Tag Archives: ดูหนังออนไลน์

รีวิว มึงกู…เพื่อนกันจนวันตาย

รีวิว มึงกู...เพื่อนกันจนวันตาย

รีวิว มึงกู…เพื่อนกันจนวันตาย

สปอยหนัง เป็น ภาพยนตร์ไทยอีกเรื่องหนึ่ง ที่เลื่อนกำหนดฉายหนี “น้ำท่วมกรุงเทพ” ตามกำหนดเดิมจะฉายในราวๆ เดือน ธันวาคมของปีที่แล้ว รีวิวหนัง มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย เลือนมาลงโปรแกรมต้อนรับปีใหม่ ปีมังกรนี้แทน กับภาพยตร์เรื่อง “มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย”
รีวิว มึงกู...เพื่อนกันจนวันตาย
หนังไทยnetflix “มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย” เป็นอีกหนึ่งผลงานของค่าย “พระนครฟิลม์” ผมต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า มาช่วงหลังๆนี้ ผมไม่ค่อยได้หยิบยกหนังของค่าย พระนครฟิลม์ มาแนะนำให้แฟนๆ ชาวสนุก รู้จักกันเท่าไหร่นัก แต่ผมยังจำได้ว่า เมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นหนังไทยยังเฟื่องฟูกว่าสมัยนี้ ค่ายพระนครฟิลม์ เป็นอีกหนึ่งค่ายหนังที่ผลิตภาพยนตร์ออกสู่สายตานักชมภาพยนตร์เยอะที่สุด เรียกว่าตลอดทั้งปีเราจะได้ดูหนังของค่ายนี้แทบทุกเดือน ด้วยศักยภาพของทีมทำงานของค่ายนี้ ผมว่าสามารถสู้ค่ายอื่นๆ ได้สบายมาก ภาพสวย การถ่ายทำดี นักแสดงดี เสื้อผ้าหน้าผม ของนักแสดงก็ดี แต่หนังของค่ายนี้เกือบ 80% ที่ผมเห็นว่าไปไม่ถึงฝั่งฝัน มีหนังที่ประสบผลสำเร็จจริงๆ เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น นอกนั้นแป้กหมด
รีวิว มึงกู...เพื่อนกันจนวันตาย
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ผมมาวิเคราะห์ดู ก็เห็นจะเป็นเรื่องของ “บท” หนังของค่ายนี้ จะดำเนินเรื่องมาดีน่าติดตามมาโดยตลอด แต่พอมาถึงตอนจบ หลายคนร้องออกมาว่า “อะไรวะ” เรียกว่าจบไม่ดี จบไม่สวย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ตกม้าตายตอนจบ” รีวิวหนังไทย แทบทุกครั้งไป จนทำให้หนังของค่ายนี้หดหายไปเรื่อยๆ ออกฉายในจำนวนน้อยลง เอาชนิดที่ว่า ออกฉายแล้วไม่ขาดทุน เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว มึงกู…เพื่อนกันจนวันตาย

รีวิว มึงกู...เพื่อนกันจนวันตาย

และ “มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย” จะมาเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่ง ของค่ายนี้ ที่จะมาทดสอบว่า หนังของค่ายนี้ ควรจะอยู่หรือจะไปได้แล้ว
สำหรับผู้กำกับที่เข้ามากุมบังเหียนเรื่องนี้ให้ก็คือคุณ อัศจรรย์ สัตโกวิท ดูจากชื่อแล้วก็ไม่ใช่ผู้กำกับหน้าใหม่เสียทีเดียว เพราะก่อนหน้านั้นคุณอัจรรย์ เคยกำกับภาพยนตร์เรื่อง Soul’s Code ถอดรหัสวิญญาณ และอีกเรื่องคือ กขค โรงเรียนนอก ก่อนที่จะมากำกับเรื่อง “มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย”
หนังเป็นเรื่องราวช่วงชีวิตวัยรุ่นที่เกิดขึ้นระหว่าง ‘กัน’ กับ ‘สอง’ เด็กหนุ่มสองคนที่มีบุคลิกลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ‘กัน’ เด็กหนุ่มที่ถูกมองจากคนรอบข้างว่าเป็น ‘เด็กเกเร’ เนื่องจากเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนที่ชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท แต่สาวๆ ต่างพากันกรี๊ดในความหล่อ เท่ และฐานะที่ร่ำรวย
‘กัน’ เป็นลูกคนเดียวของเจ้าของโรงแรมระดับห้าดาว การที่พ่อแม่ใช้เงินเลี้ยงดูมากกว่าความรักความใส่ใจ ทำให้กันเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว เขาจึงพยายามไขว่คว้าความรักความอบอุ่นจากเพื่อน เขาให้ความสำคัญกับความรักระหว่างเพื่อนมากกว่าความรักแบบหนุ่มสาวซึ่งต่าง จากวัยรุ่นทั่วๆ ไป ถึงแม้จะมี ‘แอล’ สาวสวยมาคอยตามสนใจก็ตาม
‘สอง’ ดูหนังฟรี เด็กหนุ่มที่ถูกแม่เลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด เขาไม่เคยได้คิดตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง การขาดอิสระทำให้เขากลายเป็นเด็กเก็บตัว แม้ว่าเขาจะอึดอัดมากแต่ไม่มีทางออก จนกระทั่งแม่แต่งงานใหม่เขาจึงใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างในการขอย้ายไปเรียนต่อ กับพี่สาวที่เชียงใหม่ เพราะไม่ต้องการอยู่กับพ่อเลี้ยง
วันแรกของการเปิดเรียน สองได้รู้จักกับ ‘เนม’ เพื่อนร่วมห้อง สิ่งแรกที่เนมเตือนสองก็คือให้ระวังตัวและอย่าเข้าใกล้กัน เพราะกันเป็นตัวแสบของกลุ่มวัยรุ่นระดับจังหวัด
เว็บดูหนังฟรี เนม แนะนำให้สองรู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่อย่าง ‘ดิว’ ซึ่งเรียนอยู่วิทยาลัยเดียวกัน สองชอบดิวตั้งแต่แรกเห็น ดิวเองก็สนใจสองไม่น้อยเหมือนกัน แต่ความรักระหว่างสองกับดิวกลับถูกกลุ่มนักเรียนรุ่นพี่ขัดขวาง สองถูกดักทำร้าย ความกลัวทำให้สองยอมถอยห่างและหลบหน้าดิว
กันแอบเห็นเรื่องราวที่สองถูกรังแก จึงตัดสินใจชวนสองเข้าแก๊งค์ Sperm ซึ่งมี ก้า, ต๊อด,แนิค, แชมป์, อาร์ม, เบียร์ เป็นสมาชิกร่วมแก๊งค์
วิถี ชีวิตของสองเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อได้เข้าร่วมแก๊งค์ของกัน สองได้เรียนรู้ชีวิตด้านมืดของวัยรุ่นที่นิยมยกพวกตีกัน การลองผิดลองถูก ความหมายของคำว่าเพื่อน และข้อแตกต่างระหว่างคำว่าอันธพาลกับลูกผู้ชาย
มิตรภาพ ระหว่างเพื่อนกับเพื่อนและเรื่องราวการต่อสู้แบบลูกผู้ชายจะสามารถทำให้ กัน,เว็บดูหนัง
สอง และเพื่อนๆ ก้าวผ่านวัยแห่งความรุนแรงนี้ไปได้หรือไม่อย่างไรนี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริง ของวัยเดือด วัยที่คำว่าเพื่อนสำคัญที่สุด
ก่อนที่ผมจะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อย่างที่ไม่ได้หวังอะไรมากนัก เพราะรู้ๆกันอยู่ว่า หนังของค่ายนี้แป้กมาหลายเรื่องแล้ว แต่พอดูไปดูมา ผมว่านี่อาจเป็นหนังเรื่องแรกของค่ายนี้ที่มีการวางโครงเรื่องได้ดีมาก ดีกว่าทุกๆเรื่องที่เคยผ่านมาของค่ายนี้ ความสนุกและความตื่นเต้น ถ้าเทียบเรื่องนี้ ก็เป็นน้องๆ 2499 อันธพาลครองเมือง แต่ยังมีกลิ่นอายเรื่อง “เด็กเสเพล” และเรื่อง เรียกเขาว่า อีกา(หนังญี่ปุ่น) ปนอยู่บ้าง ตัวหนังตีแผ่ชีวิตของเด็กวัยรุ่นชายได้ดี เพราะเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ไม่จีบหญิง เล่นกีฬาหรือดนตรี ก็จะเป็นพวกเกเร ชกต่อยกันไปเลย
สำหรับเรื่องนี้ผมขอปรบมือให้กับน้อง มาริโอ้ จากที่เคยเฝ้าสังเกตการแสดงของน้องมาหลายเรื่องแล้ว ตั้งแต่ รักแห่งสยาม เรื่องแรกที่เล่น มาถึงเรื่องนี้ โอ้สามารถพัฒนาการเล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากจะบอกน้องดังๆ ว่า น้องเล่นไม่แข็งเป็นท่อนไม้อีกแล้ว สอบผ่าน
ไม่มีพล็อตเรื่องไม่มีคติสอนใจ มีแต่ตัวละครเล่นกัน สู้กัน ดูหนัง เพื่อแย่งความเป็นจ่าฝูงหรือประกาศอาณาเขต หลายครั้งผู้เขียนต้องถามตัวเองว่ามาดูหนังวัยรุ่นแอคชั่นดราม่า “มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย” หรือมาเข้าเรียนวิชามนุษยวิทยาอีกครั้งหนึ่ง
“มึงกู เพื่อนกันจนวันตาย” หนังแอคชั่นดราม่าที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของผู้กำกับ บอม – อัศจรรย์ สัตโกวิท เป็นเรื่องเกี่ยวกับ สอง (เมาส์ – ณัชชา จันธพันธ์) น้องใหม่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่เข้าร่วมแก๊งค์วัยรุ่นเกเรที่มี กัน (มาริโอ้ เมาเร้อ) เป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่เหตุการณ์พาไปมีเรื่องกับอีกแก๊งค์หนึ่ง จึงต้องพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายและมิตรภาพความเป็นเพื่อน หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว

