงบทบาทของเอี๊ยง สาวนี แม่ของพระเชื้อ

ซึ่งเป็นที่รู้จักในบทคุณป้านิ่มในเพลงประกอบภาพยนตร์ เธอยังคงรักษาความสามารถในการแสดงอย่างเต็มที่ หนักหน่วงกับทุกอารมณ์

ความรู้สึกหลังรับชม

แง่มุมหนึ่งของหนังที่เรารู้สึกว่าสร้างความเสียหายอย่างมากก็คือการเล่าเรื่องที่ขาดเนื้อหาที่แท้จริง ถ้าเปรียบหนังกับความรู้สึกของเรา เนื้อเรื่องจะใช้เวลาประมาณ 20% ของเวลาทั้งหมด

เรื่องตลกและความเกียจคร้านของหนังจะกินเวลาประมาณ 80% ของเวลาทั้งหมด จึงทำให้หนัง 93 นาทีดูเป็นหนังสั้น อย่างไรก็ตาม มันยังค่อนข้างกว้างขวางคล้ายกับเรื่องนี้

นอกจากนี้เรื่องตลกของหนังก็ไม่มีผลสำหรับเรา (เราไม่แน่ใจว่ามีใครเคยดูเรื่องนี้แล้วหัวเราะหรือเปล่า ) สำหรับเรา ไม่มีช่วงเวลาใดที่เราคิดว่ามีอารมณ์ขันในหนังเรื่องนี้ สถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการหัวเราะในลำคอ

เราเชื่อว่าข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือบางส่วนของหนังมีการนำเสนออย่างตลกขบขันจนทำให้คุณรู้สึกหดหู่มากกว่าการล้อเลียน

สิ่งที่น่ายกย่องคือความสามารถของนักแสดงในการทำงานร่วมกันในขณะที่พวกเขาพูดตลกซ้ำๆ กันได้อย่างราบรื่น หนังดูมีสีสันน่าดู อย่างไรก็ตาม

สิ่งนี้ไม่ได้เพิ่มคุณค่าความบันเทิงของภาพยนตร์ ลูกเล่นหลายอย่างในหนังมีอยู่ทั้งที่นี่และที่นั่น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หนังโดยรวมจึงดูขาดความหลงใหล

อาตมาฟ้าผ่า netflix ยังเป็นภาพยนตร์ตลกจากระรุกที่มีผู้ชมชาวไทย ดูเหมือนจะไม่มีฟีเจอร์ความบันเทิงหรือตลกใหม่ๆ เลย ดูเหมือนว่าองค์ประกอบ น้ำเสียง

และมุกตลกจะเคยถูกนำมาใช้มาก่อน ข้อดีอย่างเดียวของเราคือนักแสดงที่มีส่วนทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ปรากฏ อย่างไรก็ตาม การนอนยังถือว่าเป็นความลับแบบเปิดเผย

โดยหนังบทหนังจาก โอ๊ต-ป๊อป ก็จะมีคาแรคเตอร์ที่แฟนๆ หลายคนติดตาอยู่แล้ว ซึ่งพอเข้ามาในหนังก็อาจจะมีส่วนที่ทั้งคงคาแรคเตอร์เดิม

และปรับให้เข้ากับบทหนังเพิ่มเติม ซึ่งทั้งสองคนสามารถแสดงออกมาได้อย่างไม่มีสะดุด มีฉากที่สามารถสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้อย่างจุใจ

รีวิวหนัง อาตมาฟ้าผ่า ฉากที่ประทับใจ

ส่วนตัวผู้เขียนเองเป็นแฟนคลับของโอ๊ต-ป๊อป รวมทั้งงานหนังของพี่ยอร์ชอยู่ห่างๆโดยเหตุนั้นแล้วจะดีจะร้ายก็ยังคงมีความคิดว่า มันควรจะมีอะไรสักอย่างในหนังที่โดนเส้นพวกเราบ้าง

ซึ่งก็คิดถูกค่ะ เนื่องจากว่าอย่างน้อยๆก็มีฉากตลกโปกฮาใหญ่ๆที่เล่นเอาขำจนกระทั่งเจ็บท้องอยู่ 2 – 3 ซีน

แบบว่าซีนที่พวกเรารู้ดีว่าคุณจะมาเล่นตลก รวมทั้งเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่คุณยังมีผลให้มันตลกโปกฮากระทั่งเจ็บท้องได้ อันนี้เป็นโคตรยอดเลยล่ะ แต่ว่าก็อย่างที่เกริ่นไว้ เพราะว่านอกเหนือจากความขำขันแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆมันน้อยลงมากมายๆ

เริ่มจากเรื่องราวที่เรียบแบนราบ การจัดการข้อแม้ของหนังที่ง่ายแสนง่าย กลุ่มตัวเอกที่น่าดึงดูดมีความไซอิ๋วหน่อยๆแต่ไม่ได้มีฉากร่วมเสี่ยงอันตรายกันซักเท่าไหร่ หรือการที่หนังมีสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างกระสือหรือพญานาค แต่กลับผูกมันให้มันเหมาะอย่างบางๆ

ก็ออกจะน่าเสียดาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ฟ้าผ่า” ที่น่าจะดูเป็นพระเอก ดู อันตราย หรือมีหน้าที่มากยิ่งกว่านี้ ก็กลายเป็นเพียงแค่ตัวประกอบตอนกลางเรื่องแค่นั้น

แน่ๆว่ามันไม่ถึงขนาดห่วยแตกเลอะเทอะอะไร แม้กระนั้นมันเพลนไปๆมาๆกๆไม่ถึงกับขนาดดีจนกระทั่งสามารถออกปากชมได้อย่างสนิทใจ

ก็ออกจะน่าเสียดาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ฟ้าผ่า” ที่น่าจะดูเป็นพระเอก ดู อันตราย หรือมีหน้าที่มากยิ่งกว่านี้ ก็กลายเป็นเพียงแค่ตัวประกอบตอนกลางเรื่องแค่นั้น

แน่ๆว่ามันไม่ถึงขนาดห่วยแตกเลอะเทอะอะไร แม้กระนั้นมันเพลนไปๆมาๆกๆไม่ถึงกับขนาดดีจนกระทั่งสามารถออกปากชมได้อย่างสนิทใจ

การผจญภัยผจญกรรมของพระจืดเลยจบเพียงแค่เป็นภาพยนตร์ตลกซึ่งสามารถดูเพื่อผ่อนคลายความเครียดพอได้

แต่บางทีอาจไม่น่าจดจำอะไรนัก เคมี โอ๊ต-ป๊อป นั้นอยู่ในระดับดีเลิศอยู่แล้ว ถึงสามารถแต่งตั้งฉากสุดฮาที่เยี่ยมที่สุดของหนังได้ แต่ว่าพอเพียงมานึกถึงในรูปภาพรวม

สรุปภาพยนตร์ อาตมาฟ้าผ่า ควรค่าแก่การรับชมไหม ?

ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าหนังเรื่อง อาตมาฟ้าผ่า hd เป็นหนังที่เด่นด้านตลกอย่างเดียวเลยยย !!! ถ้าเพื่อน ๆ หาอะไรดูคลายเครียดหรือหาหนังดูชิล ๆ

เรื่องนี้ก็บางทีอาจเหมาะสมกับทุกคนก็ได้ค่ะ เพราะอย่างน้อย ๆ มันก็ทำจุดที่ต้องการจะขายได้ดีล่ะนะ

แต่ก็นั่นแหละ ผู้เขียนอยากจะเชียร์มันให้ได้เต็มปากมากกว่านี้ น่าเสียดายจริงๆ บทภาพยนตร์อาจไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับหนังตลกเต็มตัวเรื่องอื่นๆสักเท่าไหร่

อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถดูเพื่อความเพลิดเพลินไปกับมันได้ คล้ายๆกับที่เราเคยดูมาแล้ว เพราะเราว่ามันสนุกอยู่นะคะ ได้อยู่ = ?

ในส่วนของประสิทธิภาพก็ถือว่าจับต้องได้ดีพอสมควรนอกจากนี้ อีกทั้งการทุ่มเทในบทบาทที่ได้รับจำเป็นต้องยกนิ้วให้เลย ต่อมาอีกด้านที่ชูโรงได้ดิบได้ดีคือการตัดต่อ

เอฟเฟกต์ CG ที่เสริมกองทัพเข้ามาทำให้หนังพอดีมากขึ้นเรื่อยๆ เหมาะสำหรับรับชมวันสบายๆ หนังเรื่อง อาตมาฟ้าผ่า ก็รอให้ทุก ๆ มาเฮฮาไปด้วยกันค่ะ

ทั้งนี้การรีวิวเป็นความชอบและเป็นความรู้สึกของเราเท่านั้น เราไม่ได้ตัดสินว่าเรื่องไหนดีหรือไม่ดีเพราะรสนิยมความชอบไม่เหมือนกัน ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วย ถ้าชอบกดติดตามได้เลยจ้า ครั้งหน้าจะมารีวิวเรื่องอะไร อย่าลืมติดตามกันนะ

ติดตามรีวิวหนังเรื่องนี้ รีวิวหนัง Once Upon A Star มนต์รักนักพากย์ 2023

รีวิวหนัง Once Upon A Star มนต์รักนักพากย์ 2023

Once Upon A Star มนต์รักนักพากย์

หนังไทยมาใหม่  วันนี้อยากจะขอมานำเสนอเรื่อง Once Upon A Star มนต์รักนักพากย์ เป็นหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอดีตพระเอกอย่าง มิตรชัย บัญชา พระเอกขวัญใจคนไทย ที่สมัยก่อนนักเร่ฉายหนังขายยาต้องมีหนังที่เขาแสดงติดรถไว้เพื่อฉายเรียกลูกค้า

และเขายังสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คนด้วย เรียกได้ว่าเป็นข่าวดี 2 เด้งของคอหนังไทยเลยก็ว่าได้ค่ะ ข่าวแรกก็คือ นี่คือการกลับมากำกับหนังไทยของพี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์แถวหน้าของไทย

เจ้าของผลงานระดับตำนานทั้ง ‘2499 อันธพาลครองเมือง’ (2540), ‘นางนาก’ (2542) และ ‘จัน ดารา’ (2544) และอีกข่าวก็คือ Netflix เองก็มีออริจินัลคอนเทนต์ที่แปลกใหม่มากขึ้น

โดยคราวนี้เลือกที่จะหยิบเอากลิ่นอายเมืองไทยช่วงทศวรรษ 2510 ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทย หรือที่เรียกกันว่ายุค ‘มิตร-เพชรา’ หรือยุคฟิล์ม 16 มม. มาบอกเล่าผ่านอาชีพเล็ก ๆ ที่สูญหายไปแล้วในยุคนี้อย่าง ‘หนังขายยา’

และอาชีพนักพากย์หนัง ด้วยตัวเส้นเรื่องถือว่าน่าสนใจมาก ๆ หลังจากดูจบแล้วเราไปดูรีวิวกันเลยดีกว่าค่ะ และเพื่อนๆสามารถรับชมหนังเรื่องนี้ได้ทาง ดูหนังฟรีออนไลน์ สุดยอดเว็บดูหนังฟรี ตามไปรับชมกันได้เลยค่ะ

Once Upon A Star มนต์รักนักพากย์

มนต์รักนักพากย์ (2023) เรื่องย่อ

เรื่องราวของ มนต์รักนักพากย์ เต็มเรื่อง เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2513 หน่วยเร่ขายยาหน่วยที่ 18 ของบริษัทขายยาโอสถเทพยดา ที่ประกอบไปด้วย มานิตย์ (ศุกลวัฒน์ คณารศ) หัวหน้าและนักพากย์ประจำหน่วย, ไอ้เก่า (จิรายุ ละอองมณี) ไอ้หนุ่มพนักงานดูแลเครื่องฉาย

และ ลุงหมาน (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) คนขับรถ จนกระทั่งพวกเขาได้เจอกับ เรืองแข (หนึ่งธิดา โสภณ) หญิงสาวหัวก้าวหน้าผู้อยากมีอนาคต มาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วย

พวกเขาทั้ง 4 คนต้องออกตระเวนฉายหนัง พากย์หนังกลางแปลง และขายหยูกยา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาเปลี่ยนแปลงอาชีพของพวกเขา

ในแง่หนึ่ง การหยิบเอาเรื่องราวของอุตสาหกรรมหนังไทยในช่วงปี 2513 ถือว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นไม่น้อย เพราะแทบไม่มีหนังไทยที่เคยพูดถึงวงการหนังในยุคนี้มาก่อน

แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เรื่องราวที่พ้นสมัยไปแล้วมีความน่าสนใจมากกว่าเป็นแค่สารคดีเฉย ๆ ตัวหนังให้น้ำหนักกับการสร้างมวลบรรยากาศของหนังไทย ที่คอหนังไทย คนทำหนัง และนักดูหนังน่าจะชอบค่ะ

การดำเนินเรื่อง

ตัวหนังแอบหยอดและสอดแทรกสิ่งละอันพันละน้อย ที่เป็นการแสดงความเคารพหนังไทยยุคนั้นเอาไว้เต็มไปหมด รวมทั้งการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน

อุตสาหกรรมหนังไทยยุค 16 มม. ตั้งแต่การถวิลหาความสมจริงในหนังมากขึ้น การเข้ามาของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อธุรกิจขายยา รวมทั้งการเสียชีวิตกะทันหันของ มิตร ชัยบัญชา

ที่เปรียบกับการสิ้นสุดของเสาหลักของวงการหนังไทย ทั้งในมุมของคนดู และคนทำงานตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีหนังสือเล่มไหนเขียนถึง (และก็น่าจะมีอีกเยอะที่ไม่มีใครพูดถึงเช่นกัน)

เอก เอี่ยมชื่น ผู้เขียนบท เลือกที่จะให้ตัวละครของหนังเป็นตัวเดินเรื่องแบบกึ่ง ๆ Road Movie ที่มีบรรยากาศและองค์ประกอบย้อนยุคครอบคลุมอยู่

และปล่อยให้ตัวละครเดินเรื่องและพบกับ Conflict ไปเรื่อย ๆ ผ่านบรรยากาศและองค์ประกอบ โดยมีเส้นเรื่องเกาะเกี่ยวไว้แบบบาง ๆ

ความฝันของทุกคนล้วนแตกต่าง

มนต์รักนักพากย์ หนังไทย แม้จะมีกลิ่นอายของยุคสมัยก่อน แต่เส้นเรื่องก็ยังคงดำเนินไปด้วยความฝันทั้งของ มานิตย์ เรืองแข เก่า และลุงหมาน ทุก ๆ การเดินทางพวกเขาต้องแบกความฝันที่เขามีไปด้วย และหวังว่าสักวันมันจะเป็นจริงขึ้นได้

ด้วยความพยายามของพวกเขาแม้ความฝันของพวกเขาจะแตกต่าง แต่จุดหมายคือความสุขและสิ่งที่พวกเขารัก และพวกเขาก็สามารถก้าวผ่านความกลัวใจใจไปได้ ดูแล้วสร้างแรงบันดาลใจได้ดีทีเดียว

ซึ่งเอาจริง ๆ ตัวหนังค่อนข้างจะเดินตามโครงเรื่องแบบที่คุ้นเคยกัน และหลาย ๆ จุดในหนัง เอาเข้าจริงก็แอบ Cliché ประมาณหนึ่งเลยแหละ อีกจุดก็คือ

พอหนังเน้นเล่าบรรยากาศ พล็อตของตัวละครบางส่วนจึงยังไม่ลงตัวนัก โดยเฉพาะการสร้างความสัมพันธ์ที่ยังดูฉาบฉวย และมีช่องโหว่อยู่บ้าง

แต่ก็ต้องชื่นชมว่า ด้วยรายละเอียดโครงเรื่อง การอธิบายตัวละคร การสร้างบรรยากาศที่สมจริงและเข้าถึงได้ง่าย รวมทั้งการมีเซตของตัวละครที่มีคาแรกเตอร์โดดเด่นกันคนละแบบ

ช่วยให้ตัวหนังมีเสน่ห์และตามดูได้เพลิน ๆ รวมทั้งการที่ตัวหนังฉลาดด้วยการหาทางลงให้กับตัวละครได้สมจริงมาก ๆ

เหมือนเป็นตัวบ่งบอกว่า ในช่วงชีวิตของวงการหนังไทย ล้วนผ่านวัฏจักรการล้มหายตายจากมาไม่มากก็น้อย แต่ก็จะมีบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาทดแทน สิ่งที่ตัวละครทำได้ก็คงมีแค่โอบรับ เข้าใจ และปล่อยให้อดีตผ่านไปช้า ๆ เท่านั้นเอง

บรรยากาศชวนให้นึกถึงวันวาน

ถ้าใครเกิดทันในยุคหนังกลางแปลงที่กำลังเฟื่องฟู คงจะอินน่าดู เพราะเนื่องด้วยรายละเอียดของหนังหลาย ๆ อย่างทำออกมาได้ดีจนว้าว แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กน้อย ๆ หนังเขาก็ใส่ใจ เช่น สลากล็อตเตอรี่ในยุคนั้น ร้านรวงต่าง ๆ การแต่งตัวในยุคนั้น

ซึ่งเราไม่มีทางเคยเห็นแน่นอน และการเร่รถไปในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อฉายหนังและขายยา แต่ถ้ายุคหลัง ๆ อย่างตัวเราเองก็อาจจะไม่ทัน แต่หนังก็ทำให้เห็นภาพของบรรยากาศในยุคนั้นจึงทำให้คนดูอินกับหนังได้ไม่ยาก

Once Upon A Star มนต์รักนักพากย์

วิธีการเอาตัวรอดในเรื่องอาจจะยังมีกลุ่มคนที่มองเพศหญิงเป็นเครื่องทางเพศ ในเรื่องเราจะเห็นว่าตัวดวงแขมีการปกป้องตัวเองอย่างไร

เมื่อต้องมาอยู่ในทีมที่มีแต่ผู้ชาย และจะได้เห็นวิธีการปกป้องพวกพ้องจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ผู้กำกับใส่เข้าไปแล้วรู้สึกว่าลงตัวมาก ๆ

มนต์รักนักพากย์ (2023) การรำลึกถึงพระเอกขวัญใจหนังไทยในอดีต

เรื่องนี้มีการผสมความรำลึกถึงพระเอกที่เฟื่องฟูในยุคนั้น มิตร ชัยบัญชา ในเรื่องได้เสริมรายละเอียดของเนื้อหาเข้าไป และเขาก็เป็นแรงบรรดาใจให้ผู้คนมากมายในสมัยนั้น

แต่กลับต้องมาจากไปในวัยอันควร มีฉากที่เรื่องนี้หยิบยกขึ้นมาให้คนที่ไม่เคยรู้มาก่อนได้เห็นเช่นฉากยกร่างของมิตรชัยบัญชาให้ประชาชนดู

เพื่อพิสูจน์ว่าเขาได้เสียชีวิตจริง ๆ ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าเป็นเพียงการแสดง ๆ แต่เมื่อได้ย้อนดูภาพเก่า ๆ แล้ว มันคือเรื่องจริง ที่หนังหยิบยกขึ้นมาแสดงให้คนรุ่นหลังได้รู้

ทีมงานและนักแสดง นักแสดงทุกคนทำออกมาได้ดี การสื่ออารมณ์การเข้าสวมบทบาทได้สมจริง ฉากร้องไห้ก็ทำให้ดูแบบเสียใจจริง ๆ เลือกนักแสดงมาได้ดีมาก ๆ

ตัวละครที่เราชอบเลยคือ หนูนา หนึ่งธิดา ไม่คิดว่าจะเล่นออกมาดีขนาดนี้ ตัวละครดวงแขบุคลิกดูก้านโลก แต่ก็อ่อนหวาน หนูนาทำให้เราเชื่อบุคลิกนั้นจริง ๆ ซึ่งเราประทับใจมาก

หลังจากดูหนังเรื่องนี้ทำให้รู้สึกอยากย้อนกลับไปในวันวาน แม้ว่าตอนนั้นเราอาจจะยังเด็กมาก ๆ แต่ก็ยังคงไม่ทันหนังขายยาที่มีพากษ์สดอยู่ดี

จะมาทันช่วงยุคหนังกลางแปลง ล้อมวิก แล้วก็ตาม แต่เราก็ยังคงอินกับกลิ่นอายของยุคนั้น ๆ อยู่ดี โดยส่วนตัวชอบหนังโทนนี้มาก ๆ สำหรับใครถ้าชอบหนังแนวนี้สามารถดูได้ที่ Netflix

บทสรุปโดยรวมของภาพยนตร์

ผู้เขียนมองว่าทีมงานมีความฉลาดในการ casting ตัวละครหลักและการเลือกโลเคชัน และสถานที่ถ่ายทำก็ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครในเรื่องได้

บางซีนมันอาจจะดูเชยๆ ดูชนบท แต่ผู้เขียนก็รู้สึกถูกใจเป็นอย่างมาก พล็อตเรื่องดี ภาพสวย ตัวละครมีเรื่องราวที่น่าสนใจ แม้ในเรื่องจะยาวไปนิดหนึ่งในเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งย่อเนื้อเรื่องให้กระชับขึ้นได้

โดยรวมหนังให้ความรู้สึกเต็มอิ่มและไม่น่าเบื่อเลย ซึ่งหลังรูจบให้อารมณ์ครบทุกรสเลยทั้งตลก เศร้า และสนุกสนาน รวมถึงน่าสงสาร

ผู้เขียนเกิดทันในช่วงที่หนังกลางแปลงดังในตลาดแถวบ้านของผู้เขียนซึ่งเอาจริงๆผู้เขียนไม่รู้เลยว่าในชีวิตนั้นมีอาชีพนักพากย์หนังกลางแปลงด้วย เรื่องนี้เล่าและตีแผ่เบื้องหลังการทำอาชีพพากย์หนังกลางแปลงอยู่ด้วย

Once Upon A Star มนต์รักนักพากย์

ซึ่งเหมือนเราได้กลับไปย้อนยุคในสมัยก่อนที่จะมีสมาร์ทโฟนจริงๆ และได้รับรู้และเข้าใจว่าในสมัยก่อนนั้นคนที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตนั้นเขาใช้ชีวิตกันยังไง

และหนังไทยเรื่องนี้ทำออกมาดีกว่าที่ผู้เขียนเคยคาดคิดหรือคาดหวังเอาไว้ในตอนแรกก็ดูตามกระแสเฉยๆเพราะติดกระแส top 10 ในช่อง Netflix แต่มันกลับดีกว่าที่คิดเอาไว้

แล้วทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่เรายังเป็นเด็กและไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆและคอยซื้อของในตอนที่เดินเล่นในตลาดจริงๆ หนังไม่ได้เน้นไปที่ประเด็นความรักมากนัก

แต่เน้นไปที่การทำอาชีพของตัวเอกมากกว่าเลย เป็นความประทับใจแบบที่หาได้ยากในเสน่ห์ของหนังไทย การแสดงของนักแสดงก็ค่อนข้างดีดู เป็นธรรมชาติในเรื่อง ไม่ล้นเกิน ไม่ขาดเกิน กำลังดีเลย

สำหรับหนังมนต์รักนักพากย์ (Once Upon A Star) เราให้คะแนน 9/10 ถือเป็นหนังที่ให้ความรู้สึกดี มองดูแล้วมีกลิ่นอายของยุค 60 ที่ดูอบอุ่น ดูของวินเทจ

และวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นด้วย และที่สำคัญตัวหนังยังพาเราไปสัมผัสประสบการณ์การฉายหนังขายยาที่ทุกวันนี้หาดูไม่ได้อีกแล้ว เพื่อนๆสามารถชมภาพยนตร์ได้ที่ทาง Netflix

หรือเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากรับชมรีวิวหนังเรื่องอื่นๆได้ที่ รีวิว The Box กล่องหลอน ซ่อนตาย ซีรีส์ไทยแนวระทึกขวัญ/สืบสวนสอบสวน

เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ หนังอาร์ต Netflix ได้พี่หม่ำมาร่วมแจมด้วย

เมอเด้อเหรอ ภาพปก

รีวิวหนัง เมอเด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ หนังไทยแนวสืบสวน

เมอร์เด้อเหรอ ฉากเลิฟซีน

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกคน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อน ๆ คนไหนที่เป็นสมาชิกของแอพสตรีมมิ่งอับดับหนึ่ง Netflix ก็คงจะได้สัมผัสประสบการณ์การดูหนังไทยเรื่องใหม่ที่มีชื่อเรื่องว่า The Murderer เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ   

อ่านรีวิวจบแล้วเชิญทุกท่านรับชม เมอร์เด้อเหรอ หนังไทยNETFLIX แบบเต็มเรื่องได้ที่ doonungvip.com

ซึ่งทุกๆ คน อาจจะกังวลว่ามันเป็นภาพยนตร์อาชญากรรมอย่างแท้จริงหรือไม่  และบางคนก็อาจยังไม่ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ หรือยังไม่มั่นใจว่าควรดูหรือไม่ ในวันนี้เราจะมาเสนอรีวิวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ให้คุณฟังกันค่ะ 

The Murderer เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ จาก Netflix เป็นหนังไทยที่มีความจริง และความเข้มข้นในตัวเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้กำกับ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เป็นผู้ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์สักเท่าไหร่

ตัวเขาเองจึงตัดสินใจทำลงสตรีมมิ่ง ด้วยการเขียนบทหนังอย่างเรื่อง DEEP แต่ผลงานเรื่องนี้ออกมาแย่มาก 

จากนั้นเขาได้ทำ The Whole Truth ซึ่งดีขึ้นเล็กน้อย ต่อมาเขาตัดสินใจทำหนังแนวตลกไทย 

และคิดว่าอาจจะดีกว่าถ้าทำหนังลงโรงภาพยนตร์เพื่อเก็บเงินค่าตั๋ว แต่เขากลับพบว่ายากกว่าที่จะได้ผ่านนายทุนได้ เพราะไอเดียคอนเซ็ปต์หลายๆ อย่างที่มีความแปลกเกินไปจริงๆ

โดยเนื้อหาเรื่องนี้ มีความน่าดู เหมือนตัวอย่างในวีดีโออย่างแรกตั้งแต่ต้น ด้วยไอเดียที่สร้างความสนุกสนาน และน่าสนใจในแบบ ของแนวคาแรคเตอร์อีสานไทย

ซึ่งไม่เคยมีภาพยนตร์ ที่ไหนปรากฏมาก่อน ใครก็ตามที่ดูในช่วงแรกย่อมต้องมีความสนุกขี้นอย่างแทบจะทุกคน ที่เรื่องหยิบเรื่องเหล่านี้มารับชม

สิ่งเหล่านี้เช่น รอยสักไทย หรือมวยไทยตามแบบผู้ที่ชื่นชอบมวยไทย อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความเป็ยไทย เรื่องเงินหรือทองเท่าไหร่ก็ตามว่า งานฝีมือดีจนเป็นที่สุด

และคนไทยที่ดู ก็ต้องรู้ทั้งหมดเพราะไอเดียเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่เราเห็นตลอดเวลา แต่หนังเรื่องนี้ใช้ไอเดียเหล่านั้น ทำให้เกิดเรื่องราวที่น่าประทับใจ และตื่นเต้นกับสิ่งที่เป็นที่จับตามองดูได้อย่างชัดเจน