บทภาพยนตร์จะแน่นมากขึ้นถ้าทั้งเรื่องเน้นไปที่ สอง เพราะเขามีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด จากเด็กที่ไม่มีเพื่อน อยู่ในเมืองที่ไม่รู้จัก และไม่กล้ามีเรื่องกับใครแม้เพื่อปกป้องตัวเอง จนได้มีกลุ่มเพื่อนสนิทเป็นโหล รักเพื่อน และสามารถปกป้องเพื่อนได้ แต่ด้วยบทที่ต้องเจียดเวลาให้ กัน ในเรื่องของความรักกับ เนม (โม – มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ) ความคลั่งไคล้ของ แอล (อาย – กมลเนตร เรืองศรี) พ่อแม่ที่ไม่มีเวลาให้ และความเข้าใจผิดเรื่องหนึ่ง จึงทำให้สองมีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่สมบูรณ์และไม่น่าเชื่อถือ (จากที่เป็นเด็กแหยๆ ทำไมถึงกล้าต่อยคนอื่น) และปัญหาของ กัน ถูกแก้ไขเร็วเกินไป (เนมเข้าใจ กัน จากคำพูดคำเดียวของแม่)
และส่วนใหญ่ของบทก็ทุ่มให้ฉากสังสรรค์ (เที่ยวผับ เตะบอล ดื่มเหล้า) และฉากต่อยกัน ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อว่าเด็กผู้ชายก็ต้องมีเรื่องชกต่อยบ้างเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่เห็นคือความไม่สมเหตุสมผล สองถูกอีกแก๊งค์หนึ่งขู่ให้เลิกกับแฟนสาว ดิว (เบลล่า – ราณี แคมเปญ) แต่เด็กแก๊งค์นั้นกลับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ดิว เลย กันและเพื่อนยกพวกตีกับอีกกลุ่มเรื่องแย่งสาว แย่งบุหรี่ หรือเพราะแค่เกลียดขี้หน้า และทั้งหมดนี้ได้ขัดกับสิ่งที่ กัน บอกกับ สอง ว่า เขาและเพื่อนไม่ได้เป็นอันธพาลยกพวกตีกัน แต่แค่สู้กันเพื่อรู้แพ้รู้ชนะ และที่เลวร้ายที่สุดแน่จะเป็นตอนจบที่ยาวเกินไป และหักมุมแบบไม่จำเป็น
นอกจากบทที่ไม่แน่นแล้ว หลายฉากยังสะดุดทางด้านอารมณ์มาก ฉากที่ กัน พา เนม หนีอีกแก๊งค์หนึ่งก็ตัดเข้าเป็นมิวสิควิดีโอเพลงรักโรแมนติกอย่างไม่ได้ทันตั้งตัว หรือฉากที่ขึ้นรถหนีหลังจากยกพวกตีกันก็มีมุขตลกโผล่มา
นักแสดงเกือบทั้งหมดยังไม่สามารถสื่อความเป็นเพื่อนได้ แม้พวกเขาอาจจะโอบใหล่กัน แต่ด้วยลักษณะท่าทาง คำพูด และความห่างของร่างกาย รีวิวหนัง ผู้เขียนยังไม่รู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนสนิท บทของมาริโอ้นั้นไม่ต่างจาก พี่โชน “ในสิ่งเล็กๆ” เท่าไหร่ก็เลยไม่มีความถ้าทายมาก ส่วน เมาส์ พระเอกอีกคนหนึ่ง ยังคงใช้สีหน้าเดียวกันไม่ว่าจะกลัว โกรธ หรือตกใจ
ในช่วงชีวิตวัยรุ่นชาย ที่มีเกเรบ้าง ลองผิดลองถูกบ้าง โดนแฟนสาวทิ้งบ้าง เพื่อน มักอยู่ข้างๆเรา ช่วยให้เราผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้ ดังนั้น คำว่า “เพื่อน” จะมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากในชีวิตวัยรุ่นชาย นี่คือสิ่งที่ “มึงกูฯ” อยากจะสื่อแต่ไม่สามารถสื่อออกมาได้ ด้วยพล็อตเรื่องที่ดำเนินอย่างไร้เป้าหมาย อารมณ์ที่ไม่ต่อเนื่อง บทสรุปตอนท้ายที่ยืดเยื้อเกินไป และการแสดงที่ติดขัด สิ่งที่เรากลับเห็น คือชีวิตของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่รักสนุก รักที่จะอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม และรักที่จะสู้กลับกลุ่มอื่นเพื่อพิสูจน์ความเป็นใหญ่ เหมือนกับฝูงหมาป่า ลิง หรืออะไรสักอย่างหนึ่ง แค่นั้น ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิวหนัง นาคี 2

รีวิวหนัง นาคี 2

รีวิวหนัง นาคี 2

 

สปอยหนัง เรื่องราวของ “สร้อย” (อุรัสยา เสปอร์บันด์) สาวดอนไม้ป่า ผู้เติบโตมาพร้อมกับความเชื่อ และ ศรัทธาต่อเจ้าแม่นาคี อันลึกลับ เธอช่วยยายขายดอกไม้ถวายเจ้าแม่ และคอยดูแลเทวาลัยแห่งนี้ สร้อยจึงมีความผูกพันกับเจ้าแม่นาคีเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ “ร.ต.อ.ป้องปราบ” (ณเดชน์ คูกิมิยะ) ถูกย้ายมาประจำที่ สภ.ดอนไม้ป่า ก็เกิดคดีสะเทือนขวัญขึ้นอย่างมากมาย โดยหลายคดีเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และมีเงื่อนงำที่คลี่คลายไม่ได้ โดยชาวบ้านต่างปักใจว่าเป็นฝีมือของ

 

รีวิวหนัง นาคี 2

 

เจ้าแม่นาคี ที่กำลังออกอาละวาดอีกครั้งและเหตุการณ์ยิ่งพาให้ชาวบ้านต่างแน่ใจว่า สร้อย เป็นร่างประทับของเจ้าแม่นาคี แม้แต่ตัวสารวัตรป้องปราบเองซึ่งไม่เคยเชื่อในเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติ ยังลังเลต่อคำกล่าวหาที่สร้อยได้รับ จนทำให้เขาต้องค้นหาความจริงเบื้องหลังคดีลึกลับในดอนไม้ป่าแห่งนี้ เตรียมเผชิญหน้ากับสิ่งที่ศรัทธา สิ่งที่ไม่เห็น หนังไทยย้อนยุค

 

ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง ‘นาคี ๒’ ผลงานการกำกับหนังใหญ่อีกครั้ง ของ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง หลังจากเว้นมือนับจาก ชิงหมาเถิด (2553) หนังเสียดสีสังคมและการเมืองไทย แล้วไปทำละครป้อนคนดูทางโทรทัศน์อยู่นาน  ซึ่งเราคงได้ข่าวกันว่าเพิ่งล้มป่วยกะทันหันจากการทำงาน แต่ตัวหนัง นาคี 2 นั้นโชคดีที่ได้กำกับจนจบก่อนแล้ว

 

หนังเรื่องนี้เป็นการสานต่อกระแสของละครฮิตเรื่อง นาคี ซึ่งป๋าอ๊อฟได้กำกับจนเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์เมื่อ 2 ปีก่อน (เช่นเดียวกับเพลงประกอบ คู่คอง ของ ก้อง ห้วยไร่ ที่ดังระเบิดไม่แพ้กัน)

 

รีวิวหนัง นาคี 2

 

โดยตอนเป็นละครนั้นได้ แต้ว ณฐพร และ เคน ภูภูมิ ประกบฉากกัน จากบทประพันธ์ของ ตรี อภิรุม นักเขียนนิยายที่มีชื่อเสียงทางสยองขวัญ ผลงานขึ้นชื่อก็มีคุ้นหูอย่าง แก้วขนเหล็ก นั่นเอง ซึ่งในภาค 2 นี้ก็ยังใช้บทประพันธ์ของ ตรี อภิรุม มา คิดโครงเรื่องสานต่อเป็นเรื่องราวอีกราว 20 ปีต่อมาจากละคร โดยพงษ์พัฒน์คิดเรื่อง แล้วได้ทีมเขียนบทที่นำโดย โขม ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับและมือเขียนบทแนวธริลเลอร์มือต้น ๆ ของไทยมาเขียน เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

รีวิวหนัง นาคี 2

รีวิวหนัง นาคี 2

ซึ่งทำให้พล็อตที่ดูเชยมาก ๆ อย่างตำรวจหนุ่มชาวกรุงเข้ามาช่วยเหลือสาวสวยบ้านป่า จากคดีเหนือธรรมชาติ ที่ชาวบ้านต่างใส่ร้ายว่าเธอคือต้นเหตุ แต่เพราะวิธีการเล่าแบบหนังสืบสวน ปนสยองขวัญ ก็ทำให้เรื่องดูสนุกน่าสนใจขึ้นมากทีเดียว ไม่ค่อยได้เห็นในหนังไทยบ่อยนัก ส่วนจุดพร่องของการเล่าเรื่องก็มีบ้างคือการตัดตอนรวบรัดแบบกะว่าคนดูละครไทยจะเข้าใจได้อยู่แล้ว เช่น ไม่มีฉากที่ทำให้คู่พระนางรักกัน แต่ตอนจบทั้งคู่ก็จะรักกันได้ เพราะเป็นละครไทย การอนุมานใช้ความเคยชินของคนดูละครไทยอะไรแบบนั้น ก็อาจมองเป็นจุดด้อยหนึ่งของหนังได้เช่นกัน เพราะหนังในเวลาที่เท่ากันอาจเลือกวางเรื่องและอารมณ์ให้ชัดกว่านี้

ทีมงานหนังยังได้มือรางวัลอีกหลายรายมาร่วมงาน ทั้ง สยมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพฝีมือโกอินเตอร์ที่ล่าสุดเพิ่งทำหนังชิงออสการ์อย่าง Call Me By Your Name มารับหน้าที่กำกับภาพด้วย ซึ่งงานภาพของเรื่องนี้หลายซีนดูโดดเด่น ทั้งการใช้แสงลงในฉาก และการใช้สีตัดได้อย่างน่าสนใจ ดีเกินหน้าหนังทั่วไปอยู่หลายฉากเลย และด้านการตัดต่อก็ยังได้ ลี ชาตะเมธีกุล มือต้น ๆ ของไทยที่นาน ๆ จะรับงานตัดต่อหนังใหญ่มาตัดต่ออีกด้วย

ฝ่ายศิลป์ของหนังเองก็นับว่าเนี้ยบมาก ฉากโรงพักโดนถล่มนี่คือมาสเตอร์พีซเลย ต้องบอกว่าเป็นการรวมทีมผู้สร้างที่ไม่ธรรมดา จนได้งานที่ยกระดับโปรดักชั่นจากละครขึ้นมาสมศักดิ์ศรีภาพยนตร์จอเงิน ใครดูตัวอย่างจากทีวีจากจอคอมแล้วร้องอี๋ บอกเลยว่าของจริงในโรงดูดีไม่น้อยหน้าหนังสัตว์ประหลาดของเมืองนอกเลยล่ะ ถ้านับแค่ว่ามันเป็นหนังสืบสวนสยองขวัญ สัตว์ประหลาดยักษ์ นี่น่าจะเป็นหนังไทยเบอร์ต้นในแนวทางนี้เลย ยังนึกเรื่องอื่นที่ดีเทียบเท่าไม่ค่อยออก

 

 

และในครั้งนี้ก็ได้นำคู่ขวัญละครไทยอย่าง ญาญ่า อุรัสยา และ ณเดชน์ คูกิมิยะ ที่ต่างก็ลองผ่านงานจอเงินมาแล้วทั้งคู่ อย่าง ญาญ่า ก็เพิ่งมี น้อง.พี่.ที่รัก ส่วนณเดชน์ ก็ยังจำฝีไม้ลายมือจาก คู่กรรม  ได้ดี และในเรื่องนี้ยังมารับบทนำร่วมกันประกบกับคู่ขวัญเดิมอย่างแต้วและเคนอีก อย่างที่บอกว่าบทรักของหนังไม่ค่อยเด่นนัก แต่ด้วยความหวานนอกจอของญาญ่า-ฌเดชน์ ก็มากพอให้เรารู้สึกว่าตัวละครมันรักกันได้ล่ะ ก็นักแสดงเขารักกันนี่นา

หนังยังใช้เสน่ห์กลิ่นอายแบบอีสานทั้งฉากหลัง หมู่บ้าน ความเชื่อ ภาษาถิ่น ได้อย่างดีและมีเอกลักษณ์ คนอีสานน่าจะชอบอกชอบใจ ส่วนคนภาคอื่นก็ฟังเพลินสำเนียงสวย และก็รู้เรื่องเพราะหนังมีซับแปลให้อ่านเรียบร้อย สบายใจ ส่วนตัวคือชอบนะครับ ภาษาทางอีสานมันมีความสวยของมันอยู่ แล้วยังทำให้บริบทหนังมันดูสมจริงสมบูรณ์ขึ้นด้วย ที่สำคัญยังทำให้การเล่นบทตลกของ อี๊ด โปงลางฯ กับ ปอยฝ้าย มาลัยพร ในบทคู่หูตำรวจเสียงอีสานดูตลกขึ้นจมด้วย ทำให้ช่วงต้นของหนังดูสนุกขึ้นด้วย

จุดอ่อนของหนังไทยอย่างเรื่องของซีจีต่าง ๆ ต้องยอมใจผู้สร้างที่แม้ทุนมากขึ้น โดยมีให้กับการทำซีจีนับ 20 ล้านบาท และมีตัวเลือกจะใช้บริษัทต่างชาติที่ผ่านงานระดับโลกมาทำก็ตาม แต่ป๋าอ๊อฟแกหัวชนฝาให้เป็นหนังเมดอินไทยแลนด์ จึงใช้บริการ Fatcat บริษัทที่ทำกราฟฟิกให้ในละคร นาคี มาสานต่องานเดิม ด้วยความละเอียดและทุนที่มากขึ้น เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเหมือนกันเพราะ หนังทำออกมาได้ใกล้เคียงงานสากลแบบไม่อายเลย มีที่หลุด ๆ อยู่บ้างก็เรียกว่าน้อยจนให้อภัยได้