เรื่องย่อ เมอเด้อเหรอ

เมอร์เด้อเหรอ เรื่องย่อ หนังเริ่มต้นด้วยการฆาตกรรม 7 ศพในคืนเดียว ที่เกิดขึ้นในฉากเดียวกัน 

แต่วิธีการเล่าเรื่องใช้การสืบสวนของสารวัตร หม่ำ จ๊กมก ซึ่งมีอคติเสี่ยงเข่าฝรั่งแต่งงานกับคนอีสานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 

วิธีการเล่าเรื่องนี้ทำให้เรื่องมีความเร็ว และน่าติดตามมากโดยใช้ขั้นตอนในการสืบสวนพยานแต่ละคน หลักฐาน และเอกสารพัดที่พบมาเป็นตัวฉาก 

และไม่เล่าเรื่องตามลำดับ ย้อนกลับไปกลับมาในการสอบสวน โดยทุกคนจะมีซีนที่เป็นของตัวเอง

เมอร์เด้อเหรอ นักแสดง สุนารี

บางครั้งอาจตัดฉาก ที่เล่าเรื่องให้เข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์สมมุติ แต่สุดท้ายผู้ชมจะต้องประเมินหาว่าสิ่งใดเป็นเรื่องจริงว่าจะเชื่อหรือไม่

ซึ่งนี่คือแนวทางในการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ของหนังไทยมันไม่ใหม่สำหรับคนที่ชอบดูหนังสืบสวนแฟนตาซีแปลกๆแบบนี้ 

แต่ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะใช้รูปแบบนี้ซ้ำ แต่เนื่องจากเป็นหนังไทยที่พูดอีสานเป็นหลัก ฝรั่งเป็นรอง และภาษากลางก็มีบ้าง พร้อมกับเหตุการณ์วุ่นวายแบบอีสานบ้านนา บวกฆาตกรรม 7 ศพ ทำให้เรื่องราวที่เล่ามาดูน่าติดตามมากยิ่งขึ้น

การดำเนินเรื่อง เมอร์เด้อเหรอ

และในหนังเรื่องนี้ ก็มีความสนุกสนใจตั้งแต่ต้นเรื่องด้วยไอเดียตลกในอีสานไทยที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้จะมีหนังไทยตลกพื้นบ้านฉายออกมาก่อนแล้ว

เมื่อดูช่วงแรกนั้นทำให้เราหัวเราะไปทุกครั้งที่มีสิ่งตลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ปรากฏขึ้น อย่างเช่น สักลายมวยไทยติด และชอบมวยไทย 

การสักตัวของคนไทยต่ออาหาร ที่อร่อยและคล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่คำพูดและพฤติกรรมของฝรั่งเกี่ยวกับเรื่องเงินและทอง ฉะนั้นคนที่ได้ดูเรื่องนี้จะต้องรู้สึกความสนุกตามมุกทุกตัวที่มีในเรื่องเนื่องจาก ไอเดียด้านบนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วไป แต่ในกรณีนี้นำมาใช้เพื่อเล่าเรื่องให้น่าสะดุดตามได้อย่างเต็มที่

โดยที่หนังเรื่องนี้เล่าถึงการวางพล็อตเรื่อง เป็นเหตุที่ทำให้ ผกก.วิศิษฏ์ ตัดสินใจนำเสนอด้านภาพที่เขาถนัด

เมอร์เด้อเหรอ หม่ำ จ๊กม๊ก นักแสดงนำชาย

ในหนังมีการเล่นสีสันสไตล์จัดจ้าน โดยใช้สีขั้วเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม โดยผลงานนี้มีความดำเนินเนื้อเรื่องคล้ายกับหนังเรื่อง ฟ้าทะลายโจร

แต่ดูโบราณมากกว่าหนังเรื่อง “หมานคร” แน่นอนว่าผลงานเหล่านี้เป็นผลงานชั้นนำระดับโลกของผู้กำกับ วิศิษฏ์ทั้งหมด 

และเมื่อมีนักแสดงหน้าตลกยอดเยี่ยมของไทยอย่าง พี่หม่ำ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ร่วมงานเข้ามา 

ก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์กับผลงานการกำกับของหม่ำที่มีสีสันอีสานโดดเด่นเช่น “แหยม ยโสธร” 

โดยผู้ชมจะรับรู้ได้ว่าหนังนี้ต้องมีความขบขัน แต่เมื่อรับชมแล้วจะพบว่าหนังยังคงเล่าเรื่องอย่างจริงจังในครึ่งแรก ทำให้ผู้ชมอยากรู้คำตอบว่าเนื้อเรื่องจะไปในทิศทางไหน 

ดังนั้นเมื่อเรื่องมีความซับซ้อน ผกก.วิศิษฏ์ จึงพยายามใช้การเรียบเรียงที่ไม่ทำให้สับสนมากเกินไป หมายความว่า 

ตัวเรื่องอาจจะมีการเล่าเนื้อหาโดยการเปลี่ยนแปลงคำศัพท์และผลัดกัน แต่เนื้อหาจะยังคงเดินไปตามลำดับของเหตุการณ์

จนกระทั่งมีการทวนเหตุการณ์อีกครั้งในส่วนสุดท้ายของเรื่องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องที่กล่าวถึงถือเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนที่น่าสนใจ แต่ไม่ยากเกินไป โดยยังสามารถเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ความรู้สึกหลังรับชม เมอร์เด้อเหรอ

ส่วนตัวเราที่ได้รับชมหนังเรื่องนี้แล้วนั้น คิดว่าภาพรวมของเหล่าดาราในเรื่องนี้เล่นได้ดีกว่าทุกเรื่องที่ดูมาใน Netflix

โดยเฉพาะเรื่องของ เจมส์ ลีฟเวอร์ ที่ไม่มีความจำ แต่เครดิตบอกว่าเขาเคยเล่นใน Netflix และเล่นในหลายเรื่องของโลก ในเรื่องนี้เขากลายเป็นเขยอีสานที่อยากช่วยเพื่อนแฟนและพ่อแม่ แต่เขาไม่รวยและมีความคิดอคติตลอดเรื่อง 

ในบทของเขา ที่แสดงเป็นตำรวจที่อคติได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ชมจะได้เกิดความสนุกกับรอยแผลที่อยู่ตรงปากทุกครั้งที่หนังฉาย

เมอร์เด้อเหรอ หม่ำ ฉากสอบสวน

แต่บทของเขาไม่ชัดเจนมากนัก (เพราะว่าเรื่องราวมีลักษณะคนย้อนอดีตหลายตัวละคร) แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือนางเอกที่แสดงโดยอิษยา ฮอสุวรรณ (เกรซจากหนังฉลาด เกม โกง) ที่สวยน่ารักทุกฉาก 

และบทที่เล่นเข้ากับรูปร่างและหน้าตาของเธอ ซึ่งเธอคือตัวดึงให้ผู้ชมติดตามเรื่องที่ดีกว่าเขยอีสานตัวเอกซึ่งเป็นคนร่างกายเธออย่างเดียว

จุดเด่นและจุดด้อยของหนัง

ก่อนอื่นผู้เราต้องขอชื่นชมทีมแคสนักแสดงของภาพยนตร์ ที่สามารถแสดงบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยมเลยค่ะ 

โดยเฉพาะนักแสดงหลักที่ เล่นเป็นตัวละครเด็กที่สดใสออกมาได้ดีมากๆ โดยมีการเล่นบทที่น้องต้องเล่นคู่กับนักแสดงหลักที่เรียกว่าพี่หม่ำซึ่งทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นมากๆ 

เพราะยิ่งพี่หม่ำสอบสวนน้องแสดง นั้นเราจะรู้สึกว่าทั้งคู่มีความลึกซึ้งอยู่ในใจ งานแสดงของทั้งคู่เป็นอย่างดีที่ไม่ค่อยพบในภาพยนตร์ไทยบ่อย ๆ

จุดเด่นภาพยนตร์ เมอร์เด้อเหรอ น่าสนใจมากๆ เพราะเรื่องราวของหนังดึงดูดใจมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการคมความทุกอย่างให้จบแบบที่ไม่มีคำถามค้างอยู่ ซึ่งเป็นลายเซ็นของผู้กำกับอยู่แล้ว 

และสำคัญที่สุดคือความเรียบง่าย ในการเรียบเรียงและเล่าเรื่องของหนังนี้ที่ถูกคิดโดยดีแล้ว ซึ่งหลังจากดูเราจะไม่เจองานระดับนี้ในภาพยนตร์ไทยเท่าไหร่นัก

เมอร์เด้อเหรอ ฉากตลก หนังไทย

หากพูดถึงความละเอียด ของทีมผู้สร้างหนังที่ดีมาก ๆ ตั้งแต่คอสตูม ชุดของจูน และการเสียดสีเกี่ยวกับเมียฝรั่ง ผู้หญิงที่ทำงานที่บาร์ เราคิกว่าหนังเรื่องนี้ไม่พูดถึง มากจนเกินไปค่ะ

ส่วนทางด้าน จุดด้อยเกี่ยวกับหนัง ซึ่งเริ่มต้นด้วยเรื่องตลกแต่ที่สิ้นสุดเป็นเรื่องสืบสวนฆาตกรรม มีประเด็นที่ทำให้ผู้ชมสงสัยว่าฆาตกรคือใครและศพตายได้อย่างไร ส่วนนี้เป็นเรื่องสำคัญมากในการสื่อสารหนัง

แต่กลับไม่มีการเฉลยที่น่าตื่นเต้นตามมา การเล่าเรื่องยาวและเปิดเผยทั้งหมดฉบับเต็ม ทำให้ผู้ชมประทับใจอย่างมาก 

ซึ่งเป็นคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียน ซึ่งภาพรวมของหนัง มีคนหลายคนที่ไม่ชอบการพลิกสุดขั้วแบบนี้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังทำให้เรื่องดู ไม่สมเหตุผลมากขึ้น เหมือนหนังอินเดียที่พลิกตอนจบโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนทั้งหมด

รีวิวหนัง The Murderer เมอร์เด้อเหรอ ภาพยนตร์เว้าอีสานเรื่องแรกจาก Netflix

สำหรับหนังเรื่องนี้ น่าจะถูกชื่นชมเพราะได้กระตุ้นความรู้สึกของผู้ชม ให้สนุกสนานอย่างมากภายในแนวหนัง นอกจากนี้ยังมีการเล่นแบบดราม่าที่น่าเชื่อถือจากนักแสดงอุ้ม อิษยา ฮอสุวรรณ ในบทของทราย พยานที่เป็นเมียฝรั่ง เอี้ยง สวนีย์ อุทุมมา 

ในบทของพยานคนที่ 2 เป็นแม่ของทรายที่มาแบบไม่เด่นมาก แต่สามารถประคองทุกคนให้เข้าร่องได้อย่างดี และชนันทิชา ชัยภา ในบทของจูน ตัวหลักในเรื่องราว

พยานเด็กคนสุดท้ายที่เล่นหน้าเล่นตาได้น่ารักน่าชัง นอกจากนี้ยังมีนักแสดงสายละครเวทีเช่นเจมส์ เลเวอร์ ในบทของเอิร์ล เป็นเขยฝรั่งสามีของทรายและผู้ต้องสงสัยหลักที่ทำให้เรารู้สึกสับสนว่าเขาน่าสงสารหรือน่ากลัวกันแน่

เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกร

หนังเรื่องนี้ใช้ตัวละครหม่ำ เป็นตัวแทนในการค้นหาความจริงแทนผู้ชม ผู้ชมรู้สึกงุนงงและได้เข้าใจอารมณ์ของหม่ำได้ง่าย 

เพราะมีการเข้าถึงง่ายและความสนใจคุ้นเคยกับตัวละครหม่ำ เราสามารถเห็นได้ว่าหนังเรื่องนี้ใช้กลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นผู้ชมในหลายวิธี

จุดที่สามารถพูดคำวิจารณ์เกี่ยวกับหนังได้ที่ไม่ใช่เรื่องหลักของเรื่องราวที่มุก นอกจากนี้ยังมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับการถ่ายภาพในกราฟฟิกแสดงอารมณ์ของภาพ เช่น 

การเล่นสีที่ไม่เนียนตาในบางฉาก ชาววิจารณ์ยากที่จะกล่าวว่ามันเป็นความจงใจที่จะทำให้ดูดิบเหมือนหนังโบราณหรือไม่ แต่ถ้าทำให้เนียบเป็นไปตามสมัยก็น่าจะดี

สรุปโดยรวม

โดยสรุปแล้วหนัง ฆาตกรรมอิหยังวะ  ก็คือหนังไทยที่สร้างโดยผู้กำกับให้ฉายกับ Original Netflix คือคุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เป็นหนังที่ดีกว่าเรื่องก่อนอย่างมาก 

แต่ยังมีปัญหาเดิมๆ เกี่ยวกับเรื่องบทที่แปลกๆ ซึ่งไม่ลงตัวจนทำให้ไม่สามารถพูดถึงว่าเป็นหนังที่ดีได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังมีความสนุกในการเล่าเรื่องที่มีความแปลกๆ

เมอเด้อเหรอ หม่ำ จ๊กม๊ก ตำรวจสอบสวนคดี

และไอเดียจิกกัดของ คนอีสานที่ยังค่อนข้างจะต้อง ยิ้มได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นขอแนะนำให้คนดูได้ แต่ก็อย่าคาดหวังมากเกินไปก็พอค่ะ เพราะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ หนังสไตล์แบบนี้

ทีมงานกระซิบมาว่า เห็นหนังสีสดๆแบบนี้แล้วกลับทำให้นึกถึง หนังผีโมโนโทน The Medium ร่างทรง ถึงแม้สีสันของฟิล์มหนังจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ความน่ากลัวระดับ 10 กระโหลก ยังทำให้ใครหลายคนบอกว่า จนถึงวันนี้ยังไม่กล้าเข้านอนคนเดียว

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

วันนี้จะมาแนะนำ รีวิวหนังไทยnetflix เรื่อง บอดี้ ศพ#19 หนังไทยแนว ระทึกขวัญ หนังผี สยองขวัญ จิตวิทยา หักมุม  ของค่าย GTH โดยผู้กำกับ ปวีณ ภูริจิตปัญญา ที่เขียนบทของ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุลเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ และ ปวีณ ภูริจิตปัญญา  รีวิว บอดี้ ศพ19  เป็น เว็บดูหนังเถื่อน ที่ยังไม่ค่อยมีค่ายไหนที่ใจกล้าสร้างหนังแนวนี้ หนังอาจจะไม่ได้รู้จักในวงกว้างสำหรับคนไทย แต่สำหรับหลายคนที่ชอบหนังแนวที่เป็น mystery psychology หรือเรื่องราวแนวระทึกขวัญ หักมุมที่เรามักจะได้เห็นในหนังต่างประเทศ อยากให้ลองเปิดใจให้กับบอดี้ ศพ19 รับรองว่ากระพริบตาไม่ได้แม้แต่ฉากเดียว

รีวิว บอดี้ ศพ19 เรื่องนี้ แบ่งออกเป็นสองมุมดีกว่า ได้แก่

มุมของชลสิทธิ์

   ชลสิทธิ์ (เป้ อารักษ์) อยู่สองคนพี่ที่ชื่อเอ๋ พี่ก็ดูจะเป็นห่วงเน้องชาย อย่าง ชลสิทธิ์ที่ ชอบฝันเห็นการฆ่าอยู่เสมอ ชลสิทธิ์ไปสืบจนรู้ว่า ผีที่ตัวเองเห็นชื่อ ดาราราย แล้วต้องการขอความช่วยเหลือ ชลสิทธิ์ได้ไปผ่ากุ้ง แล้วมีดบาด เลยไปหาหมอจิ๊บ หมอจิ๊บบอกให้ชลสิทธิ์ไปหาหมออุษา แต่หมออุษาก็ไม่บอกอะไร นอกจากให้กลับไปก่อน ชลสิทธิ์เห็นว่า ผีดารารายไปฆ่าคนถึงสองคน

และสาเหตุของคนที่ตายเป็นคนที่ 1 ได้โดนลวดหนาดแทงและมีสัตว์สต๊าฟพุ่งออกมาเต็มไปหมด ส่วนอีกคนตายในทะเลเลือดที่เต็มไปด้วยกรด ชลสิทธิ์ตามหาพี่สาวไม่เจอ เลยมาตามดูในกระเป๋าที่ตัวเองเอามาแต่แรก แล้วพบว่า ฆาตรกรคือ หมอสุธีและหมอเป็นคนจับพี่สาวไป ในระหว่างฝันนั้น ตัวเองเห็นว่า ตัวเองกำลังฆ่าหั่นศพพี่สาวตัวเองอยู่

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

มุมความจริง

   เอ๋  (แป้ง อรจิรา) ได้แสดงเป็น ดาราราย ส่วนชลสิทธิ์ตายไปแล้วซึงเก็บใว้ในตู้เบอร์ 19 แล้วใครล่ะ คือ ชลสิทธิ์ คนๆนั้น คือ หมอสุธี  (ปลาย ปรเมศร์) หมอสุธีถูกสะกดจิตใว้โดย ดาราราย ทำให้ตัวเองคิดว่า เป็นชลสิทธิ์ และอยู่กับพี่สาวที่ชื่อ เอ๋ ส่วนจริงๆแล้ว หมออุษากับหมอจิ๊บรู้ว่า หมอสุธีสร้างโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมา

แต่หมออุษาเลือกที่จะปล่อยวาง อาจจะเพราะกำลังตั้งใจคิดอยู่ว่า จะรักษาสามีอย่างไรดี  หมอสุธีตัดสินใจฆ่าหั่นศพหมอดารารายเพราะว่า หมอจะเอาเรื่องความรักของทั้งสอง (เป็นชู้กัน) ไปเปิดเผย และฆ่าคนอีกสองคน ก่อนที่ตัวเองจะถูกจับ หมออุษาบอกความจริงหมอสุธี ส่วนหมอสุธิในคราบชลสิทธิ์ตกใจมาก

และกำลังจะหันไปมองอุษาเห็นเป็นผีดาราราย เลยตัดสินใจแทงเข้าไป แต่หมออุษาไม่ตาย  เรื่องราวต่อตรงว่า หมอดารารายสะกดจิตหมอสุธีบอกว่า ถ้าได้ยินเพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว แล้วต้องมนต์สะกด  พอถึงตอนจบ หมอก็หนีออกไปถูกแทง แต่หมอไม่ตาย (ฉากนี้ดูศิลปะมาก) แล้วดารารายก็ดีดนิ้ว บอกว่า ฉันอโหสิกรรม และถอนการสะกดจิต หมอร้องด้วยความเจ็บปวด

รีวิว บอดี้ ศพ19 เรื่องย่อ

ได้เล่าถึงเหตุการณ์ของ ชลสิทธิ์ (เป้ อารักษ์) นักศึกษาชายคนหนึ่งที่ได้พักอยู่กับพี่สาวชื่อ เอ๋ (แป้ง อรจิรา) ซึ่งเป็น วันหนึ่ง ชลสิทธิ์ ตื่นขึ้นมาในโรงละครที่กำลังทำการแสดงดนตรีอยู่แต่ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร เขาก็รีบเดินออกมาจากข้างนอก และเดินทางกลับบ้านทันที ตั้งแต่นั้นมา ชลสิทธิ์ มักจะฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมฆ่าหั่นศพหญิงสาวรายหนึ่งอยู่ตลอดเวลา

และเขายังคงฝันเห็นผี มาโดยตลอดและชอบพูดชื่อ ดาราราย ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ เขาอาการฝันร้ายของ ชลสิทธิ์ เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงถึงขั้นที่เขาไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิท จนสภาพร่างกายและจิตใจค่อยๆ แย่ลง แถมบางครั้งมันทำให้เขาเห็นภาพหลอนของผีตนนั้นที่คอยตามมาหลอกหลอนเขา จนกระทั่งเขาพลั้งมือบีบคอ เอ๋ จนเกือบตายเพราะคิดว่าเป็นผี

เอ๋ จึงขอให้เขาไปหาหมอเพื่อทำการรักษา เขาจึงได้ติดต่อขอเข้ารับการรักษากับ หมออุษา ตามคำแนะนำของ หมอจิ๊บ ที่ได้แนะนำให้กับเขาในวันที่เขาได้เข้าไปทำแผลที่โรงพยาบาลแต่หลังจากเข้าพบ หมออุษา เขาก็คิดว่าการรักษาไม่น่าจะได้ผล เขาจึงพยายามสืบหาต้นตอของฝันร้ายนั้นเองว่าผีตนนั้นต้องการอะไรจากเขา แล้วชื่อ ดาราราย ที่เขาได้ยินจากผีตนนั้นคือใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุฆาตกรรมที่เขาฝันถึงยิ่งสืบหาความจริง ความเจ็บปวดที่แสนสาหัสก็ยิ่งปรากฎ ความจริงนั้นคืออะไร ไปร่วมหาคำตอบกันนะฮะ

เนื้อเรื่อง

เรื่อง บอดี้ ศพ 19 HD เป็นหนังผี จิตวิทยา ระทึกขวัญสยองขวัญ และยัง หักมุม วางเนื้อเรื่องใว้ดี รูปแบบการนำเสนอก็ดี แทบจะเดาเรื่องไม่ออกเลยว่าเนื้อเรื่องจะเป็นแบบไหน CG (คอมพิวเตอร์กราฟิกส์) สวย เนียนดี  เริ่มเรื่องมาโดยใช้ CG (คอมพิวเตอร์กราฟิกส์) โดยเป็นภาพจากมุมสูงของเมืองลงตามท่อระบายน้ำและได้เจอแมวผีตัวนึง ที่กินเศษเนื้ออยู่ แล้วก็เริ่มเรื่องที่ชล (เป้ อารักษ์) ที่ตื่นมาอยู่ใน concert ที่มีเพลง “คิดถึงเธอทุกที ที่อยู่คนเดียว” ที่แพทกำลังร้องอยู่กับวงออเคสตร้า ฟังแล้วโหยหวนเหมือนโดนสะกด ชลลุกออกจาก Hall ไปกลางคันแล้วเค้าก็เจอเสื้อนอกถูกวางทิ้งไว้ เค้าหยิบมันกลับไปบ้านด้วย

ภาพเปิดเรื่องส่วนใหญ่ใช้ CG (คอมพิวเตอร์กราฟิกส์) หรือกล้องมุมสูง ดูสวย และลึกลับดี เมื่อถึงบ้านเค้าก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีใครหรืออะไรอยู่กับเค้าด้วย แล้วเค้าก็เห็นผีครั้งแรกจากในถุงขยะนั่นเอง  ชลเริ่มจะฝันเห็นฉากฆาตกรรมของผู้ชายคนนึงที่กำลังหั่นศพผู้หญิงอยู่ แต่เค้าไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

ซึ่งการแสดงในหนังบางตอนมีความคล้ายกับหนังเรื่อง saw เลยทีเดียวนะ  และหนังได้ตัดมาที่ หมออุษา (เข็ม ตีสิบ) กำลังรักษาเด็กคนหนึ่งซึ่งมีสร้างเพื่อนในจินตนาการของตนเองจนกระทั่ง ฆ่าหมาตาย ฉากนี้เราว่าประเด็นน่าจะอยู่ที่เพื่อนในจินตนาการที่เด็กสร้างขึ้นซึ่งจะเป็นตัวอธิบายเหตุผลในตอนสุดท้าย มากกว่าที่จะบอกถึงอาชีพของหมออุษาที่เป็นจิตแพทย์ มาที่หมอสุธี สามีหมออุษา กำลังถูกหมอจิ๊บ เพื่อนของหมออุษา ถามถึงเรื่องอาจารย์ดารารายที่หายตัวไป แต่สุธีกลับเงียบ ฉากนี้น่าจะเป็นประเด็นที่สงสัยกันว่าเป็นการกระตุ้นความทรงจำของหมอสุธี ชลกลับมาบ้านและทำกับข้าวอยู่กับเอ๋ (แป้ง อรจิรา) พี่สาวตนซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์

รีวิว บอดี้ ศพ19 (2007)

ตอนนั้นได้เห็นภาพหลอนจึงตกอยู่ในภวังค์ทำให้หั่นนิ้วตัวเองเข้าไป เอ๋จึงพาชลสิทธิ์ไปที่โรงพยาบาล ชลสิทธิ์จึงได้เจอหมอชื่อจิ๊บ พอเย็บแผลเสร็จหมอจิ๊บก็ทำการทดสอบสมองเบื้องต้น และถามชลว่าชื่อชลสิทธิ์ใช่ไหม ชลยืนยันว่าใช่และรู้สึกโกรธที่หมอหาว่าตนเองบ้า แต่หมอก็ยังฝากเบอร์โทรของหมออุษาไว้ให้ชล

ดูแรกๆอาจจะรู้สึกงงๆหน่อยแต่พอรู้เฉลยตอนจบถึงได้ อ๋อ มันเป็นจั่งซี่นี่เอง ชลกลับมาบ้านและฝันซ้ำๆ เดิมรวมทั้งเห็นผีผู้หญิงที่ถูกผ่าท้องเผยให้เห็นอวัยวะภายในทั้งหมดโดดเข้าใส่ชลจึงสู้โดยการบีบคอผี แต่กลายเป็นว่ากำลังบีบคอพี่สาวตนเอง เอ๋จึงขอร้องให้ชลไปหาหมออุษา เค้าตัดสินใจไปหาพบหมออุษา เมื่อได้พบชลสิทธิ์ หมอมีอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังทำการสอบถามต่อไป

ต่อมา ชลได้เล่าว่าเขาฝันว่าอะไรบ้าง และยังบอกอีกว่าความฝันจนรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องจริง เค้ารู้สึกว่าเป็นเหยื่อที่โดนฆาตกรรมเสียเอง รู้สึกถึงลมหายใจสุดท้าย และได้ยินคำว่า “ชื่อดาราราย ตามหาฉันให้เจอ” จะบอกว่าชอบเมย์ (ภัทรวรินทร์ ทิมกุล) มากเลย เป็นผู้หญิงที่มีพลังมากๆ ระหว่างนั้นชลก็ยังคงซ่อนแอบกับผีเด็กบ้าง ผีผู้ใหญ่บ้างไปเรื่อยๆ วันนึงเค้าก็ฝันเห็นประตูข้างตู้เสื้อผ้าซึ่งเมื่อเค้าจะแอบมองเค้าก็เห็นผีตัวนั้นจับมือเค้าแล้วก็มีแหวนอยู่ในมือเค้า

และยังมีอีกฉากที่ได้ทำแหวนตกลงไปแล้วแหวนไหลไปห้องหลังตู้เสื้อผ้า ทำได้สวยดี เหมือน the load of the ring เลย หมออุษาเริ่มตามหาตัวดาราราย ในขณะที่ชลเองก็ต้องการพิสูจน์ให้เอ๋รู้ว่าเค้าไม่ได้บ้า หมออุษารู้ว่าดารารายเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่ม.เดียวกับหมอจิ๊บและหมอสุธี อุษาไปหานก ที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์ของดารารายและก็ได้รู้ว่าสุธีเป็นคนฝากดารารายเข้าเป็นอาจารย์ที่นี่เอง นกเล่าเรื่องวิชาสะกดจิตเพื่อการบำบัด (เป็นการทำงานของจิตไร้สำนึก ที่จะดึงเอาเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจมากๆ ออกมาในสภาวะที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเพื่อใช้ในการรักษาคนไข้ คล้ายกับการสะกดจิตนั่นเอง)