นอกจากดนตรีประกอบที่ผสมความทันสมัยกับสำเนียงเพลงอีสานหวนไห้ได้อย่างน่าสนใจแล้ว เพลงประกอบหนังอย่าง สายแนนหัวใจ ของ ก้อง ห้วยไร่ เจ้าเก่าเองก็น่าจะติดหูและเป็นที่นิยมได้ไม่ยากเช่นกัน นี่พอหนังจบไม่อยากลุกเลย ฟังเพลงไปอินดีมาก

 

 

หลังจากที่ได้กระแสตอบรับที่ดีจากการออกอากาศในช่อง 3 เมื่อปี 59 ล่าสุด ละคร “นาคี” ก็ได้เพิ่มภาคต่อเป็นภาพยนตร์ “นาคี ๒” จากฝีมือของผู้กำกับเดิม อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง และได้นักแสดงนำคู่เดิม คือ แต้ว ณฐพร, เคน ภูภูมิ ตบเท้าร่วมกับ ญาญ่า อุรัสยา และณเดชน์ คูกิมิยะ รับบทนำคู่กันในภาคนี้ หนังฟรี หนังใหม่

 

หนัง นาคี 2

เรื่องราวในภาคนี้เกิดขึ้นต่อจากภาคแรก เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น 60 ปี คือปี 60 โดยถ่ายทอดผ่าน 2 ตัวละครหลัก ได้แก่ สร้อย (รับบทโดย ญาญ่า) เด็กสาวขายดอกไม้ที่เติบโตมากับตำนานเจ้าแม่นาคี และสารวัตรป้องปราบ (ณเดชน์) ตำรวจที่ถูกย้ายมาประจำในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความเชื่อ โดยดำเนินเรื่องแบบยึดเค้าโครงเดิมคือ ความเชื่อเรื่องพญานาค หรือ “เจ้าแม่นาคี” ในภาคอีสานเป็นหลัก

 

 

เริ่มต้นที่นักแสดงนำอย่าง ณเดชน์ และญาญ่า ด้วยความที่ทั้งคู่ผ่านงานแสดงบนจอภาพยนตร์มาแล้วทั้งคู่ รวมทั้งผลงานบนจอแก้วอีกนับไม่ถ้วน นั่นทำให้เรื่องแอคติ้งไม่ต้องมีอะไรน่าเป็นห่วง ทั้ง 2 คนสามารถถ่ายทอดซีนอารมณ์ออกมาได้สมฝีมือ และโดยเฉพาะกับญาญ่า ที่ในหนังเรื่องนี้ได้เผยมุมที่คนดูอาจไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยการพูดภาษาอีสานตลอดทั้งเรื่อง ส่วนคำแก้ว และทศพลจากภาคที่แล้ว แม้ว่าจะมีฉากออกมาให้เห็นไม่มากอย่างที่เราคิด แต่เรื่องการแสดงก็ทำได้ดีแบบไม่น่าผิดหวัง

สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในหนังเรื่องนี้เลยก็คือ CG ที่อลังการและสมจริงมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับละคร หลายๆ คนอาจจะเคยได้เห็นกันไปแล้วในภาคแรก รวมถึงในตัวอย่างหนัง แต่เมื่อไปอยู่บนจอยักษ์แล้ว ก็ทำให้ได้อรรถรสและความสมจริงมากขึ้นอีก ซึ่ง CG อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้

 

 

แม้ว่าจะในภาคที่แล้วจะชูเรื่องราวความรักมาควบคู่กับความเชื่อ แต่ในภาคนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับนางเอก ไม่ได้ถูกสะท้อนออกมาให้เห็นมากนัก บวกกับการดำเนินเรื่องแบบเรื่อยๆ จึงอาจทำให้ดูแล้วเบื่ออยู่บ้าง แต่ก็ได้ 2 นักแสดงสมทบอย่าง อี๊ด โปงลางสะออน และปอยฝ้าย มาลัยพร ซึ่งรับบทจ่าและดาบตำรวจ มาสร้างเสียงหัวเราะให้คนดูได้อยู่เป็นระยะๆ

อย่างที่ได้เล่าไปแล้วในตอนต้น ด้วยความที่เนื้อหาหนังเน้นเรื่องของความเชื่อ และประเพณีเป็นหลัก บวกกับการเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ และคลายปมอย่างรวดเร็วในตอนท้าย ทำให้ “นาคี ๒” อาจเป็นหนังที่ไม่ได้ตรงใจคนที่ไม่อินเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือผีสางมากนัก  แต่สำหรับแฟนละครที่เคยอินกับภาคแรกมาแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ และความอลังการบนจอยักษ์ของหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่คุณรอคอย โดยนาคี ๒ จะเข้าฉายในวันที่ 18 ต.ค. ทุกโรงภาพยนตร์ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว เทอมสอง สยองขวัญ

รีวิว เทอมสอง สยองขวัญ

รีวิว เทอมสอง สยองขวัญ

รีวิวหนังไทย เทอมสองสยองขวัญ หนังสยองขวัญสุดหลอน ซึ่งสามารถ ทำจิต คุณตก เรื่องใหม่ที่เล่าขานถึงตำนานความสยองในรั้วมหา’ลัย โดยถูกแบ่งออกเป็น 3 ตอน หลากอารมณ์จาก 3 ผู้กำกับที่เริ่มต้นด้วย คุณพลอย ภัทรภร จะกำกับในเรื่องของ “เชียร์ปีสุดท้าย” ที่ออกแนวดราม่า ต่อด้วยคุณก๋วยเตี๋ยว จตุพงศ์ ที่รับหน้าที่กำกับในเรื่องของ “เดอะซี” ที่จะออกแล้ว แอ็คชั่น ผสมกับความระทึกขวัญ และปิดท้ายด้วยคุณต้น เอกภณ ในเรื่องของ “ตึกวิทย์เก่า” ที่จะเป็นแนวคอเมดี้

รีวิวหนังใหม่ เทอมสอง สยองขวัญ

ค่ายสหมงคลฟิล์มอาจจะไม่ใช่ค่ายเบอร์หนึ่งหนังไทยในยุคนี้ ยิ่งการประกาศโปรเจกต์หนังไทยในปีนี้ที่จำนวนและความใหญ่ของตัวหนังนั้นแผ่วลงจากยุครุ่งเรืองอย่างมาก แต่ศักยภาพความแข็งแกร่งที่เป็นพี่ใหญ่ของอุตสาหกรรมในอดีตก็ยังคงเป็นดีเอ็นเอที่เห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะการให้โอกาสคลื่นลูกใหม่จากหลากหลายสถาบันการศึกษาที่มีแววได้เข้าสู่การทำหนังโรงและมีทีมที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์คอยฟูมฟักอีกที

เริ่มด้วยเมื่อเฟรชชีของคณะฯ ต้องเข้าร่วมกิจกรรมเชียร์เหมือนเช่นทุกๆ ปี แต่แล้ว “เมษา” นักศึกษาปีหนึ่งกลับได้ยินและเห็น “บางอย่าง” ในห้องเชียร์โดยไม่คาดฝัน นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของเธอและ “ต่าย” เพื่อนสนิทต้องเปลี่ยนไป และห้องเชียร์รุ่นนี้อาจจะกลายเป็นรุ่นสุดท้ายของมหา’ลัย! “เทอมสอง สยองขวัญ: เชียร์ปีสุดท้าย” นำแสดงโดย “มิวสิค BNK48-แพรวา สุธรรมพงษ์” และ “แคร์-ปาณิสรา ริกุลสุรกาน”

“เตียงซี ที่ใครก็สงสัยว่า เตียงใคร” เรื่องเล่าในวันสถาปนาฯ “ผีนักศึกษาแพทย์” จะกลับมานอนที่ “เตียงซี” ของเขาทุกปี แต่ปีนี้ “แทน” นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งจำเป็นต้องอยู่หอเพียงคนเดียวในคืนนั้น เขาจะเอาชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากับเจ้าของเตียงซีในตำนานได้หรือไม่ “เทอมสอง สยองขวัญ: เดอะซี” นำแสดงโดย “เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ” และ “นาน่า-ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์”

และสุดท้ายกับ “ชุดครุย ที่ใครก็สงสัยว่า ชุดใคร”ใครๆ ก็ไม่กล้าย่างกรายไปที่ “ตึกวิทย์เก่า” ที่มีตำนานสยองขวัญเป็นที่เลื่องลือ แต่ไม่ใช่เขาคนนี้ “กอล์ฟ” น้องชายสุดบื้อที่ดันเอาของมาส่งให้ “มีน” พี่สาว ผิดตึก! เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน และอาจนำพาสองพี่น้องและผองเพื่อนสู่ขิตไปตลอดกาล “เทอมสอง สยองขวัญ: ตึกวิทย์เก่า” นำแสดงโดย “กิต Three Man Down-กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์” และ เบลล์-“เขมิศรา พลเดช”

รีวิวหนังใหม่ เทอมสอง สยองขวัญ

‘เทอมสอง สยองขวัญ’ เป็นหนังสั้นความยาวประมาณ 45 นาทีจำนวน 3 เรื่องที่เรียงร้อยกัน โดยแต่ละเรื่องก็ได้ผู้กำกับ ทีมโปรดักชัน และทีมนักแสดงที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดจะทำงานผ่านผู้วางโครงเรื่องเดียวกันคือ Hidden Agenda ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นนามแฝงของบุคคลหรือของทีม ซึ่งแต่ละเรื่องก็ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกันในทางใดทางหนึ่งทั้งตัวละคร สถานที่ หรือกิมมิกที่ใช้ เหมือนว่าหนังมีจุดร่วมแค่ว่าเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น และตัวหนังก็ไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนว่าทำไมต้องเป็น เทอมสอง ที่ทำให้ชื่อหนังมันมีสัมผัสจำง่าย เพราะเทอมที่ 2 แทบไม่ได้ถูกใช้ในเรื่องราวเลย แถมไม่ได้สื่อถึงการมี 3 เรื่องสั้นด้วย (หรืออาจมีคำตอบอยู่ในการให้สัมภาษณ์ของทีมสร้างก็ต้องขออภัยที่ไม่ทราบ) เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว เทอมสอง สยองขวัญ

เทอมสองสยองขวัญ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าไม่ได้ดูหนังผีไทยที่น่ากลัวแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกประทับใจมากและก็ดูเพลินมากๆอีกด้วย นอกจากเป็นหนังที่ดูเพลินแล้วต้องบอกเลยว่าครบรสอีกด้วยครับ เพราะด้วยความที่หนังเรื่องนี้นั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 ตอน ที่เป็นคนละอารมณ์กันเลยมันเลยทำให้คนดูอย่างเรามีสมาธิในการดูมากเลยครับ ซึ่งแอดขอแบ่งเป็นเรื่องๆไปนะครับ

มาเริ่มกันที่เรื่องที่ 1 “เชียร์ปีสุดท้าย” ในเรื่องนี้จะเป็นออกแนวดราม่าจ๋าๆเลยที่ดูแล้วซึ้งแถมน่ากลัวสุดๆ เพราะด้วยบรรยากาศต่างๆ ที่ชวนขนหัวลุก พร้อมด้วยที่แอดเคยผ่านจุดนี้มามันเลยทำให้หวนนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวแอดเองนั้นเข้ามหาลัยในปีแรกที่ต้องอยู่เชียร์จนดึกดื่นแล้วก็ไม่พ้นกับเรื่องราวของความสยองขวัญ บอกเลยน่ากลัวจริงครับเรื่องนี้ แถมมีทั้งฉากตุ้งแฉ ที่ทำให้คนดูต้องสะดุ้งกันเป็นแถวอีกด้วยครับ

ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กใหม่ 2 คนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ต่าย (แคร์ – ปาณิสรา ริกุลสุรกาน) เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่าย ขณะที่ เมษา (มิวสิค – แพรวา สุธรรมพงษ์) เป็นคนเงียบ ๆ เก็บตัวและชอบมีพฤติกรรมแปลก ๆ ยิ่งเมื่อการซ้อมเชียร์มาถึงเมษาก็ยิ่งทำตัวประหลาดจนเพื่อนรอบข้างหวาดกลัว ต่ายที่เป็นคนกลางต้องดูแลเพื่อนสนิทและรับมือกับสายตาหวาดระแวงของเพื่อนใหม่คนอื่น ๆ ไปด้วย นำมาสู่การตัดสินใจที่ยากลำบากของต่าย