แต่เธอได้บอกสุธีว่าไปเจอนก ในตอนที่ชลก็ได้ไปหาดาราราย ที่มหาลัย และได้เห็นแมวผี อยู่ที่โต๊ะนก คืนนั้นเค้าเห็นนกถูกผีตัวเดียวกับที่เค้าเห็นฆ่าตายต่อหน้าต่อตา อุษาโทรหาจิ๊บเพื่อจะบอกว่าเธอรู้เรื่องดารารายแล้วและคาดคั้นให้จิ๊บเล่าให้ฟังถึงความสัมพันธ์ของสุธีกับดาราราย (ดารารายเป็นเมียน้อยสุธีตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์จนจบและระหว่างที่เธอไปเรียนต่อเมืองนอก

สุธีก็มาแต่งงานกับอุษาแทน แต่ทว่าสุธี ได้ทำเหมือนจะออกห่างจาก อุษา เพียงเพราะรู้สึกผิดกับอุษาแต่ดารารายไม่ยอม) ชลมาหาหมออุษาเพื่อจะบอกว่านกถูกผีฆ่าแต่เค้ากลับเจอหมอจิ๊บกับแมวผีแทน เค้าพยายามเตือนหมอจิ๊บว่าอย่าพูดเรื่องดารารายไม่งั้นหมอจะเป็นรายต่อไป อุษากลับบ้านพร้อมทั้งบอกสุธีว่าเธอรู้เรื่องหมดแล้ว

สุธีรู้สึกผิดมากเลยสู้หน้าต่อไปไม่ไหว เค้าบอกเธอว่ามันจบแล้ว ดารารายจะไม่มีวันกลับเข้ามาในชีวิตของเค้าอีก ขณะที่ชลกำลังอาบน้ำ เค้าเห็นภาพหมอจิ๊บกำลังจมอยู่ในทะเลเลือดและหน้าถูกราดด้วยน้ำที่มีฤทธิ์กัดกร่อน (พูดไปผีมันดูไม่ค่อยน่ากลัวเลย วิธีฆ่าก็ไม่โหด ฉากโดนผีฆ่ากันเลยดูงั้นๆ ไม่หยองเท่าไหร่) ชลเริ่มเห็นภาพในความฝันชัดขึ้น

ต่อมาดารารายคุยกับสุธี ตอนนี้กำลังตามหาเอ๋แต่หาไม่เจอเลยแม้แต่เงา เค้าเห็นแมวผีตัวนั้นที่บ้านของเค้าเอง เค้าเดินตามแมวผีนั่นไป ไปยังประตูข้างตู้ที่เค้าเคยเห็นผีสิ่งที่เค้าเห็นเหมือนฉากในความฝันของเค้า ผู้ชายกำลังหั่นศพผู้หญิงอยู่ ในทันทีที่หัวถูกสับออกจากตัว เค้าก็ได้รู้แล้วว่าศพนั้นเป็นใคร ผู้หญิงคนนั้นคือเอ๋ พี่สาวเค้าเอง

ส่วนผู้ชายที่กำลังหั่นศพนั่นเล่าคือตัวเค้าเอง เมื่อตั้งสติได้เค้าบุกเข้าไปในห้องข้างตู้อีกครั้ง มันเหลือแค่แหวนที่เค้าเคยทำหล่นหายและเศษรูปถ่ายที่ถูกเผาไฟ เป็นภาพของดารารายกับสุธีบนเตียงนอน เค้าคิดว่าเค้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว เค้าต้องรีบไปบอกหมออุษาว่าสุธีสามีหมอเป็นฆาตกร ระหว่างที่อุษาไปดูศพหมอจิ๊บตำรวจพบนามบัตรที่หมอจิ๊บเขียนเบอร์อุษาให้กับชลไว้

ขอแนะนำเลยครับว่าเป็นหนังไทยอันดับ1 ที่สนุกมากๆ

เหตุผลการตามของหมอจิ๊บคือการที่ถูกตีหัวแล้วโดนลากลงบ่อดองศพซึ่งมีฤทธิ์เป็น กรด หรือ ด่าง นี่แหละ เธอได้ไปดูศพจิ๊บที่ห้องเก็บศพ และพบว่าเจ้าของตู้เบอร์ 19 นามสกุล ศุวมงคล (นามสกุล ดาราราย) ชลมาหาหมออุษาที่บ้านเมื่อเจออุษา ชลบอกอุษาว่าสุธีเป็นคนฆ่าดาราราย ฆ่านก ฆ่าหมอจิ๊บ และฆ่าเอ๋ พี่สาวเค้าด้วย อุษาก็ตะโกนกลับไปว่าฉันรักษาคุณไม่ได้อีกแล้ว คุณต่างหากที่เป็นคนฆ่าคนทั้งหมด เป็นคนฆ่าพี่สาวตัวเอง

ชลสิทธิ์เขาได้เสียชีวิตไปแล้วนะ ลองไปดูที่ตู้# 19 ชลรู้สึกงงมากๆเลยในตอนนี้ เค้าล้มลงและมองเห็นผีดารารายกำลังจะกระโดดใส่ตัวเค้า เค้าคว้าเสาโคมไฟแทงใส่ผีร้ายแล้วผีก็หายไปกลายเป็นอุษาที่ถูกแทง เค้าไปดูที่ตู้#19 ชลสิทธิ์ ศุวมงคล สาเหตุการตายคือเสียเลือดมาก ความทรงจำทั้งหมดเริ่มกลับมา

ชลสิทธิ์เขาเป็นน้องชาย ของดารารายซึ่งประสบอุบัติเหตุมาแล้วในตอนนั้น โดยหมอสุธีเป็นเจ้าของไข้ เค้าไม่สามารถยื้อชีวิตชลสิทธิ์ไว้ได้ เค้าเสียใจมากเพราะรู้ว่าชลสิทธิ์มีความหมายกับดาราราย(หรือเอ๋) มากกอดศพและบอกเค้าว่าเธอไม่เหลือใครแล้ว ขออย่าให้ทิ้งเค้าไป

รีวิว บอดี้ ศพ19 หนังผี หนังสยองขวัญ ที่คอหนังห้ามพลาด

และเขาได้เอายาพิษใส่ในน้ำของดารารายเองเพราะดารารายแอบถ่ายรูปบนเตียงไว้และใช้เป็นเครื่องต่อรองไม่ให้สุธีทิ้งเธอ เมื่อเธอดื่มเครื่องดื่มเธอรู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ระหว่างนั้น เพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยุ่คนเดียว ก็ดังขึ้น เธอจับมอืหมอและบอกว่าทุกครั้งที่สุธีได้ยินเพลงนี้ขอให้เค้ารู้สึกถึงแต่เรื่องดีดีระหว่างเธอและเค้า

แต่ถ้าเค้าคิดจะทิ้งเธอ เค้าจะต้องเจ็บปวดและได้รับทุกอย่างกลับไปเช่นกัน เค้าจะไม่มีวันลืมเธอได้เลยเฮือกสุดท้ายของเธอ เธอพูดว่า “ชื่อดาราราย ตามหาฉันให้เจอ” แล้วหมอก็พาเธอมาที่บ้านเคยให้ดารารายอยู่และฆ่าหั่นศพที่นั่นหนังใหม่

ซึ่งเมื่อเปิดช่องท้องเค้าพบตัวอ่อนของเด็กอยู่ในท้องดาราราย เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกของเค้า เมื่อเค้ารู้ว่านกบอกเรื่องเค้ากับดารารายให้อุษาฟัง เค้าก็กลับไปฆ่าเธอโดนใช้ของมีคมฟันเธอทั้งตัว (ในจินตนาการชลเห็นลวดหนามเกี่ยวตัวนกจนตาย) ส่วนหมอจิ๊บก็วิ่งไปตีหัวแล้วโยนลงบ่อดอง (ในจินตนาการเห็นจมทะเลเลือด) หมอถูกจับระหว่างให้การที่ศาล

เค้าก็ยังยืนยันว่าหมอสุธีเป็นคนฆ่าคนทั้ง 3 เมื่อเค้ามองตัวเองในกระจกก็เห็นหน้าชลสิทธิ์ในนั้น ระหว่างพาตัวกลัวเรือนจำเพลงที่สะกดหมอก็ดังขึ้น เค้ากระโดดลงจากรถทันที และถูกเห็นเส้นที่รถบรรทุกขนมาหล่อนใส่ทิ่มตามตัวทั้งร่าง

หลายๆฉากมันงดงามมากเลยนะ เหมือน แมทริกเลย แต่หมอยังไม่ตายนะ มานอนให้เค้าแหวกอกอยู่ที่ ร.พ. ให้ oxegen อยู่ แล้วผีดารารายก็โผล่มาบอกว่า ฉันอโหสิให้คุณ และจะปลดปล่อยคุณเดี๋ยวนี้ อ๊ากกกกกกก แล้วหมอสุธีก็สำลักเลือดพร้อมรับรู้ถึงความเจ็บปวดขณะโดนแหวกอกทันที

รีวิว บอดี้ ศพ19 ความรู้สึกหลังจากดูจบ

สรุป เรื่องนี้ก็เป็นภาพยนต์แนว จิตวิทยา ระทึกขวัญ หักมุม ผีนิดๆ ชลสิทธิ์คือน้องของดารารายที่ตายไปแล้ว (นอนในตู้ 19) แต่ระหว่างที่โดน keyword ที่ดารารายสะกดไว้ (เพลงคิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว) หมอสุธีจะคิดว่าตัวเองคือชลสิทธิ์ แต่ที่ไม่รู้ว่าดารารายคือพี่สาวตัวเองอาจเพราะความทรงจำลึกๆ +รู้สึกผิดทำให้อยากจะลืมเรื่องของดาราราย

เอ๋จริงๆ ก็คือดารารายสมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์(ซึ่งเป็นเมียน้อยหมอแล้ว) ที่หมอสุธีสร้างขึ้นในจินตนาการ (เหมือนเด็กที่อุษารักษาตอนเปิดเรื่อง) เหตุที่หมอจิ๊บทดสอบสมองตอนที่ชลไปทำแผลมีดบาด และอุษาตกใจตอนชลสิทธิ์เข้ารับการรักษาเพราะสิ่งที่หมอจิ๊บ+อุษาเห็นคือสุธี ที่บอกว่าตัวเองคือชลสิทธิ์นั่นเอง

นำแสดงโดย
– เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ รับบทเป็น ชลสิทธิ์
– แป้ง อรจิรา แหลมวิไล รับบทเป็น เอ๋ (พี่สาวของ ชลสิทธิ์)
– เข็ม กฤตธีรา อินพรวิจิตร รับบทเป็น หมออุษา (ภรรยาของ หมอสุธี)
– ปลาย ปรเมศร์ น้อยอ่ำ รับบทเป็น หมอสุธี (สามีของ หมออุษา)
– เมย์ ภัทรวรินทร์ ทิมกุล รับบทเป็น ดาราราย

  ความรู้สึกหลังจากดูจบ

บทภาพยนต์นี้ดีมากๆ และเมื่อทุกอย่างเฉลยแล้วก็สามารถคลายปมทุกอย่างได้อย่างดีมาก เป็นหนังไทยน้อยเรื่องมากที่จะทำได้แบบนี้ (เพราะที่เห็นๆ มาจากหลายๆ เรื่อง แม้บทจะดี ดำเนินเรื่องดี หรือเล่าเรื่องดี แต่พอวิเคราะห์องค์รวมแล้วก็ยังจะเห็นบาดแผลของหนังซ่อนอยู่จุดนู้นจุดนี้เต็มไปหมด)หนังสามารถนำประเด็นของคนเป็น โรค MPD (Multiple Personality Disorder) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคหลายบุคลิก มาเล่นได้อย่างชาญฉลาดมากฮะ เห็นได้ชัดว่ามีการทำการบ้านมาอย่างดี ไม่มีจุดที่ให้จับผิดได้เลย ยิ่งสืบหาความจริง ความเจ็บปวดที่แสนสาหัสก็ยิ่งปรากฎ ความจริงนั้นคืออะไร ไปร่วมหาคำตอบกันนะครับทางช่อง The Medium ร่างทรง

รีวิว The Medium ร่างทรง หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

แน่นอนว่ามันเป็นภาพยนต์ไทยเรื่องแรกที่รับชม เว็บดูหนังเถื่อน ในโรงหลังเขาประกาศให้โรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ เปิดให้บริการได้ มันเป็นหนังไทยจากค่าย GDH559 ที่ทำงานด้วยโครงเรื่องและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากทีมงานเกาหลี ที่นำโดยนาฮงจิน เป็นหนังไทยแนวสยองขวัญ รีวิว The Medium   รีวิวหนังไทยnetflix นั่นเองแหละครับ

แต่ด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถ่ายทำในรูปแบบ mockumentary คือ ดำเนินเรื่องเหมือนสารคดีที่อาจทำให้คนดูรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริง และเป็นการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกทั้งของผู้กำกับชาวไทย บรรจง ปิสัญธนะกูล เจ้าของผลงานอย่าง แฟนเดย์พี่มาก..พระโขนงกวน มึน โฮ4 แพร่ง5 แพร่ง โดยก่อนหน้านั้นก็กำกับหนังสยองขวัญที่สร้างชื่อร่วมกับ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ เรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ และ แฝด หรือติดตามหนังเรื่องอื่นได้ที่ ผ้าผีบอก Ghost cloth

เรื่องย่อหนัง ร่างทรง (The Medium)