ผู้กำกับสาวอย่าง พลอย-ภัทรภร วีระศักดิ์วงศ์ สามารถใช้ความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อนผู้หญิงที่แวดล้อมด้วยสถานการณ์ชวนอึดอัดกดดันจากทั้งคนทั้งผีได้อย่างน่าสนใจ เนื้อในที่เป็นหนังดราม่าความสัมพันธ์และช่วงวัยในการเปลี่ยนผ่านจากเพื่อนมัธยมสู่เพื่อนมหาวิทยาลัยก็เป็นฐานที่แข็งแรงของตอนนี้ ซึ่งตัวแคร์และมิวสิคก็มีเคมีที่เข้ากันได้ดีช่วยทำให้รู้สึกสมจริงขึ้นมาก

แต่จุดแข็งที่ต้องชื่นชมเป็นความโดดเด่นของหนังคือ จังหวะการเล่าและการสร้างบรรยากาศผ่านงานภาพ งานออกแบบศิลป์ และงานเสียงต่าง ๆ นั้นทำได้ดีทีเดียวมีทั้งความขลังแบบไทยและท่าทีการเล่าแบบสากลได้ลงตัว ต้องบอกว่าผู้สร้างมีสัญชาตญาณในการเล่าเรื่องผีที่ดี ใส่ใจรายละเอียดได้ลงตัว เป็นการเปิดหัวหนังที่น่าตื่นตาเมื่อพิจารณาว่านี่คือหนังของคลื่นลูกใหม่

รีวิวหนังใหม่ เทอมสอง สยองขวัญ

ส่วนเรื่องที่ 2 อย่าง “เดอะซี” เรื่องนี้ส่วนตัวมองว่าไม่ค่อยน่ากลัวครับแต่ทำให้คนดูลุ้นจนตัวโก่งเลยทีเดียว ด้วยความที่ตัวนำของเรื่องอย่าง แทน ที่รับบทโดย เจมส์-ธีรดนย์ นั้นต้องหนีเอาตัวรอดจากผีรุ่นพี่สุดอาฆาต ส่วนเรื่องผีในเรื่องที่ 2 นี้ ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร ออกแนวเป็นซอมบี้สะมากกว่าครับ

ในคืนวันสถาปนาของมหาวิทยาลัยแพทย์มีเรื่องเล่าว่ารุ่นพี่ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อ 40 ปีก่อนจะกลับมายังเตียงที่เขาเคยอยู่ คืนวันสถาปนาจึงมักไม่มีใครอยู่หอพักเลยมาหลายปีแล้ว จนกระทั่งปีนี้ แทน (เจมส์ – ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ) เด็กแพทย์ปี 1 ซึ่งมีโรคประจำตัวตัดสินใจไม่กลับบ้านและอยู่หอเพียงลำพังเพื่อเตรียมสอบวันรุ่งขึ้น ทั้งที่แฟนสาว (นาน่า-ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์) ได้เตือนเอาไว้แล้ว

เป็นอีกเรื่องราวที่มักได้ฟังเกี่ยวกับผีในรั้วมหาวิทยาลัยในลักษณะการกลับมาเฉพาะวันพิเศษ แต่ผู้กำกับ ก๋วยเตี๋ยว-จตุพงศ์ รุ่งเรืองเดชาภัทร์ ก็ฉลาดในการใช้แนวทางหนังระทึกขวัญที่ตัวละครหลักต้องหนีสัตว์ประหลาดเพียงลำพังในพื้นที่ปิด มาปรับเข้ากับหนังผีไทยที่ปกติเป็นวิญญาณที่ผลุบโผล่ได้โดยไม่อิงสถานที่จึงไม่ค่อยเหมาะกับรูปแบบหนังหนีเอาตัวรอดแบบต้องแอบและเปลี่ยนที่ซ่อน แต่พอตีโจทย์ผีเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดหรือซอมบี้จึงทำให้หนังดูน่าสนใจไม่น้อย หนังฟรี หนังใหม่

 

เทอมสอง สยองขวัญ

จุดแข็งอีกอย่างของหนังที่ต้องชมคือการแสดงแบบทุ่มสุดตัวของเจมส์ที่แบกหนังเพียงลำพัง และอีกประการที่เป็นดาบสองคมคือการนำเทคนิคกระตุ้นประสาทผู้ชมด้วยแสงกระพริบที่ทำให้รู้สึกกดดันเหมือนตัวละคร แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ชมหนังไหลลื่นได้ลำบาก และแม้แสงกระพริบจะสนองต่อพลอตแต่พอมากไปก็ทำให้รู้สึกน่ารำคาญกับอาการไฟตกตลอดเรื่องจนดูไม่สมเหตุสมผลไปเสียแทนด้วย และตัวหนังก็หาทางลงได้อย่างไม่เหนือคาดนักอาจเป็นจุดอ่อนของพวกหนังพลอตหวือหวาที่ทางลงมักธรรมดาแบบเพลย์เซฟหรือไม่ก็เป๋เป็นหนังห่วยไปเลย ยังดีที่เรื่องนี้ยังเป็นแค่อย่างแรก

เรื่องสุดท้ายกับ “ตึกวิทย์เก่า” บอกเลยว่าอันนี้คือพีคที่สุดของหนังแล้วครับ ทำให้ความน่ากลัวของหนังเรื่องนี้หมดไปเลย เพราะเรื่องที่ 3 นี้ แม่งฉีกทุกกฏเกณฑ์ของหนังผีเลยครับ ที่ดูแล้วฮากระจาย แต่ก็ยังมีกลิ่นอายความหลอนนิดหน่อย ที่เกือบทำให้เราลืมไปเลยว่านี่มันหนังผีนะโว้ยย (5555)

มีน (เบลล์ – เขมิศรา พลเดช) นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ต้องทำงานดึกกับเพื่อน ๆ แต่ทว่าโน้ตบุ๊กที่ต้องใช้ทำงานของเธอถูกน้องชายไม่เอาไหนที่กำลังตามง้อแฟนสาวอย่าง กอล์ฟ (กิต – กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์) เอาไปใช้ เธอจึงโทรตามให้น้องชายเอามาคืนที่คณะ ขณะที่รอน้องชาย มีนจึงเล่าเรื่องผีที่ตึกเก่าของคณะหลายเรื่องให้เพื่อนฟัง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่กอล์ฟได้มาถึงและเข้าใจว่าตึกคณะเก่านั้นคือที่พี่สาวของเขาอยู่

ผู้กำกับ ต้น-เอกภณ เศรษฐสุข แสดงความชัดเจนว่าหนังจะเป็นซิตคอมที่เล่นกับสถานการณ์ที่ตัวละครกอล์ฟไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอผีอยู่ และพยายามยั่วล้อกับขนบการเจอผีหลอกต่าง ๆ รวมถึงข้อขัดแย้งของผีในคณะวิทยาศาสตร์ที่ไม่ควรเชื่อเรื่องงมงาย และมีกิมมิกในการเล่นกับผีที่ชัดเจนทั้งทางเดิน ชุดครุย และขวดยา เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยการเป็นหนังตลกที่ปิดท้ายเองก็ช่วยปรับอารมณ์ผู้ชมให้เบาสบายขึ้นเมื่อออกจากโรงด้วย

แต่น่าเสียดายพอสมควร แม้จะเป็นหนังที่ดูองค์ประกอบแข็งแรงในหลายจุด แต่การนำมาปรุงรวมกันยังไม่แม่นในเรื่องของจังหวะการเล่าการตัดต่อที่ดีพอ ถ้าแนะนำคงอยากให้ลองปรับจังหวะหนังให้แม่นขึ้นทั้งการหลอกและการขยี้มุก น่าสนใจว่าหนังใช้วิธีการตัดแบบพวกยูทูบเบอร์มาใช้หลายครั้งซึ่งอาจจะทำงานได้ดีบนจอเล็ก ๆ แต่พอมาอยู่บนจอใหญ่การฟรีซภาพแล้วซูมหรือแทรกกราฟิกล้น ๆ มันดันดูทำให้คุณภาพระดับหนังโรงห่วยลงไปแทน

อีกประการคือหนังมีนักแสดงที่ถือว่าของแรงพอสมควร กล่าวคือคาแรกเตอร์จัดมีความเป็นตัวเองสูงมาก เมื่อผู้สร้างคุมกับความพยศของกิตไม่ลง มู้ดและโทนของหนังจึงถูกกิตกลืนกินเป็นหนังของเขาไปเสียหมดอย่างน่าเสียดาย จนจบทั้ง 3 เรื่องบางทีอาจมีแต่หน้ากิตติดหัวกลับบ้านไป

แต่ก็ต้องบอกว่าในบรรดาทั้ง 3 ตอน ตอนตึกคณะวิทย์นี้มีโจทย์สำหรับทีมสร้างที่ยากที่สุดในการทำออกมาให้ดี ยิ่งบทสรุปของหนังที่ไม่รู้จะลงแบบไหนก็ยัดเยียดวิธีการแก้ปัญหา และคำพูดสอนคนดูใส่ปากตัวละครไปดื้อ ๆ แบบนั้น ก็ยิ่งทำให้หนังดุไม่มีอะไรให้จดจำเข้าไปอีก

และจุดอ่อนสำคัญที่ทั้ง 3 เรื่องมีร่วมกันอีกประการคือวิธีการนำเสนอผี ซึ่งถ้าไม่พึ่งซีจีที่ดูลอยหลอกตาไปเลย ก็เป็นการใช้เมกอัปที่กึ่ง ๆ จะน่ากลัวและตลกชวนขำไปพร้อมกัน เป็นเรื่องสำคัญที่ทีมงานต้องบริหารจัดการงบประมาณที่มีแล้วหาทางออกที่ลงตัวที่สุดในการสร้างตัวละครที่เป็นหัวใจของหนังอย่างเหล่าผี ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว พี่นาค ภาค 1

รีวิว พี่นาค ภาค 1

รีวิว พี่นาค ภาค 1

 

 

รีวิวหนังไทย เรื่องย่อ โหน่ง หนุ่มหล่อที่อยู่ ในช่วง วัยเบญจเพสสุดซวย ที่ถูกหักอก และ เขากำลัง ตกงานในเวลาเดียวกัน เขาหอบหิ้วความเสียใจขึ้นรถโดยสารเพื่อเดินทางกลับไปพักใจที่บ้านเกิด แต่กลับซวยซํ้าสอง เมื่อไปเจอกับเพื่อนเก่าอย่าง บอลลูน เฟิร์ส และก๊อต แก๊งกระเทยเพื่อนซี้ หอบหิ้วดีกรีแฟชั่นนิสต้า ที่หวังเคลมโหน่งอย่างออกนอกหน้าจนโหน่งเอือมระอา แต่เพื่อนซี้มีอันต้องซี้ไปจริงๆ เมื่อรถโดยสารที่พวกเขานั่งมา

รีวิว พี่นาค ภาค 1

เกิดอุบัติเหตุจนทําให้ก๊อตเสียชีวิต ทั้งสามโศกเศร้า และยังหวาดผวาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงตกลงปลงใจจับมือพากันไปบวชล้างซวย แต่เคราะห์ซํ้ากรรมซัดขัดใจตุ๊ด เมื่อวัดที่ทั้งสามคนตั้งใจไปขอบวชนั้น มีเรื่องเล่าขานว่าวัดนี้มีผีพี่นาคที่เฮี้ยนแรงขั้นสุด เกิดเป็นอาถรรพ์อันน่าสะพรึงรอคอยอยู่ งานบวชก็ต้องมี เรื่องผีก็โผล่มา กลายเป็นความผวาเลเวลอัพ ทั้งสามจึงรวมพลังตั้งสติวีนวัดแตก เพื่อให้ได้บวชอย่างที่ตั้งใจ แต่การบวชครั้งนี้จะลุล่วงสมปรารถนา หรือพวกเขาจะกลายเป็นผีนาคเฝ้าวัดสานต่อตํานานสยองพี่นาคคนต่อไปต้องติดตามชม

รีวิว พี่นาค ภาค 1

ค่ายไฟว์สตาร์ส่งหนังผีประจำปีมาเสิร์ฟตลาดหนังไทยอีกครั้ง โดยนำผู้กำกับอย่าง ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ เจ้าของผลงานผีตลกบทซับซ้อนอย่าง มอญซ่อนผี (2558) กลับมาทำงานกับพลอตแปลกล้อกับหนังผีไทยระดับตำนานตั้งแต่ชื่อ ซึ่งคงตั้งต้นไอเดียด้วย นางนาก + พี่มากพระโขนง + พลอตผีไม่กลัวพระ + ความเชื่อเรื่องการบวชนาค กลายมาเป็น พี่นาค ได้น่าสนใจดีทีเดียว

หนังขึ้นชื่อว่าเป็นหนังผีตลกอีกเรื่องหนึ่ง แบบว่าทำมายังไงก็ไม่ขาดทุน ในส่วนของความเป็นผีนั้นต้องชื่นชม ผกก. ที่มาจากสายงานกำกับศิลป์หนังไทยมาหลายต่อหลายเรื่อง ลองมาหมดแล้วแทบทุกแนว จึงแม่นในการสร้างบรรยากาศความหลอนได้สะพรึงมาก ทั้งวัดป่ากลางหุบเขาไร้ผู้คน ศาลเพียงตาที่ตั้งให้นาคที่ตายไปก่อนได้บวชจนมีตำนานว่าใครมาบวชวัดนี้ก็มักจะต้องตายไปก่อน ฉากการแห่นาคผีที่ทั้งขบวนเป็นคนไร้หัว และลานรูปปั้นพระอรหันต์เป็นสิบเป็นร้อยที่วัดใหญ่ชอบปั้นรายล้อมพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ทั้งที่น่าจะอุ่นใจศักดิ์สิทธิ์ ก็เอามาขยี้ได้น่ากลัวด้วยเช่นกัน เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

 

รีวิว พี่นาค ภาค 1

รีวิว พี่นาค ภาค 1

ตัวผีพี่นาคได้ ชิน-ชินวุฒ อินทรคูสิน มารับบทผีอาฆาตที่มีเป้าหมายแน่นอน แต่ก็ยากจะทำให้พึงพอใจ ซึ่งไอ้ความไม่ชัดเจนนี้ก็เป็นสูตรของผีแค้นที่เหมือนไร้เหตุผล คุยกันไม่รู้เรื่อง แถมหยิบพระพุทธรูป เดินในวัดวาแบบไม่เกรงกลัวใด ๆ ก็ทำให้เราต้องเอาใจช่วยฝั่งมนุษย์กับพระพอสมควร นับว่าดึงสูตรสำเร็จที่ดีในการเป็นหนังผีมาใช้ได้ลงตัวทั้งบรรยากาศ และตัวผีเอง

ในด้านความบันเทิงก็ใช้สูตรตุ๊ดสูตรคำสบถ ตามแนวหนังผีที่ไฟว์สตาร์ถนัดมาก่อนจากพวก หอแต๋วแตก  มาใช้ แต่ข้อดีคือหย่อนลงตามเหมาะสมไม่ได้ถึงกับยอมเสียแกนเรื่องเพื่อสร้างสถานการณ์ตลกอย่างที่หนังไทยบางเรื่องทำ และการได้ เอม-วิทวัส  รัตนบุญบารมี หรือ เอม ตามใจตุ๊ด มาจับคู่ปล่อยฮากับ เจมส์-ภูวดล เวชวงศา ที่คนหลังปรับลุคเป็นตุ๊ดบ้าผู้ชายได้ลืมภาพเดิมไปมาก ก็เรียกว่าลงตัวมากกว่าที่คาด แม้จะมีบ้างที่ดูบทต่อล้อต่อเถียงจะต่อไม่ติดเป๊ะแต่เคมีโดยรวมถือว่าพยุงหนังได้ไม่น่าเบื่อ

ในขณะที่ฝั่งดราม่าแกนหลักเป็นหน้าที่ของ ออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์ ที่มีดราม่าเรื่องพ่อบีบบังคับ และตัวเขาไม่มีความต้องการบวชไม่ได้ศรัทธา ซึ่งจะเป็นตัวที่ต้องนำพาผู้ชมเรียนรู้ผ่านการพัฒนาตัวละครนี้ให้ซาบซึ้งกับความหมายของการบวช โดยมีดอกไม้หนึ่งเดียวอย่างพลอยชมพู-ญานนีน ภารวี ไวเกล มาเป็นตัวเสริมให้พระเอกเข้าใจตัวเองมากขึ้น ซึ่งดูเหมือนทางผู้สร้างก็มีทัศนคติและความตั้งใจดีในการสร้างความตระหนักถึงคุณค่าแห่งผ้าเหลือง ผ่านกิมมิกนาคในตำนานพุทธศาสนาที่ปรารถนาจะบวชแต่บวชไม่ได้ เช่นเดียวกับผีนาคที่อยากบวชแต่ก็บวชไม่ได้ ในขณะที่คนที่บวชได้อย่างพระเอกกลับไม่ได้มีความใส่ใจเล็งเห็นผลในสิ่งที่เขามีสิทธิ์อย่างสบาย ๆ นี้เลย

แต่กระนั้นการเล่าเรื่องผ่านเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงนี้เองที่เป็นเรื่องน่าติง เพราะครึ่งเรื่องแรกดูปูหลายอย่างมาดีทั้งมู้ดความน่ากลัว ความตลก ปมดราม่าของตัวละคร และปมปริศนาของเรื่องราว แต่ทว่าพอหนังเข้าครึ่งหลัง กลับเล่นง่ายด้วยมุกที่คนดูเดาได้จนจบแต่ตัวละครยังใบ้อึ้งจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างน่าเวทนา ทั้งความแข็งแรงของการเล่าเรื่องก็เริ่มล้าไอเดียและพึ่งพิงการใช้แฟลชแบ็กขยายความเอาง่าย ๆ อย่างไม่จำเป็น

 

ซึ่งส่วนมากเป็นฉากสำคัญในพัฒนาการความคิดของพระเอกด้วย ยิ่งหนังเดินเรื่องไปมากขึ้น ๆ เราก็ยิ่งเห็นบาดแผลในการจะประสานฉากจบที่คิดไว้ การหาแลนดิ้งสวย ๆ ให้ตัวเองเป็นความพยายามที่เราในฐานะคนดูเหนื่อยอยู่พอสมควร แต่กระนั้นฉากหลังไคลแม็กซ์ที่หนังยังเก็บมุกเด็ดไว้ ก็ถือว่ามาได้เหนือคาดหมายพอสมควร แม้จะไม่มีหักมุมใหญ่ให้น่าจดจำ แต่หนังก็เก็บเล็กประสมน้อยจนพอผ่านมาตรฐานหนังไทยที่พอไปวัดไปวาได้เช่นกัน (ก็แน่ล่ะทั้งเรื่องเล่นกันอยู่ในวัดนี่นะ 55) เป็นอีกหนึ่งหนังที่บันเทิงน่าจะถูกใจคอหนังผีตลกไทยครับ

” พี่นาค ” ภาพยนตร์ไทยแนวผีสยองขวัญ สั่นประสาท ที่หยิบยกพล็อตเรื่องของการบวชนาคมาเป็นปมต้นเหตุแห่งเรื่องราวทั้งหมด ทำให้ผู้ชมต้องมาหาคำตอบของคำโปรยในหน้าหนังที่ว่า ” ถ้ากูไม่ได้บวช ก็ไม่มีใครได้บวช ” หนังได้เปิดปมไว้ให้เราสงสัย ผีพี่นาคทำไมไม่ให้คนอื่นบวช  ทำไมพี่นาคจึงกลายเป็นผี เรามาร่วมกันหาคำตอบได้ในภาพยนตร์เรื่อง พี่นาค กันนะครับ

 

 

เนื้อเรื่องย่อ

เรื่องราวของ 3 เพื่อนซี้ที่มีเหตุต้องไปบวชที่วัดป่าแห่งหนึ่ง บอลลูน (เอม วิทวัส) ได้บนบานสารกล่าวไว้ว่าถ้าถูกรางวัลจะมาแก้บนด้วยการบวชพร้อมกับเพื่อน ๆ นั่นก็คือ เฟิร์ส (เจมส์ ภูริพรรธน์) สองตุ๊ดเพื่อนซี้ และ โหน่ง (ออกัส วชิรวิชญ์) เพื่อนหนุ่มหล่อที่ต้องมาบวชล้างซวยในวัยเบญจเพส เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกครั้ง เพราะวัดที่พวกเขากำลังจะมาบวชนี้มีตำนานว่าใครมาบวชที่นี่ไม่ได้ จะต้องมีอันเป็นไปทุกคน

ทั้งสามเลยจะคิดหนีกลับไม่บวชแล้ว แต่ก็ไม่ได้อีกคือใครหนีก็ตายอีกเหมือนกัน ทำให้ทั้ง 3 ต้องพยายามบวชให้สำเร็จให้จงได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับ ผีพี่นาคนน (ชิน ชินวุฒ) ที่คอยหลอกหลอนเพื่อไม่ให้พวกเขาได้บวช แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ คิดหาวิธีแก้ไข และหาทางที่จะบวชในวัดแห่งนี้ให้ได้ เรื่องที่พวกเขาจะต้องเจอจะน่ากลัวมากน้อยสักเพียงไหน และพวกเขาจะสามารถบวชได้หรือไม่ คุณก็ลองไปหาดูได้ในหนังกันให้เต็ม 2 ตานะครับ เรามาเอาใจช่วยพวกเขาไปด้วยกันพี่นาค

องค์ประกอบของหนัง

  1. บรรยากาศ ชอบบรรยากาศของหนังเรื่องนี้มาก เพราะมันดูสมจริง ดูขลังและน่าขนลุกขนพอง กับโลเคชั่นของวัดในยามค่ำคืนที่ดูวังเวงเสียเหลือเกิน
  2. ความตลก หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีซีนตลกเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมอยู่หลากหลายซีนเลยทีเดียว บางซีนก็เป็นทั้งมุุกตลกไปพร้อม ๆ กับความลุ้นความน่ากลัวก็มี จนไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ
  3. พล็อตเรื่อง พล็อตเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าดีอยู่ในระดับนึงเลยทีเดียว มีการตัดต่อที่ไหลลื่น ดูแล้วไม่สะดุดตาหรือคาใจ เนื้อเรื่องก็ปิดเงื่อนซ่อนงำได้ดีชวนให้ติดตามตลอดเรื่อง

การแสดงของนักแสดง

ในหนังเรื่องนี้ตัวแสดงมีไม่มาก แต่ทุกตัวมีบทบาทสำคัญในเรื่องแทบทุกตัว การตีบทบาทของ เอม และ เจมส์ ที่รับบทตุ๊ด 2 ตัวละครนี้คือตัวเรียกเสียงฮาชั้นดีเลยก็ว่าได้ ส่วนออกัสนี่เป็นบทพระเอกที่คอยมาดึงเนื้อเรื่องไม่ให้หลุด เรียกว่ามาคอยคุมโทนหนังให้ไปได้สวย ด้านคุณ เอ้ ชุติมา นี่ก็ตีบทแตกใช้ได้เลยแสดงเก่งมาก ยิ่งตอนเข้าซีนอารมณ์กับ ชิน ชินวุฒ ถือได้ว่าถ่ายทอดการแสดงออกมาเรียกน้ำตาของคนดูได้เลยพี่นาค หนังฟรี หนังใหม่

ข้อคิดจากเรื่องที่ได้

ได้เห็นและรับรู้ถึงความกตัญญูของลูกที่อยากบวชให้แม่บังเกิดเกล้าสักครั้ง แม้ว่าตัวจะตายไปแล้ว แต่จิตวิญญาณก็อยากจะบวชทดแทนบุญคุณแม่อยู่ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งในความรักของลูกที่มีต่อแม่อย่างเที่ยงแท้