เหตุการณ์ต่างๆได้บอกถึงการถ่ายทอดร่างทรง ย่าบาหยัน ของคนหนึ่งในภาคอีสานของไทย แต่ทายาทคนนี้ไม่สามารถรับช่วงต่อแต่ก็ไม่อาจฝืนชะตาได้ นำมาสู่เรื่องราวเขย่าขวัญคนทั้งโลก เรื่องเกริ่นขึ้นใน ปี 2018 ทีมงานสารคดีทำข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวร่างทรงในไทย และไปพบเจ้าของเรื่องอย่าง ป้านิ่ม (เอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา) ที่เป็นร่างทรง ‘ย่าบาหยัน’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นในจังหวัดเลย

ที่น่าสนใจคือย่าบาหยันจะสืบทอดกันต่อเฉพาะลูกหลานที่เป็นผู้หญิงในตระกูลของป้านิ่มเท่านั้น โดยคนที่มีแนวโน้มรับต่อในปัจจุบันมากที่สุดคือ มิ้งค์ (ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร) ลูกของพี่สาวป้านิ่มนั่นเอง ทำให้ทีมสารคดีขออนุญาตมาถ่ายทำป้านิ่มและครอบครัวในปี 2019 จนได้มาเจอเรื่องราวต่าง ๆ และตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อของสารคดีจากเรื่องว่าร่างทรงคืออะไร มาเป็นเรื่องของการสืบทอดร่างทรงแทน

และเรื่องนี้ก็ได้กลับมาเล่นหนังสยองขวัญอีกครั้งของ โต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับชั้นแนวหน้าในปัจจุบันของไทยจากทั้งผลงานปลุกกระแสผีไทยจาก “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” (2547) จนมาถึงสร้างประวัติศาสตร์หนังไทยพันล้านจากหนังสยองปนขำเรื่อง “พี่มากพระโขนง” (2556) ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเขาในทุกย่างก้าว และการก้าวรอบนี้ก็เรียกว่าเป็นบันไดก้าวแรกสู่ระดับนานาชาติของบรรจงอย่างแท้จริง

เพราะว่าได้ถูกโน้มน้าวให้ร่วมงานกับผู้กำกับเกาหลีชื่อดังระดับเวทีนานาชาติอย่าง นาฮงจิน ที่เคยมีผลงานแนวสยองขวัญเรื่อง “The Wailing” (2016) ที่ได้รสชาติสยองชวนคิดที่น่าสนใจ และหนังเรื่อง “ร่างทรง” ก็ไปคว้าอันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของเกาหลีมาได้ด้วยอย่างงดงามเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พร้อมคำชื่นชมในดีกรีความโหดขนหัวลุกของหนัง แน่นอนว่านี่คือความภูมิใจของคนไทยอย่างแท้จริงแล้ว โดยไม่ต้องสนใจว่าหนังจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร

รีวิว The Medium ร่างทรง

ถ้าจะนับว่าอะไรที่ นาฮงจิน ส่งผลด้านดีต่อหนังนอกไปจากโครงเรื่องตั้งต้นที่เดิมเขาตั้งใจไว้ทำ “The Wailing” ภาค 2 นั่นก็คือ แนวทางการสร้างฉากและบรรยากาศของหนัง ที่กลิ่นฝนชื้นในชนบทดูเยือกเย็น ชวนเร้นลับ และภาพแปลกตาของพิธีกรรมความเชื่อที่แฝงอยู่ในชีวิตของคนได้อย่างน่าทึ่ง ฉากหลังเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ขาดไปรับรองหนังมีกร่อยลงแน่ ๆ

และบอกใว้ก่อนเลยว่าความคิดของทีมงานคนไทยไม่ใช่ย่อย ๆ เลย ไม่ว่าจะฉากหุบผาที่สถิตของรูปปั้นย่าบาหยัน รวมถึงตึกร้างที่รากไม้ชอนไชเป็นทรวดทรงน่าขนลุก นี่คือ 2 ฉากเด่น ที่แค่เห็นไม่ต้องเอาดนตรีหรืออะไรเข้าช่วยก็ชวนขนลุกแล้ว

พอประกอบกับดนตรีที่สร้างอารมณ์ร่วมมาก ๆ และการแสดงแบบเหมือนประทับร่างของนักแสดงสายฝีมือล้วน ๆ ทั้งตัวหลัก ตัวรอง ตัวประกอบ (เนี้ยบยันตัวประกอบนี่สำหรับหนังไทยคือคุณภาพสูงมาก) และบทหนังที่ปั่นหัวคนดูไปมา มันจึงเป็นหนังที่มีพลังสูงมาก ต้องปรบมือในการเลือกใช้นักแสดงที่เอาชื่อชั้นฝีมือเข้าว่าจริง ๆ

หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

ยิ่งช่วงหลังๆของภาพยนตร์เรื่องนี้จัดได้ว่า วุ่นวาย สับสน น่ากลัว ปั่นประสาท ขนหัวลุก น่ากลัวมาก ๆ บางช่วงทำเอาคลื่นไส้มวนท้อง อาจเพราะความมืดของโรง การเคลื่อนภาพที่สมจริงสั่นไหวเหมือนอยู่ในสถานการณ์ ดนตรีที่โหมกระหน่ำ การตัดต่อที่ฉับไว ต้องยกความดีครึ่งหนึ่งให้กับการชมในโรงภาพยนตร์จริง ๆ ถ้าจอเล็กกว่านี้ มืดน้อยกว่านี้ ดนตรีไม่ดังอย่างนี้ มันคงไม่ได้ผลตามที่คนทำหนังต้องการนัก แล้วเรื่องไล่ระดับอารมณ์ได้ดีไม่มีหย่อนแบบอัดแล้วอัดเล่าใส่หัวใจคนดูตลอดครึ่งเรื่องหลัง จนอยากปรบมือให้ดัง ๆ

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

และยังมีอีกอย่างที่น่ายกย่องคือความรุนแรงของเรื่องที่กล้าท้าทายข้อห้ามจารีตสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างน่าชื่นชมในความฉลาดไม่โฉ่งฉ่าง คงเล่าไม่ได้ว่าทาบูที่โดนขยี้ย่ำนั่นเป็นอะไรบ้าง แต่เห็นความจงใจลองของตรงนี้ชัดเจน ถ้าฝีมือการเล่าด้อยกว่านี้ รับรองไม่ผ่านหน่วยงานหั่น-แบนของไทยแน่นอน (และชื่อ GDH ก็อาจเป็นเกราะช่วยประมาณหนึ่ง) และที่สำคัญอาจกลายเป็นหนังไร้รสนิยมไปได้ง่าย ๆ ทีเดียวกับการเล่นของโสมมทั้งทางสายตาและทางจิตใจแบบนี้ ขอปรบมือดัง ๆ ให้อีกรอบ

ครึ่งหนึ่งหนังสารคดี อีกครึ่งคือหนัง(โคตร)สยองขวัญ

ดูเหมือนหนังจะถูกวางมาตั้งแต่ต้นแล้วจะดำเนินเรื่องในสไตล์กึ่งสารคดี ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกจริงในใจคนดู ครึ่งแรกนั้นหนังบอกเล่าด้วยการมีทีมงานสารคดีที่เราไม่เห็นตัวเข้าไปขอถ่ายทำสัมภาษณ์ป้านิ่ม คนทรงย่าบาหยันคนปัจจุบัน ก่อนจะไหลเรื่อยไปถึงคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมก็คงจะเป็นงานถ่ายภาพที่ทำออกมาได้สวยงาม จนแอบนิยมในใจไม่ได้ว่า ช่างเป็นสารคดีที่เก็บเรื่องราวชาวบ้านพื้นถิ่นอีสานได้ดูดีเหลือเกิน

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา

เรื่องราวได้เริ่มปั่นประสาทมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมิ้งเริ่มแสดงอาการผิดประหลาดมากขึ้นทุกที หนักข้อถึงขนาดไม่กินอะไรจนผอมแห้งเห็นกระดูก (ซึ่งอันนี้ ได้รู้เบื้องหลังว่า น้องญดาลดน้ำหนักไป 10 กิโลกรัมจริงๆ) ตัวหนังหลังจากนั้นจึงเริ่มจะไม่เรียลเท่าก่อนหน้าแล้ว เมื่อหนังเข้าสู่โหมดสยองขวัญเต็มตัว

ก็เริ่มจะไต่ระดับความโหดมากขึ้นเรื่อยๆ หนังเล่นทุกทางเท่าที่จะเล่นได้ โดยเฉพาะการใช้ภาพจากกล้องวงจรปิด การเล่นกับจอดำที่มองไม่เห็นอะไร ได้ยินแต่เสียง อะไรแบบนี้เป็นต้น จนไปปิดด้วยที่ความเฮี้ยนแบบจัดเต็มในโค้งสุดท้าย เหมือนคนที่กำลังวิ่งหนีเพราะโดนรุกไล่จากสัตว์ร้ายอย่างไม่ลดละ วิ่งยาวๆ มันก็ต้องมีเหนื่อยหอบกันบ้าง

ตั้งคำถามสะท้อนสังคม หลายสิ่งชวนถกเถียง

เรื่องราวในหนังนี่ จะว่าไป ก็หยิบเรื่องราวในสังคมมาตั้งได้หลายคำถามเหมือนกันนะ นอกเหนือจากเรื่องราวของความเชื่อความศรัทธาของคนในท้องถิ่นแล้ว ก็ยังตั้งคำถามไปถึงเรื่องการนับถือศาสนาที่นับว่าเป็นหนึ่งสิ่งสากลด้วยอีกต่างหาก

หนังยังมีแนวคิดให้เราในแนวพฤติกรรมบางอย่างเข้าไป ทำให้รู้สึกเหมือนหนังจะวิพากย์ไปถึงหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น วงการตำรวจเอง วงการทรงเจ้าเข้าผี รวมไปถึงความโหดร้ายที่มนุษย์ทำต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่เว้นแม้แต่บางเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว การกระทำของตัวละครบางส่วนก็ไม่ลงรายละเอียด เหมือนจะให้ผู้ชมไปถกเถียงวิเคราะห์กันเอาเอง

อาจจะมีบางคนไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด โดยใช้ข้อมูลที่รีเสิร์ชมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมายำเข้าด้วยกัน แล้วเริ่มเล่าด้วยแนวทางสารคดี มันจึงดูเหมือนจริง แต่ก็เป็นเพียงช่วงแรกเท่านั้น เพราะในช่วงต่อๆ มา คนดูก็อาจจะพอเห็นความไม่เนียนของตากล้องมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนังพยายามจะเล่าด้วยวิธี found footage

ภาพที่ต้องการให้เห็นต้องเป็นมุมมองของตากล้องสารคดี ซึ่งบางทีก็ทำหน้าที่เกินเลย บางเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะยกกล้องขึ้นถ่าย แต่ตากล้องก็ยังถ่ายต่อราวกับไม่สนใจความควรไม่ควรการเล่าในแบบกึ่งสารคดีจึงดูเหมาะดีกับช่วงแรก แต่ดูประดักประเดิดไปในช่วงหลัง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะขาดตกไม่พูดถึงไปไม่ได้เลย คือ น้องญดา นริลญา กุลมงคลเพชร ที่เล่นเป็นหญิงสาวแสนสก๊อยผู้ไม่เชื่อในเรื่องร่างทรง แต่กลับถูกผีเข้าจนออกอาการหนักข้อ เธอเล่นได้สุดมาก มีทั้งช็อตที่อึ้งไปเลย กับช็อตที่ต้องใช้พลังมากมายเพื่อจะแสดงได้อย่างเข้าถึง แม้ว่านี่จะเป็นเพียงงานแสดงหนังเรื่องแรกของเธอเท่านั้น

รีวิว The Medium รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง

7.4

The Medium (Rang Zong)

หนังผีน่ากลั้วๆแนวกึ่งสารคดี ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง โดยมีผู้กำกับมากฝีมือ โต้ง บรรจง เรื่องราวนี้ได้แนวทางมาจากความเชื่อเรื่องร่างทรงในแถบอีสาน เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งมีอาการแปลกประหลาดจนถูกเข้าใจว่าเป็นร่างทรงคนใหม่ของย่าบาหยัน หนังตั้งคำถามว่ามันคืออะไรกันแน่ ศรัทธาที่คนเชื่อถือกันนั้นเป็นของจริงมั้ย ครึ่งแรกเล่าแบบหนังสารคดี แต่ครึ่งหลังจัดหนักกับความเป็นหนังสยองขวัญ ยิ่งตอนท้าย ยิ่งเล่นหนักหน่วง กว่าจะจบคงเหนื่อยหอบไปตามๆ กัน

รีวิว ร่างทรง The Medium หนังผีกึ่งเรียลที่ตั้งคำถามถึงศรัทธา
ชื่อภาพยนตร์ ร่างทรง / Rang Zong / The Medium
ผู้กำกับ บรรจง ปิสัญธนะกูล
ผู้เขียนบท นาฮงจิน (story), ชเวชาฮวอน (story), ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
นักแสดง นริลญา กุลมงคลเพชร, สวนีย์ อุทุมมา, ศิราณี ญาณกิตติกานต์, ยะสะกะ ไชยสร, บุญส่ง นาคภู่, ภัคพล ศรีรองเมือง
แนว/ประเภท Horror
เรท ไทย/น18+
ความยาว 130 นาที
ปี 2021
เข้าฉายในไทย 28 ตุลาคม 2021
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย GDH559, จอกว้างฟิล์ม, Northern Cross, Showbox

ร่างทรง

พล็อตและบท – 7.3

การดำเนินเรื่อง – 7.1

การแสดง – 8.1

งานถ่ายภาพและเทคนิคพิเศษ – 7.5

ดนตรีและเพลงประกอบ – 7

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่ สารคดี ภาพยนตร์ ซีรี่

เว็บดูหนังเถื่อน วันนี้จะมาเล่าเรื่อง 13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ ที่หลายคนคงจำเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 2016 และโด่งดังไกลออกไปทั่วโลก ในฐานะคนไทย คนหนึ่งที่ติดตามชีวิตของ 13 ทีหมูป่าติดถ้ำกันเเบบไม่มีหยุดพักเช่นเดียวกับหลายๆคน เลยรู้เรื่องราวมาเยอะพอสมควรว่าจะเป็นเเบบไหน