​​​​​​หนังเรื่อง พี่นาค เป็นหนังสนุกครบทุกความบันเทิงอีกหนึ่งเรื่อง ที่ผู้เขียนอยากจะแนะนำให้ผู้ที่ยังไม่เคยรับชมลองไปหาชมกันนะครับ รับรองว่าสนุกครบทุกอรรถรสจริง ๆ เรื่องนี้ รวมไว้หมดทุกความ ทั้งความน่ากลัว ความขำ ความซึ้ง ความตื่นเต้น ดูแล้วคุณจะได้รับความสุขอย่างแน่นอนครับ สิบปากว่าก็คงไม่เท่ากับตาเห็นนะครับ

สไตล์หนังผี-ตลกของค่ายไฟว์สตาร์โปรดักชั่นนั้น เอาเข้าจริงแล้วแทบทุกเรื่องในรอบ 4-5 ปีหลังมานี้ เหมือนกับค่ายนี้จะมีสูตรสำเร็จเดียวกันไปหมดแทบทุกเรื่อง คือการเอาเน็ตไอดอลหรือเซเล็บในโลกไซเบอร์มาเป็นตัวละครเอกของเรื่อง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นการหวังผลเชิงการตลาด นั่นคือการเอาคนดังและเป็นกระแสนิยมมาเป็นคนเรียกแขกเข้าโรงหนัง มากกว่าตั้งใจจะขายเรื่องราวในภาพยนตร์จริงๆ

กรณีของพี่นาคก็ไม่ต่างกัน เมื่อชื่อของชิน-ชินวุฒ อินทรคูสิน นักแสดงและนักร้องชื่อดัง อาจจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่เรียกแขกให้มาชมภาพยนตร์ได้เท่ากับ ชื่อของเอม ตามใจตุ๊ด (วิทวัส รัตนบุญบารมี) เน็ตไอดอลที่มีรายการทางช่อง Youtube ซึ่งมีผู้กดติดตามช่องของเขากว่า 1 ล้าน 1 แสนคน (ซึ่งเราอาจจะเรียกได้ว่าเขาเป็นไมโครเซเลบริตี้ที่มีคนรู้จักไม่แพ้กับนักแสดงวัยรุ่นในวงการบันเทิงหลายๆคนเลยทีเดียว)

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนัง “พี่นาค” โฟกัสไปที่โหน่ง (ออกัส-วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์) หนุ่มวัยเบญจเพส ที่เพิ่งอกหักและตกงานมาหมาดๆ เขาตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิด แต่ระหว่างที่ขึ้นรถทัวร์ เขากลับรู้สึกดวงซวยเมื่อตัวเองดันไปเจอเพื่อนเก่าอย่างบอลลูน เฟิร์ธ และก็อต สาวซี้แกงค์กะเทยที่แอ้วโหน่งจนเขาต้องเอือมระอา ความซวยเกิดขึ้นเมื่อรถทัวร์เกิดอุบัติเหตุส่งผลให้ก็อตเสียชีวิต

เพื่อนสามคนที่เหลืออยู่จึงมองว่านี่อาจจะเป็นอาถรรพ์เบญจเพส ประกอบกับบอลลูนเพิ่งสำเหนียกได้ว่า เขาเคยบนว่าจะบวชที่วัดแห่งหนึ่ง ทั้งสามจึงตัดสินใจว่าจะไปขอบวช แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือวัดที่พวกเขาเลือกมีเรื่องน่ากลัวรอพวกเขาอยู่ นั่นก็คือวิญญาณอาฆาตจากนาคตนหนึ่งที่เสียชีวิตก่อนเข้าร่มกาสาวพัสตร์ ทำให้เขาจองเวรคนอื่นๆที่จะบวชที่วัดแห่งนี้ให้มีอันเป็นไป กว่าที่ทั้งสามจะตระหนักได้ว่าอันตรายรอพวกเขาอยู่ ก็สายเกินไปเสียแล้ว

จะว่าไป “พี่นาค” เป็นหนังที่ว่าด้วยตัวละครหลักของเรื่องต้องวิ่งหนีผีอย่างหัวซุกหัวซุน ความสนุกคือการที่ตัวละครต้องหาทางรอดจากวิญญาณร้าย ในขณะเดียวกันหนังก็ต้องหาจังหวะผ่อนคลายผู้ชมด้วยการใส่มุกตลกเพื่อให้คนดูไม่ตึงเครียดจนเกินไป แต่ปัญหาประการใหญ่ของหนังเรื่องนี้คือบทภาพยนตร์ที่เราอาจจะพูดได้ว่า หลังจากที่ 10 นาทีแรกผ่านไป ตัวเรื่องราวก็แทบจะไม่คืบหน้าไปไหนเลยจนกระทั่งหนังผ่านไป 1 ชั่วโมง

แถมวิธีการออกแบบตัวละครในหนังเรื่องก็จัดได้ว่า น่ารำคาญและไม่ค่อยใช้สมองในการแก้ไขสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ตัวละครเลือกจะออกมาฝึกท่องคำขานนาคหน้าพระพุทธรูปในยามวิกาลทั้งที่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีผีออกอาละวาด หรือ ตัวละครออกมาเข้าห้องน้ำกลางคืนและเห็นเงาตะคุ่มๆและตัดสินใจเดินตามไป เป็นต้น พฤติกรรมงี่เง่าแบบนี้ แม้เราจะเข้าใจได้ว่าหนังออกแบบมาเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น แต่เมื่อเรามองในมุมของความสมเหตุสมผลแล้ว มันกลับยิ่งทำให้เราไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครมากเท่านั้น

น่าเสียดายที่เราคาดหวังความบันเทิงจาก “พี่นาค” ว่ามันจะต้องตลกขบขันหรือน่าขนลุกตกใจบ้าง แต่ตลอดความยาวกว่า 106 นาที จัดได้ว่าเป็นความยาวนานเหมือนเราเข้าบำเพ็ญทุกรกิริยาประการหนึ่ง ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

 

 

รีวิวหนังไทย สืบเนื่องจากความสำเร็จของ ATM เออรัก เออเร่อ (2555) ที่ทำรายได้รวมกว่า 150 ล้าน กับ พี่มากพระโขนง (2556) ที่ยอดรวมทะลุหลักพันล้าน บวกกับความล้มเหลวเมื่อกลางปี 2557 ของ ฝากไว้..ในกายเธอ ทางค่ายหนังไทยยักษ์ใหญ่จึงต้องฝากความหวังครั้งสุดท้ายของปีไว้กับ เมษ ธราธร ผู้กำกับฯ เจ้าของผลงาน ATM เออรัก เออเร่อ ให้กอบกู้ชื่อเสียงและหน้าตากลับมาสู่ GTH อีกครั้ง!

 

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

ถ้าอ้างอิงจากผลงานเก่าๆ ที่ทะลุ 100 ล้านแบบลอยตัวของ GTH จะเห็นว่าหลายเรื่องเป็นหนังแนวตลก (comedy) เช่น กวน มึน โฮ, ATM เออรัก เออเร่อ, และ พี่มากพระโขนง ซึ่งวิเคราะห์ที่มาของรายได้ได้หลายทาง

การพีอาร์และการตลาดที่สายแข็งเหนือยุทธภพของค่าย
ดารานักแสดงที่ไม่ได้หล่อสวยโอเวอร์แต่มีเสน่ห์เป็นของตัวเอง มีเอกลักษณ์ และเข้าถึงง่าย
กระแสปากต่อปาก และพลังแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์ก (ทั้งทางบวกและทางลบ)
มุกตลกที่เน้นสายแมสและชนชั้นกลางเป็นหลัก
“ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้” ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานหนังตลกของ GTH ที่มีจุดแข็งตาม 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น (โดยเฉพาะคลิปพระนางเต้นเพลง “ABC ชักกระตุก” นี่เราชอบมาก) แต่แข็งแกร่งกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยมีมาของ GTH ตรงที่ “อาศัยกินบุญเก่า” ของชื่อค่าย, ชื่อ ATM เออรัก เออเร่อ, ชื่อของพระนาง รวมถึงชื่อตัวประกอบอย่างบร๊ะเจ้าโจ๊ก (เช่นเดียวกับกรณีตุ๊กตาผี Annabelle ที่มีคนหลงไปดูเยอะเพราะความฮอตของ The Conjuring) ได้อย่างสบายๆ

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

สำหรับเนื้อเรืองก็ประมาณว่า คายะ(แสดงโดยโซระอาโออิ) ต้องการจะเลิกกับแฟนของเธอ ยิม(ซันนี่) ซึ่งไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เข้ากันได้เรื่องเดียวคือเรื่องจุดจุดจุด….คือไม่ต้องการการสื่อสารอะไรใดๆทั้งสิ้นว่างั้น คายะก็เลยวานให้ติวเตอร์เพลง(ไอซ์ ปรีชญา)ไปแปลคำพูดเพื่อบอกเลิกเป็นภาษาไทยให้(จากภาษาอังกฤษ) ครูเพลงเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษที่ท่าทางจะชื่อดังและร่ำรวยพอสมควรดูจากบ้านและไลฟ์สไตล์ของเธอ

คายะติดสินบนให้กับครูเพลงเป็นกระเป๋าหลุยส์ เธอจึงยอมตกลงรับงานนี้ โดยเมื่อเธอไปแปลให้ยิม บอกว่าคายะไปอเมริกาแล้วและเธอก็คงไม่กลับมาอีกขอให้ยิมโชคดี ส่วนยิมก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเนื่องจากแฟนหนี เขาจึงบังคับให้ติวเตอร์เพลงมาติวภาษาอังกฤษเพื่อไปตามคายะ โดยขู่ติวเตอร์เพลงจนติวเตอร์เพลงต้องยอมจำนนทำงานนี้ ในระหว่างนั้นทั้งสองคนก็ค่อยๆรักกันค่ะหลังจากนี้จะเป็นสปอยล์และความรู้สึกหลังดูนะคะ ใครไม่อยากดูอย่าเลื่อนลงไปนะ

เอาเรื่องความรู้สึกก่อนคือหนังก็ทำได้ไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกโอ้ว ว้าว วู้ว เฮ้ยยย สนุกโคตรๆๆๆๆหรืออลังการโคตร อะไรแบบนี้ค่ะ มันเป็นแบบมาตรฐานหนังไทยตลกฟีลกู้ดทั่วๆไป มุขแป้กไม่แป้กมั่ง หนังดำเนินเรื่องเร็วส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษไม่มีแปลเลยสงสารแม่ที่ไปดูด้วยดูไม่เข้าใจตอนนั้นๆ เพราะบางตอนทำได้ดีมากเช่น ตอน 1 minute speech ที่ให้พูดถึงคำว่า mole

แล้วพฤกษ์(ตัวละครในเรื่องที่นางเอกเคยชอบตอนแรก) บอกว่า mole หรือไฝนั้นเลือกที่ๆมันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ คนเรามักจะตามหาคนที่มีไฝที่เดียวกันเพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นพรหมลิขิตแต่มันอาจจะไม่เจอเลยก็ได้ทั้งชีวิต น่าแปลกที่ว่าไฝนั้นเหมือนกันกับโชคชะตา โชคชะตาเลือกที่จะเกิดที่จะเป็นไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะลิขิตชีวิตตัวเองได้ หลังจากนั้นพฤกษ์ก็เอาปากกามาจุดเป็นไฝที่เดียวกันนางเอก เป็นคำพูดหรูหราโลกสวยที่น่าประทับใจค่ะ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

รีวิว ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้

 

อีกตรงหนึ่งก็คือตอนจบที่นางเอกบอกว่า เจ้าหญิงซิลเดอเรลล่าในโลกแห่งความเป็นจริง อาจจะไม่ได้ต้องการเจ้าชายรูปงาม แต่ต้องการช่างทำรองเท้าธรรมดา และช่างทำรองเท้า อาจจะไม่ต้องการซินเดอเรลล่าก็ได้ เรื่องราวเหล่านี้อาจจะไม่จบแบบสมบูรณ์หรือ happily ever after เสมอไป แสดงถึงเรื่องของความรัก คนไปดูหนังรักมักจะเจอฉากจบที่ตัวละครแต่งงาน แฮปปี้ แต่ดูๆไปพบว่านั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นของชีวิตคู่ นอกจากนี้หลายคู่ต้องจบด้วยการเลิกกัน

ส่วนมุขในเรื่องดูขาดๆเกินๆสนุกดีแต่มันดูล้น บางอันดูขาด แต่ตัดภาพได้ดีมากค่ะ ตัดต่อได้ดึงอารมณ์คนทั้งๆที่เป็นฉากธรรมดาๆแต่ทำให้ซึ้งหรือรู้สึกน่ารักกินใจได้ ชีวิตนางเอกดูสมบูรณ์เกินไป เรื่องดูเวอร์ๆ แต่อย่างว่ามันเป็นหนัง ต้องทำใจว่าความเว่อร์มันก็มีอยู่แล้ว ถ้าไปดูหนังชีวิตเรียลมันก็คงไม่สนุก

ความต่างระหว่างพระเอกกับนางเอกมีมาก พระเอกดูจน ดูซกมก นางเอกดูไฮโซ และกลับไม่เลือกคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าบางครั้งความรักเราก็เลือกไม่ได้ว่าจะรักคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน หรือคนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าหรือแม้จะฝืนหลักการของสังคมเช่น ติวเตอร์รักกับนักเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสียจรรยาบรรณในสายตาคนส่วนใหญ่

นางเอกจึงมีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ตอนท้ายสุดและยินยอมที่จะคบกับพระเอกในที่สุด นางเอกน่ารักค่ะเรื่องนี้ เต้นตลกดีตอนจบ ด้วยความที่เป็นหนังรักสำหรับวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นๆเราไปดูแล้วเลยไม่อินมาก แต่ก็ตลกมุขพี่โจ๊กฆ่าจิ้งจกด้วยง่ามตูดนี่แหละ ฮามาก แล้วก็มุขของพฤกษ์ที่บอกว่าผมมีชีวิตเพื่อเพลง ไม่ใช่เพลงเพื่อชีวิต มุขนี่อย่างฮา

บางมุขก็แนวตึ่งโป๊ะคาเฟ่ไปนิด สรุปหนังดูเพลินอย่าไปคิดมากอีกเรื่องหนึ่ง อ้อ พระเอกนี่ก็ประหยัดจริงจังคือเอาน้ำซุปข้าวมันไก่มารวมทำเป็นซุปมาม่า สุดยอดเลยวิธีนี้ ขนาดซุปแข็งเป็นวุ้นยังเวฟได้ แถมกัขฬระนักเลงจนน้องที่ไปดูด้วยกันบอกเป็นตูๆเลือกคุณพฤกษ์แสนไฮโซ

มุขที่เราชอบ ชอบตอนพระเอกสัมภาษณ์งานค่ะ มันมั่วได้ใจมาก นางเอกก็ช่างเก็งข้อสอบมาถูกเหลือเกิน ช่วยเหลือพระเอกขนาดนี้เราว่าเป็นใครๆก็หลงรักนะ ชุดตอนเธอไปกับพระเอกที่เป็นล่ามที่บอกว่าให้ใส่ชุดคล้ายงานแต่งสวยมากค่ะ สรุปรวมๆอีกที ไปดูอย่าไปคาดหวังอะไรมาก เอาฟีลกู๊ดแนว GTH พอค่ะ

ที่เราชอบคือโซระ อาโออิ เธอแสดงดีนะคะ น่ารักมากด้วยถึงแม้จะออกแนวอีโรติคไปนิด แต่มันไม่ได้น่าเกลียดมากค่ะ แค่ส่อ ซันนี่เล่นได้เข้ากับบทดี ดูดีมาก ไอซ์นางเอก น่ารักทุกท่วงท่า ส่วนไม่ชอบคือ มันไม่เรียลเลย ไม่เหมือนโลกแห่งความเป็นจริง ออกการ์ตูนๆ เข้าใจว่าเป็นฟีลนิยมหนังสมัยนี้ และก็ไม่ได้ซึ้งขนาดนั้นตามที่หนังรักควรจะเป็น เผลอๆบางคนไปเชียร์คุณพฤกษ์พระรองด้วยซ้ำ ให้คะแนนความเพลิน

ในวันหยุดที่เป็นวันพุธอย่างนี้ อาจจะดูเป็นเรื่องดีก็ได้ที่มีหนังใหม่รอบสื่อให้ดู ไม่ต้องรีบต้องร้อนตะเกียกตะกายไปดู แต่ที่ไหนได้ กลับพบตัวเองติดแหง็กอยู่บนถนนท่ามกลางจราจรที่ติดขัด เหมือนตัวเองคิดผิดที่เลือกเดินทางในแบบนี้ แม้ว่าสุดท้ายจะมาถึงโรงหนังทันเวลา และได้พบกับหนังเรื่องใหม่จากค่ายหนัง GTH หนังคอมิดี้ที่ผสมเอาความโรแมนติกพ่วงเอาสิ่งที่เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของค่ายๆ นี้เสมอมาอยู่ในนี้ด้วย

สองนักแสดงนำจากหนัง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’
หนังเรื่องนี้มีทั้ง ไอซ์ ประกบ ซันนี่ ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’ จากผู้กำกับจากหนัง ‘ATM เออรัก..เออเร่อ’ ที่กลับมาพร้อมกับนางเอกคนเดิม แต่เรื่องราวเปลี่ยนไป จากเรื่องเพี้ยนๆ ฮาๆ กลายเป็นเรื่องที่รับกับการเข้ามาของ AEC

เรื่องราวของวิศวกรช่างซ่อมบำรุงอย่าง “ยิม” (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ที่กำลังถูกแฟนสาวชาวญี่ปุ่นอย่าง “คายะ” (โซระ อาโออิ) ขอบอกเลิกและบอกลาไปอยู่อเมริกาด้วยเหตุผลที่พวกเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง และเพราะเขาไม่รู้ภาษาอังกฤษจึงเลือกที่จะเรียนรู้ภาษาเพื่อสอบสัมภาษณ์ให้ผ่านไปทำงานที่เดียวกับเธอให้ได้ และนั่นทำให้เขาเลือกมาเรียนกับ “เพลง” (ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร) ซึ่งดันเป็นติวเตอร์คนเดียวกันที่สอนภาษาอังกฤษให้กับคายะอีก ทำให้เพลงต้องตัดสินใจอย่างยากลำบาก

ว่าจะเป็นตัวกลางในการเลิกกันดี หรือทำให้สองคนกลับไปพบกันอีกครั้งดี

แต่มันก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เมื่อเพลงเองก็รู้สึกดีอยู่กับศิษย์หนุ่มหล่อรวยที่ดูจะเก่งภาษาซะจนไม่รู้มาเรียนทำไม อย่าง “คุณพฤกษ์” (ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ) เรื่องชุลมุนวุ่นรักเกิดขึ้น ก็เมื่อความรักของเธอกับศิษย์หล่อรวยกำลังถูกป่วนจากศิษย์ผู้หยาบคายที่พูดอังกฤษไม่ได้เอาเสียเลยน่ะสิ หนังฟรี หนังใหม่

ความคิดเห็นส่วนตัว

สิ่งที่คิดหลังดูหนังเรื่องนี้จบก็คือ จากที่คิดว่าหนังเรื่องนี้จะมีแต่ฉากตลก ขำ ฮากลิ้ง กลับกลายเป็นว่าหนังมีมากกว่านั้น มันคือหนังที่รวมทั้ง Comedy และ Romance เข้าด้วยกัน ครึ่งแรกเราอาจจะชวนหัวไปกับมุกโน่นนี่นั่นที่บ้างก็ทำได้อยู่หมัด แม้บ้างก็ฟังแล้วฝืดๆ บ้างก็ดูน่าเกลียดเกินก็มี แต่กับครึ่งหลัง ‘ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้’ ทิ้งเทไปที่แง่มุมความรักมากขึ้นและก็ทำได้ค่อนข้างดี เมื่อหยิบจับเอาภาษาอังกฤษ(ที่คนไทยส่วนใหญ่ยังมีปัญหากับมัน)มาเป็นแกนในการสร้างพล็อตและใช้ได้อย่างลงตัว

ถ้าจะพูดนักแสดงเป็นคนๆ ไป อาโออิในเรื่องนี้ไม่ได้รับบทบาทแค่เป็นสาวสวยญี่ปุ่นหุ่นดีที่มารักกับพระเอก แต่กลับได้บทบาทที่มีสำคัญต่อการกระทำของพระเอก เธอมีบทพูดมากขึ้น แม้สำเนียงอังกฤษของเธอจะฟังยากอยู่สักหน่อย โจ๊ก โซคูล และตุ๊ยตุ่ย คือส่วนผสมที่สร้างความฮาให้กับหนัง อาจจะยังดูไม่ได้สำคัญกับเนื้อเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ยอมรับว่าฮาตุ๊ยตุ่ยมาก อีกคนที่ฮาได้อย่างเซอร์ไพรส์ก็คือ ตู่ ภพธร บทหนุ่มหล่อรวยดูจะไปกันได้กับภาพลักษณ์ของเขา แถมยังได้บทพูดที่คมคายพอๆ กันกับไอซ์ ที่นอกจากจะสวยแล้ว ยังแสดงบทตลกได้ดีเช่นเคย ส่วนซันนี่ คงไม่ต้องสงสัยในความเป็นตลกหน้าตายของเขามากนัก เพราะเขาก็ทำมันได้มาตลอดอยู่แล้ว

แต่บางมุกในหนังเรื่องนี้ยังดูจะเซอร์ไพรส์เมื่อเขากล้าจะเอามาเล่น

ซึ่งก็แน่นอนว่า คงไม่ใช่ทุกมุกที่ผมจะชื่นชอบ แต่เมื่อดูโดยรวมของหนังแล้วพาร์ทโรแมนติกของหนังทำได้น่าประทับใจมาก จากที่จะมานั่งขำ กลับกลายว่าต้องมานั่งน้ำตาไหลในหนังตลก ดูๆ ไปก็ให้รู้สึกว่า คุณครูเพลงนี่จะแต่งตัวสวยเซ็กซี่ไปไหน แต่ครูก็น่ารักมากจนบางครั้งก็หลุดโฟกัสจากเรื่องไปเลย หนังมีกำแพงอยู่หน่อยๆ เรื่องภาษาและการอ่านซับไตเติล แต่นั่นกลับเป็นส่วนหลักๆ เลยที่ให้มันกลายเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้นมา

บทหนังร้อยเรียงไว้อย่างดี หยิบจับเอามาใช้ได้เหมาะเจาะ ทำให้ฉากโรแมนติกช่างแสนพีค ขณะมุกเลี่ยนๆ ก็ถูกวางเอาไว้อย่างถูกที่ การ tie-in สินค้าในหนังทำได้ค่อนข้างแนบเนียนไม่ดูโดด แถมยังสอนคนดูให้รู้จักภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ไม่พอ ยังมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเป็น Easter Egg ให้แฟนตัวยงของค่ายนี้ได้ยิ้มย่องเมื่อยามได้เห็น ดูเหมือนว่า…หนัง GTH เริ่มจะกลับมาเข้าฟอร์มอีกครั้งแล้วนะ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

 

 

รีวิวหนังไทย เมื่อวานนี้ (31 สิงหาคม 2559) เราได้มีโอกาส ไปชมภาพยนตร์ ที่โครตหน้าตื่นเต้นอ่ะทุกคน เพราะเป็นภาพยนต์ เบอร์แรกจากค่ายน้องใหม่ เลยทีเดียว แต่บอกไว้ก่อนว่า….ไม่ใหม่ประสบการณ์นะค้าบ อย่าง GDH ที่ประเดิมด้วยภาพยนตร์ที่จะเรียกว่าโรแมนติก็ไม่เชิง แต่ก็มีความอิ่มในด้านของความรู้สึกประมาณหนึ่ง กับ แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว ผลงานชิ้นล่าสุดจาก โต้ง บรรจง ปิสัญธนกูล ผู้กำกับพันล้านจากภาพยนตร์เรื่อง พี่มากพระขโนง ซึ่งเมื่อช่วงค่ำวานนี้ก็เป็นรอบพิเศษก่อนที่จะเข้าฉายจริงในวันนี้ (1 กันยายน 2559) แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว เป็นเรื่องราวของ เด่นชัย (เต๋อ ฉันทวิทย์ ธนะเสวี) พนักงานไอทีของบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งสุดแสนจะปากหมาและไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครที่ดันไปตกหลุมรัก นุ้ย (มิว นิษฐา จิรยั่งยืน) มาร์เก็ตติ้งสาวในออฟฟิศเดียวกัน เด่นชัยสามารถจดจำทุกรายละเอียด ทุกอิริยาบทของนุ้ยได้ในทุกๆ อย่าง แต่ว่ายังไงหมาก็ยังเป็นหมา มันก็คงทำได้แค่เพียงมองเครื่องบินจากด้านล่าง ไม่มีทางที่จะทำให้ทุกอย่างที่คิดเป็นจริงได้ สาวสวยอย่าง นุ้ย มารักกับคนที่อยู่นอกสังคม อย่าง เด่นชัย ได้อย่างไร