เเต่  รีวิวหนังไทยnetflix  เรื่องนี้ได้ทำให้เรารู้สึกจริงๆเลยเหมือนกับตอนที่ข่าวพึ่งออกใหม่ๆเฉยเลย ซึ่งเรื่องเล่าจากในถ้ำ เป็นการตีแผ่เรื่องราวที่ทั่วโลกเคยให้ความสนใจเหตุการณ์ที่สมาชิกทีมฟุตบอลเยาวชน 13 คนทางภาคเหนือของประเทศไทยติดอยู่ในถ้ำที่น้ำท่วมเมื่อกลางปี 2018 หลังติดอยู่ในถ้ำนานถึง 17 วัน จนแทบจะไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะรอดชีวิตกลับออกมา

แต่ต้องขอแนะนำตรงนี้เลยนะว่าเรื่องทีม 13 หมูป่า มาสเตอร์  เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องแรกนะที่ได้เอามาทำเป็นหนัง เพราะมีหนังหลายเรื่องเเล้วที่นำเหตุการณ์นี้มาสร้าง เพราะเหตุการณ์หมูป่าถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จารึกของไทย เเละของโลกเช่นกัน เพราะข่าวออกทั่วโลกเลย ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่นี่ บุพเพสันนิวาส ๒

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ สารคดีที่สร้างจากเรื่องจริง

สารคดีนี้  Netflix ได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมาจากการสัมภาษณ์ ของโปรดิวเซอร์ และกำกับภาพยนตร์โดย ไพลิน วีเด็ล ผู้กำกับสารคดีคนแรกของไทย ที่สามารถคว้ารางวัลสาขาสารคดียอดเยี่ยมจากงาน International Emmy Awards ครั้งที่ 49 จากผลงานสารคดี Netflix ‘ความหวังแช่แข็ง: ขอเกิดอีกครั้ง(Hope Frozen: A Quest to Live Twice) ซึ่งจะว่าไป สารคดีเรื่องนี้คือผลพลอยได้จากซีรีส์ Netflix ‘ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง’ (Thai Cave Rescue) ที่เพิ่งฉายไปไม่นานนี้เองล่ะนะครับ

ความเป็นมาของสารคดีเรื่องนี้ คือ ไพลินได้เข้าไปสัมภาษณ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำงานด้านข้อมูลให้กับทางซีรีส์ จนกระทั่ง Netflix มองเห็นว่าน่าจะต่อยอดไปเป็นสารคดีจริงจังได้ เลยมีการถ่ายซีนจำลองเหตุการณ์ประกบการสัมภาษณ์ในภายหลัง ซึ่งถ้ำหลวงในซีนนั้นกับในซีรีส์ก็คือถ้ำหลวงจำลองอันเดียวกันนั่นแหละ

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

สารคดีเรื่องนี้ ทำให้เราได้เห็นและสัมผัส ในมุมมองของ 13หมูป่า ในช่วง แรกเริ่มของเหตุการณ์ทั้งหมด สำรวจเบื้องหลังวิถีชีวิตในฐานะเด็กท้องถิ่น และในฐานะลูกชาย ที่ถ่ายทอดผ่านพ่อแม่ของเด็ก ๆ จนกระทั่งเข้าไปติดภายในถ้ำ ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาในสถานการณ์อันตรายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความท้อแท้ที่ไม่เคยถูกเล่ามาก่อน รวมไปถึงเรื่องราวนอกถ้ำ

ตั้งแต่ตำนานปรัมปราเก่าแก่ของ ถ้ำหลวง ข้อมูลด้านธรณีวิทยาของตัวถ้ำ รวมทั้งความรู้สึกของพ่อแม่ของเด็ก ๆ สำรวจปฏิบัติการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อุทยานถ้ำหลวง นักสำรวจผู้เชี่ยวชาญด้านถ้ำหลวง ผู้บัญชาการหน่วยซีล นักประดาน้ำในถ้ำจากต่างประเทศ เลยไปสำรวจปรากฏการณ์สังคมในฐานะข่าวใหญ่ที่ดังไปทั่วโลก ผ่านมุมมองของผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และปฏิกิริยาทางสังคมที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ณ เวลานั้นด้วย

ความน่าสนใจของสารคดีเรื่องนี้

ขอบอกเลยนะว่าความน่าติดตามอีกมุมมองของเรื่องนี้ อยู่ที่เนื้อเรื่องที่ไม่ได้เล่าจากมุมมองในเชิงข่าว ข้อมูลดิบ เทคนิค หรือนำเสนอแต่ความอันตรายภายในถ้ำหลวงที่น้ำท่วม ความตื่นตะลึงในปฏิบัติการที่เสี่ยงอันตรายในทุก ๆ ขั้นตอน แต่ประสบความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ หรือแม้แต่การตั้งคำถามกับระบบการจัดการและโครงสร้างของผู้มีอำนาจในการจัดการวิกฤติ

แต่เนื้อหาหลักของหนังเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย หรือจะเรียกว่าเป็น Trivia ส่วนตัวของ Subject หลักในเรื่อง นั่นก็คือตัวแทนเด็ก ๆ 13หมูป่าตัวจริงทั้งโค้ชเอก, ไตตั้น, มิกซ์, ตี๋, เติ้ล, มาร์ก และ อดุลย์ ประกอบวางกับซีนสถานการณ์จำลอง และฟุตเทจจากข่าวบางส่วนแทน แน่นอนว่ามันอาจจะทำให้รู้สึกว่าเดจาวูเหมือนดูซ้ำเหตุการณ์เดิมที่รู้บทสรุปไปแล้วบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนเสริมเรื่องราวที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าตีหัวเข้าบ้านอะไรขนาดนั้น

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

และสิ่งเหล่านั้นก็คือ ผู้สร้างสารคดีในเรื่องนี้ เขาไม่ได้อยากต้องการให้ เป็นสารคดีบันทึกประวัติศาสตร์ หรือการบันทึกเหตุการณ์ของข่าวถ้ำหลวงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเหมือนกับไดอารี่ที่เด็ก ๆ 13 หมูป่าได้เล่าทุกอย่างในมุมมองของ แต่ละคน ตั้งแต่ก่อนวินาทีที่ 0 ที่ก้าวเข้าถ้ำหลวงด้วยซ้ำ รวมทั้งสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นวินาทีต่อวินาทีในระหว่างระหว่างติดถ้ำ

ตั้งแต่ในช่วงแรกที่เด็กๆ ทุกคน ยังคงมีความหวัง  สะท้อนผ่านมุกตลกคุยเล่นคุยหัว แต่พอสถานการณ์เลวร้ายลง ความหวังเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความหิว ความเครียด ความกดดัน การต่อสู้เอาตัวรอดแบบสับสนไร้เหตุผล เราจึงเริ่มรู้สีกได้ว่ากราฟของไดอารี่ฉบับนี้เริ่มดำดิ่งลงเห็น ๆ มุกตลกของพวกเขาเริ่มออกไปในทางมุกตลกร้าย ที่สะท้อนภาพความทุกข์และความสิ้นหวังที่กำลังครอบงำพวกเขาทีละนิด แม้จะมีความหวังอยู่บ้าง แต่เหมือนพวกเขาเองก็เริ่มเผื่อใจเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเอาไว้แล้วด้วย

โครงเรื่องของสารคดี

สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้มี โครงสร้างที่ซับซ้อนมากเกินไป จริง ๆ มันก็เป็นท่าที (Format) สากลของภาพยนตร์สารคดีทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ และประกอบกับเรื่องราวของถ้ำหลวงนั้นถูกเล่าจนปรุ และทุกคนต่างก็รู้บทสรุปของมันอยู่แล้ว แต่ก็ต้องชมตัวหนังว่า สามารถลำดับกราฟเรื่องออกมาได้น่าสนใจ เป็นกราฟเรื่องที่เล่าตามความรู้สึกของทุกคน ค่อย ๆ

สวิงจากด้านบวกลงไปจนถึงความท้อแท้อย่างถึงที่สุด มุกร้าย ๆ ที่ออกมาจากปากของเด็กหนุ่มค่อย ๆสะท้อนความรู้สึกที่ไม่ได้แค่เกิดจากความห่าม แต่มาจากความรู้สึกลึก ๆ ที่ยังอยากมีความหวังเอาตัวรอดออกไปจากถ้ำเสียมากกว่า ส่วนโค้ชเอกก็รู้สึกหวาดหวั่นในฐานะพี่ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบน้อง ๆ หรือแม้แต่ปูมหลังของเด็ก ๆ แต่ละคนที่เล่าโดยพ่อแม่ก็เป็นการเติมเต็มเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิด และความเป็นมนุษย์ให้กับเด็ก ๆ และเติมความน่าสนใจให้กับตัวสารคดีมากยึ่งขึ้นกว่าที่เคยมีมา

จนเมื่อเด็ก ๆ ได้ออกมาจากถ้ำแล้ว ท่ามกลางทุกคนที่ดีใจมีความสุข แต่เนื้อเรื่องของหนังก็ยังตั้งคำถามกับพวกเขาในฐานะที่กลายมาเป็นที่รู้จักและได้รับโอกาสนับไม่ถ้วน ซึ่งสารคดีก็ได้สะท้อนเรื่องราวผ่านความรู้สึกกดดันของเขาต่อกระแสสังคมส่วนหนึ่งที่อาจมองพวกเขาว่าพวกเขาเป็นคนสร้างภาระขึ้นจากความบ้าบิ่น มากกว่าเป็นผู้ประสบเหตุ

หนังที่สร้างจากเรื่องจริง

ความรู้สึกของโค้ชเอกที่กลัวพ่อแม่ของน้อง ๆ จะเข้ามาดุด่า รวมทั้งความรู้สึกผิดลึก ๆ ในใจที่พวกเขามองว่าตัวเองมีส่วนให้เกิดความสูญเสียหลาย ๆ อย่าง ทั้งเวลา ทรัพยากร และโดยเฉพาะกับนาวาตรีสมาน กุนัน หรือจ่าแซม เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ ที่ทำให้พวกเขามีมุมมองต่อชีวิตที่เปลี่ยนไปจากตอนก่อนเข้าถ้ำอย่างเห็นได้ชัด

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

13 หมูป่าเรื่องเล่าจากในถ้ำ’ สำหรับหลายๆ คนอาจมองว่าเป็นสารคดีถ้ำหลวงอีกเรื่องหนึ่งนั่นแหละ แต่สำหรับผู้เขียน สารคดีเรื่องนี้ก็อาจจะสื่อให้นึกถึงหนังแนว Coming of Age อยู่เหมือนกันนะครับ

แทนที่ตัวละครต้องออกเดินทางไกลเหมือนหนัง Coming of Age ปกติ พวกเขากลับเดินทางเข้าไปในถ้ำ เพื่อไปเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย กระทบกระเทือนรุนแรง และได้กลับออกมาพร้อมกับคำตอบที่ว่า พวกเขารู้สึกกับเหตุการณ์อันจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขาอย่างไรบ้าง พวกเขาผ่านความรู้สึกโหดร้ายดำดิ่งมาได้อย่างไร และพวกเขามีความคิดที่เติบโตขึ้นอย่างไรบ้าง

สารคดีของเด็กทั้ง 13 คน

ไม่สนว่าใครจะคิดยังไงก็ตามนะ แต่อย่างน้อย สารคดีเรื่องนี้ก็ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาเด็กๆ ทั้ง 13คน ได้เพิ่มเติมเรื่องราวของตัวเอง ลงไปเติมเต็มในเหตุการณ์ครั้งใหญ่ ที่เป็นเหมือนไดอารี่ที่เติมเรื่องที่ไม่เคยถูกเล่าในฐานะของเด็กชายที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มที่เคยผ่านสถานการณ์และความรู้สึกที่มืดมิดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตมาแล้ว

ทุกเรื่องราวเหล่านั้นอาจเลือนหายสาบสูญไปตามเวลา หลายคนอาจยังไม่เข้าใจพวกเขาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คือ ไดอารี่เล่มนี้จะเป็นบทบันทึกเล็ก ๆ ที่คอยย้ำเตือนให้พวกเขา (และพวกเรา) มองเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นอดีต และย้ำเตือนว่า หากยังคงมีโอกาสที่สอง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตล้วนเป็นบทเรียนที่สอนให้คนเราเติบโตขึ้นได้จริง ๆ

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ บทสรุป 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ | THE TRAPPED: 13 HOW WE SURVIVED THE THAI CAVE

คุณภาพด้านการแสดง   8.7

คุณภาพโปรดักชัน   8.8

คุณภาพของบทภาพยนตร์   9.1

ความบันเทิง   9.2

ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม   10

13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ จากข่าวดังทั่วโลก มาสู่สารคดี ภาพยนตร์ซีรี่

จุดเด่นเรื่องนี้เป็นอีกมุมมองที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้กันมาก่อนจากปากของเด็กๆทั้ง 13 คน อาจจะมีเดจาวูบ้างแต่ถือว่าไม่ตีหัวเข้าบ้าน เรียบเรียงกราฟอารมณ์ของเรื่องราวได้น่าสนใจและน่าติดตาม โปรดักชันถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ทั้งซีนบทสัมภาษณ์ ช็อต Insert ซีนจำลองเหตุการณ์ที่สมจริง และฟุตเทจที่เลือกใช้จุดสังเกต9.2 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ

 

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

นายพงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับไม่ว่าจะเป็นเรื่องเท่ง โหน่ง คนมาหาเฮีย’ ‘เท่ง โหน่ง จีวรบิน และ’ แคท อ่ะ แว่บ ที่ล้วนประสบความสำเร็จด้านรายได้เป็นอย่างดี และในอีกชื่ออย่าง เท่ง เถิดเทิง ก็คือนักแสงตลกที่สามารถข้ามความสำเร็จจากวงการทีวีสู่วงการภาพยนตร์ได้อย่างสวยงามทั้งงานสร้างชื่ออย่าง มือปืน/โลก/พระ/จันทร์ จนถึง หลวงพี่เท่ง’  เป็นการ  เว็บดูหนังเถื่อน  ที่สามารถสร้างรายได้ระดับปรากฎการณ์ได้ทั้งคู่หลังจากที่พี่เท่ง เถิดเทิงได้ทิ้งงานกำกับมาหลายปีจากนั้นก็กลับมากับงานกำกับครั้งใหม่ อย่าง รีวิว ทิดน้อย เป็นภาพยนต์ที่นำเอาตำนาน แม่นาคพระโขนง มารีเมคใหม่ รีวิวหนังไทยNetflix  ในมุมมองของคนแอบรักอย่างตัวละครทิดน้อยที่ถูกมอบหน้าที่ คนตาบอดเพราะความรัก เรียกได้ว่านี่จะเป็นงานหนังตลกปนโรแมนติกเรื่องแรกในพอร์ตโฟลิโองานกำกับของเขา ดูรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่ Bad Guys ล่าล้างเมือง

เรื่องย่อ ทิดน้อย

ณ ทุ่งพระโขนง มีสาวสวยเธอผู้นั้นคือ นาค (พัชราภา ไชยเชื้อ) ซึ่งเป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคน รวมไปถึง มาก (อนันดา เอเวอริงแฮม) หนุ่มหล่อกำยำแห่งทุ่งพระโขนง และ ทิดน้อย (เท่ง เถิดเทิง) ชายหนุ่มที่มีหัวใจให้นาคผู้เดียว และเป็น มาก ที่ได้ครอบครองหัวใจนาคแต่หลังจากเขาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ทิดน้อยเลยต้องรับหน้าที่คอยดูแลนาคที่กำลังท้องแก่ และในช่วงเวลานี้ที่จะพิสูจน์ใจว่าระหว่างรักแท้ของมาก กับ รักแท้แท้ของทิดน้อย ใครจะได้ครอบครองหัวใจของนาคกันแน่

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

เมื่อได้ดูหนังจบลงไปแล้วคงจะบอกว่าบทบาทการแสดงของ ‘ทิดน้อย’ ดูจะเป็นการแสดงที่เหมือนละครสามช่าที่ไม่ต่างจากงานชิ้นก่อน ๆ ทั้งการนำตำนานของหนังที่คนรู้จักอยู่แล้ว มาผูกเรื่องเข้าไปแบบหลวม ๆ และมีซีนทีเล่นทีจริงที่หลายคนคิดถึงจากรายการชิงร้อยชิงล้านพอคนดูไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องราวอะไรมากนักก็เป็นโอกาสของพี่เท่งเขาล่ะที่จะใส่มุกเข้ามาไม่ยั้ง ซึ่งพี่เท่งก็ใช้บริการจากบรรดานักแสดงตลกที่เป็นพันธมิตรกันทั้งรุ่นเก๋าอย่างพี่โหน่ง หรือ น้าถั่วแระ เชิญยิ้ม ไปจนถึงรุ่นใหม่อย่าง แจ๊ค แฟนฉัน และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่มาสร้างสีสันให้หนังได้เป็นอย่างดี

รีวิว ทิดน้อย หนังมาสเตอร์

แต่จุดหลักๆที่สำคัญของหนัง คือการนำ อนันดา เอเวอริงแฮม  มาแสดงในหนังตลกแนว ๆ นี้มาประกบคู่กับ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ นางเอกซุปตาร์ที่ร้างจอไปนานกลับมารับบท แม่นาค อีกรอบหลังจากแสดงในเวอร์ชันละครไปเมื่อ 24 ปีที่แล้วก็ทำให้ ‘ทิดน้อย มาสเตอร์’ มีแนวทางชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายคือบรรดาแฟนคลับอั้ม รวมถึงคนที่เคยดูหนังที่อนันดาเล่นแล้วอยากเห็นเขาเล่นบทตลกบ้างก็ทำให้หนังดูมีสิ่งที่ชวนติดตามไม่น้อยเลยทีเดียวล่ะ

เพียงแต่ งานกำกับของพี่เท่งก็ยังไม่สามารถทำให้อั้มและอนันดา เก็ตกับการเล่นมุกแบบด้นสดหรือการปล่อยจอยไหลไปกับบทแบบเดียวกับนักแสดงตลกรับเชิญมากมายบนจอได้ เลยทำให้ภาพรวมเองก็ออกมาไม่กลมกล่อมนัก นักแสดงหลักก็ดูจะพยายามแสดงในส่วนที่เล่าเรื่อง แต่ด้วยงานกำกับที่ไม่ได้เน้นการคุมแอ็กติ้งก็ทำให้ภาพรวมการแสดงของทั้งคู่ออกมาดูไม่จืดจนเหมือนนักแสดงฝีมือตกอย่างเห็นได้ชัด

นักแสดงนำระดับซุปเปอร์สตาร์

ส่วนคนอื่นๆที่เอามาทำมุก ตลก ขำๆ ไม่ค่อยจะมีผลกับเรื่องราวเท่าไหร่นัก มิหนำซ้ำคงต้องยอมรับล่ะว่าหากจะประเมินในฐานะหนังตลกเองก็ยังเป็นหาจังหวะที่จะทำให้คนดูขำได้ยาก เพราะการเอาโนว์ฮาว (Know How) การเล่นมุกไปเรื่อยแบบละครสั้นสามช่ามาใช้กับหนังชั่วโมงครึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเลยกลายเป็นหนังที่ล้นไปทุกส่วนจนบาลานซ์ระหว่างความตลกกับความโรแมนติกอย่างที่มันอยากเป็นไม่ได้

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

และบ้างครั้งการเล่นมุกต่างๆดูไม่ค่อยจะตรงจังหวะสักเท่าไหร่นะ แต่ดีที่มีทิดน้อยที่เป็นจุดขาย มาเป็นตัวละครศูนย์กลางในการเล่าเรื่องก็กลับเล่าได้สะเปะสะปะเหมือนไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหน จะให้คนดูลุ้นว่าทิดน้อยจะเอาชนะใจนาคยังไงก็ดันให้คาแรกเตอร์ทิดน้อยดูไม่ค่อยฉลาด เข้าข้างตัวเองและแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาเรื่อย ๆ หรือจะให้คนดูซาบซึ้งกับความเสียสละของทิดน้อยและทำให้เห็นความรักที่มั่นคงของเขา หนังก็กลับไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องราวในส่วนนี้มากพอเสียด้วย

ปัญหาของหนัง

ในส่วนของประเด็นหลังที่สำคัญของหนัง ‘ทิดน้อย Netflix’  คือการที่พี่เท่งยัง คิดถึงรูปแบบเดิมๆในการทำหนัง จนทำให้จังหวะจะโคนการเล่าเรื่องของมันดูเชื่องช้า ย่ำกับที่ และไม่ตอบโจทย์ในการพาผู้ชมยุคใหม่เข้าโรงไปฮากับหนังสักเท่าไหร่ และที่ถือว่าไม่สนใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมเลยก็คือบทเดือนของ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่ยังคงเป็นมุมมองผู้ชายในยุคเบบี้บูมที่เห็นกะเทยเป็นสิ่งแปลกปลอมและหมั่นลวนลามผู้ชายจนดูน่ากลัว

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ แบบตรงไปตรงมาเลย คือการเอาหนังทั้งเรื่องความยาว ชั่วโมงครึ่ง ที่เล่าเรื่องยืดยาวและมุกตลกไม่ทำงานกับคนดูไปเทียบกับคลิปตลก ๆ ที่มีความยาวเพียงไม่กี่วินาที ก็คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าระหว่างการเสียเงินซื้อบัตรชมภาพยนตร์ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองกับการเปิดคลิปตลกในแอปต่าง ๆ แถมดูได้ทุกที่ ผู้ชมที่ต้องการความบันเทิงแบบทันทีจะเลือกแบบไหน

การกลับมา ของพี่เท่ง

หลังจากที่ได้ห่างหายจากวงการไปถึง 8 ปี พี่เท่ง เถิดเทิงก็กลับมาอีกครั้งกับงานกำกับครั้งใหม่อย่าง ‘ทิดน้อย หนังดีหนังดัง’ หนังที่ขอหยิบตำนานแม่นาคพระโขนงมาเล่าใหม่ในมุมมองของคนแอบรักอย่างตัวละครทิดน้อยที่ถูกมอบหน้าที่ คนตาบอดเพราะความรัก เรียกได้ว่านี่จะเป็นงานหนังตลกปนโรแมนติกเรื่องแรกในพอร์ตโฟลิโองานกำกับของเขา

พอดูหนังจบ แล้วก็คงไม่ผิดอะไรถ้า เราจะบอกว่าหนังเรื่อง ‘ทิดน้อย’ ดูจะเป็นการต่อยอด จากละครสามช่า ไม่ต่างจากงานชิ้นก่อน ๆ ทั้งการนำตำนานที่คนรู้จักอยู่ แล้วมาผูกเรื่องเข้าไปแบบหลวม ๆ และมีซีนทีเล่นทีจริงที่หลายคนคิดถึงจากรายการชิงร้อยชิงล้าน พอคนดูไม่จำเป็นต้องสนใจ เรื่องราวอะไรมากนักก็เป็นโอกาสของพี่เท่งเขาล่ะ

รีวิว ทิดน้อย มุกตลกต่างๆในเรื่อง

ที่นักแสดงจะใส่มุกขำขัน เฮฮากันตลอดเวลา ซึ่งพี่เท่งก็ได้เชิญนักแสดงตลกเก๋าๆ ที่เป็นพันธมิตรกันทั้งรุ่นเก๋าอย่างพี่โหน่ง หรือ น้าถั่วแระ เชิญยิ้ม ไปจนถึงรุ่นใหม่อย่าง แจ๊ค แฟนฉัน และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่มาสร้างสีสันให้หนังได้เป็นอย่างดี

มันไม่ได้มีแค่มุก ที่เล่นอะไรก็ดูผิดจังหวะ ไปหลายต่อหลายอย่างเลยแหละนะ แม้แต่ไอเดียที่เป็นจุดขาย อย่างการเอาทิดน้อย มาเป็นตัวละครศูนย์กลาง ในการเล่าเรื่องก็กลับเล่าได้สะเปะสะปะ เหมือนไม่รู้ว่าจะวางมันไว้ตรงไหน จะให้คนดูลุ้นว่าทิดน้อยจะเอาชนะใจนาคยังไง ก็ดันให้คาแรกเตอร์ทิดน้อย ดูไม่ค่อยฉลาด เข้าข้างตัวเอง และแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาเรื่อย ๆ หรือจะให้คนดูซาบซึ้ง กับความเสียสละของทิดน้อย และทำให้เห็นความรักที่มั่นคงของเขา หนังก็กลับไม่ได้ให้น้ำหนัก กับเรื่องราวในส่วนนี้มากพอเสียด้วย

และสิ่งที่เป็นประเด็นหลักๆเลยของหนัง ‘ทิดน้อย’ นั่นก็คือการพี่เท่งยังยึดติดแบบเดิมๆ รสนิยมการดูหนังของตนเอง จนทำให้จังหวะ จะโคนการเล่าเรื่องของมันดูเชื่องช้า ย่ำกับที่ และไม่ตอบโจทย์ ในการพาผู้ชมยุคใหม่เข้าโรงไปฮา กับหนังสักเท่าไหร่ และที่ถือว่าไม่สนใจความเปลี่ยนแปลง ของสังคมเลย ก็คือบทเดือนของ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ที่ยังคงเป็นมุมมองผู้ชาย ในยุคเบบี้บูมที่เห็นกะเทยเป็นสิ่งแปลกปลอม และหมั่นลวนลามผู้ชายจนดูน่ากลัว

ถ้าจะให้พูดแบบจริงๆตรงๆเลยก็คือ การเอาหนังทั้งเรื่องความยาว 105 นาที ที่เล่าเรื่องยืดยาว และมุกตลกไม่ทำงานกับคนดู ไปเทียบกับคลิปตลก ๆ ที่มีความยาวเพียงไม่กี่วินาที ก็คงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่าระหว่างการเสียเงินซื้อบัตรชมภาพยนตร์ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง กับการเปิดคลิปตลกในแอปต่าง ๆ แถมดูได้ทุกที่ ผู้ชมที่ต้องการความบันเทิง แบบทันทีจะเลือกแบบไหน

รีวิว ทิดน้อย ยังตลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโรแมนติก

ที่เป็นจุดขายของหนังจริง ๆ คือการเอา อนันดา เอเวอริงแฮม  ที่ไม่เคยได้แสดงในหนังตลกแนว ๆ นี้มาประกบคู่กับ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ นางเอกซุปตาร์ที่ร้างจอไปนานกลับมารับบท แม่นาค ในครั้งนี้ได้

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง ทิดน้อย

  • ประเภท: คอมเมดี้ / ดราม่า
  • ผู้กำกับ: เท่ง เถิดเทิง
  • นำแสดงโดย: อั้ม พัชราภา, เท่ง เถิดเทิง, อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม
  • ความยาว: 87 นาที
  • กำหนดฉายในไทย: 25 มกราคม 2023 (ในโรงภาพยนตร์)

Movie.TrueID METRIC: ทิดน้อย

  • ภาพรวม
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
  • การเล่าเรื่อง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
  • การแสดง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
  • เทคนิคงานสร้าง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
  • บทภาพยนตร์
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)