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว
ภาพยนตร์เรื่อง แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว หากจะมองเผินๆ แล้วก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้าผลงานของ โต้ง บรรจง อย่าง กวนมึนโฮ ว่ากันว่า แฟนเดย์ ใช้เวลาปั้นถึง 3 ปี ได้มือเขียนบทคู่บุญและเป็นนักแสดง อย่าง เต๋อ ฉันทวิทย์ มาร่วมงานกันอีกครั้ง ซึ่งจากที่ได้ฟังคอมเมนต์จากหลายๆ คนที่มีโอกาสได้ไปชมในรอบสื่อบ้างก็มีทั้งที่ประทับใจ เข้าใจในความรู้สึกและความเป็นตัวละคร บ้างก็มีทั้งที่บอกว่านี่อาจจะเป็นก้าวแรกที่ดีของบ้านหนังหลังใหม่ อย่างนี้ GDH นี้ แต่อาจจะเป็นก้าวถอยหลังของการทำหนังในแบบที่แตกต่างของโต้ง ในแง่ของเนื้อเรื่องโดยรวมอาจจะไมีมีอะไรที่หวือหวามากนัก ดูไปเรื่อยๆ อาจไม่มีอะไรแปลกใหม่ หากแต่ว่าเป็นการหยิบเอาเรื่องราวที่เราเคยได้รู้ได้เห็นมาเล่าให้ละเอียด และมีมิติของความรู้สึกมายิ่งขึ้น

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว
จุดเปลี่ยนเดียวของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการที่จู่ๆ นางเอกนั้นก็เกิดอาการบางอย่างกับตัวเองที่เรียกว่าโรคความจำเสื่อมชั่วคราวระหว่างเล่นสกี ซึ่งถือได้ว่าเรื่องนี้ก็ทำการบ้านมาดีพอสมควรให้แง่ของรายละเอียด ซึ่งซีนนี้เป็นเหมือนประตูที่พาให้คนดูเข้าไปเห็นความรู้สึกนึกคิดและการกระทำในอีกด้านของตัวละคร เต๋อ ฉันทวิทย์ แสดงเป็น เด่นชัย ออกมาได้อย่างสมบทบาท แสดงความเป็น Looser ได้อย่างเต็มเปี่ยมเอามากๆ เล่นซะเราเชื่อสนิทใจ ส่วน มิว นิษฐา นี่ก็แสดงออกถึงความสดใสได้ทุกครั้งที่ยิ้ม แววตาที่เป็นประกาย ต่อให้เด่นชัยไม่พูดเธอเป็นอย่างไร แต่ก็เชื่อได้ว่าคนดูก็น่าจะเห็นเช่นกัน ชอบมากเวลาที่สองคนนี้เข้าคู่ มันเป็นความรู้สึกที่อึมครึม ไม่ถึงกับฟิน แต่ก็ทำให้อิ่มและยิ้มได้เป็นระยะ ชอบในความที่ไม่มีอะไร แต่ก็ดูมีอะไร คล้ายกับว่าตัวละครทั้งสองเข้ามาเติมเต็มซึ่งกันและกัน (จริงๆ แล้วอยากให้ไปชม ไม่มีหนังเรื่องไหนที่จะมีความสุขไปซะทั้งเรื่องหรอก)

อีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่องนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็เห็นจะเป็นเรื่องของภาพ โดยเฉพาะการยกกองไปถ่ายทำที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีให้เราได้ชมกว่าครึ่งเรื่อง ก็ถือได้ว่าเป็นความแตกต่างจากเรื่องก่อนซึ่งอยู่ที่เกาหลี แต่ก็ยังคงความเป็น บรรจงสไตล์ เอาไว้ได้มาก ยอมรับว่าภาพสวยมาก สวยจริงๆ เหมือนกำลังดูภาพวาดยังไงอย่างงั้น (นี่ไม่ได้เวอร์นะ) ประกอบตัวละครที่อยู่ในจุดที่เรียกว่าพอดี การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การเคลื่อนไหว ก็เลยกลายเป็นส่วนที่ช่วยเติมเต็มให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

รีวิว แฟนเดย์..แฟนกันแค่วนเดียว

 

คราวนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องเดินทางไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะดี หรือจะดับ แต่ตัวเราเองก็ถือว่าประทับใจในระดับหนึ่ง ขอให้คะแนนสำหรับ แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว ภาพรวมเอาไว้ด้วยความเป็นกลาง 7/10 ก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าตัวหนังจะออกมาดี สร้างความรู้สึกให้กับผู้ชมได้ขนาดนี้ แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรแปลกใหม่ออกมาให้ผู้ชมได้จดจำมากสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่รอยยิ้มและแววตาของมิวนี่แหละที่เราและคนดูหนังคนอื่นๆ จะจำได้ อย่างไรก็ตามนี่ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ GDH ในการเป็นผู้สร้างหนังไทยที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ลงตัวไปซะหมด ฝากให้เพื่อนไปชมกันด้วยนะ สนับสนุนหนังไทย เข้าฉายวันนี้เป็นวันแรก …

 

แฟนเดย์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า One day เป็นหนังแนวโรแมนติก-ดราม่าจากค่าย GDH 559 ผลงานการกำกับของบรรจง ปิสัญธนะกูล นำแสดงโดยเต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวีและมิว นิษฐา จิรยั่งยืน

เรื่องราวเกิดขึ้นจากเรื่องของเด่นชัย(เต๋อ ฉันทวิชช์) พนักงานด้านไอทีของบริษัทแห่งหนึ่ง เขาออกจะเป็นผู้ชายที่จืดชืดและดูไร้ตัวตนในสายตาของเพื่อนร่วมงาน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตของเขา คือ คุณนุ้ย(มิว นิษฐา) พนักงานสาวสวยคนหนึ่งจากแผนกการตลาด เขาคงเริ่มแอบชอบคุณนุ้ยและเริ่มพัฒนาเป็นแอบรัก เหมือนเป็นแฟนพันธุ์แท้ ตั้งแต่ตอนที่คุณนุ้ยได้เห็นเขามีตัวตนในสายตาเป็นครั้งแรก

แต่เหมือนคุณนุ้ยก็ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีการกระทำแบบนั้นอยู่ เธอเป็นผู้หญิงอีกคนของ ท้อป(ตุ้ย ธีรภัทร์) หัวหน้าของทั้งสองคน ทั้งที่เธอก็รู้อยู่ว่าท้อปมีภรรยาแล้ว และก็ได้แต่เชื่อว่าท้อปจะหย่าขาดจากภรรยาจริง ๆ

ที่บริษัทของทั้งคู่ได้พาไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งด้วยอะไรบางอย่างทำให้ทั้งคู่กลายมาเป็นแฟนกัน แม้ว่านั่นจะยาวนานแค่เพียงวันเดียวเท่านั้น แต่เด่นชัยจะจัดการกับหนึ่งวันนั้นอย่างไร หนังฟรี หนังใหม่

ตัวบทของหนัง

 

ตัวบทของหนังเรื่องค่อนข้างดี มีการแสดงออกถึงความไร้ตัวตน ทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับความ loser นั้น และความรู้สึกของการเป็น ‘เมียน้อย’ ของนุ้ยที่ดูน่าเกลียดในทีแรก แต่พอได้รู้จักกับเธอนานเข้าจึงเริ่มเข้าใจเหตุผลขึ้นมาบ้าง

อีกสิ่งที่ถือว่าดีมากคือฉากการถ่ายทำที่ทุ่มทุนไปถ่ายทำกันถึงฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ภาพในทุก ๆ ฉากการถ่ายทำนั้นดูสวยงามและชวนหลงใหล การนำเพลงเก่า ๆ มานำเสนอก็เช่นกัน ล้วนแต่เป็นเพลงที่คุ้นหูและเมื่อได้ยินอีกครั้งจึงติดหูได้ในเวลาไม่นาน

เด่นชัย คือตัวแทนของคนพื้น ๆ บ้าน ๆ ดูไม่มีอะไรโดดเด่น และไม่ได้อยู่ในสายตาของใคร แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัยมี คือ ความทุ่มเท ที่มากเกินคนปกติ เราจะเห็นได้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนกระทั่งจบ ว่าเด่นชัยคือตัวละครที่มีความพยายามมากจริง ๆ และแม้ว่าการกระทำของเขาจะใกล้เคียงกับการเห่า ‘เครื่องบิน’ แต่ความจริงใจและตรงไปตรงมานั้นคงทำให้เครื่องบินร่อนลงมาจอดข้างเขาได้สักวัน

คุณนุ้ย คือ ตัวแทนของผู้หญิงหัวปัจจุบัน ดูสนุกสนานร่าเริง คนทั่วไปอาจมองเธออย่างนั้น แม้ว่าทัศนคติที่หลาย ๆ คน มีต่อเมียน้อยนั้นจะไม่ดีนัก แต่นุ้ยเป็นตัวละครอีกตัวที่เป็นเมียน้อยได้ซื่อตรงและดูเจียมตัวอย่างน่าประหลาด เธอดูน่าสงสารและน่าเห็นใจ คนดูอาจจะเผลอเอาใจช่วยเธอในบางครั้งก็ได้

ท็อป คือ ตัวแทนของผู้ชายที่ไม่รู้จักพอ เต็มไปด้วยคำหว่านล้อมให้คนเชื่อ การเสนอและให้ความหวังแบบส่งเดชนั้นทำให้ผู้หญิงซื่อ ๆ แบบนุ้ยเชื่อและพร้อมจะทำตาม การกระทำของท้อปนั้นมีเพียงลมปาก ปราศจากความจริงใจ

แฟนเดย์…แฟนกันแค่วันเดียวหนังเรื่องนี้ถูกสร้างตอนจบไว้ 2 รูปแบบ ซึ่งไม่ว่าจะรูปแบบไหนสุดท้ายปลายทางก็ไม่ค่อยต่างกัน แต่อย่างไรซะหนังเรื่องนี้ก็ได้สะท้อนมุมมองไว้หลาย ๆ อย่างทีเดียว

แต่ผมไม่ลืมนี่ครับ
หากอยากสัมผัสบรรยากาศประเทศญี่ปุ่น กับความรักที่แฝงไปด้วยหลายแง่มุม ก็สามารถกดรับชมทาง True ID ได้โดยคลิกที่นี่ แล้วแฟนเดย์จะกลายมาเป็นวันของคุณ

 

ประเดิมภาพยนตร์เรื่องแรกของค่ายหนังชื่อใหม่แต่ยังคงความเก๋าไว้เช่นเคยอย่าง
GDH ด้วยหนังโรแมนติกดราม่าที่ผู้กำกับร้อยล้านหน้าตี๋
โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล อยากลองทำอะไรใหม่ๆ มากไปกว่าหนังฮาที่เขาอยู่มือ
เรื่องนี้ดึงเอาพระเอกระดับแม่เหล็ก เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
โคจรมาเจอกับนางเอกนัยน์ตาเศร้าที่ทำเราใจละลายอย่าง มิว-นิษฐา
จิรยั่งยืน แล้วจูงมือพาคนดูเที่ยวฮอกไกโดในหนึ่งวันที่เขาทั้งคู่จะเป็นแฟนกัน…ได้แค่วันเดียว

นอกจากเมจิกโมเมนต์ที่เกิดขึ้นในทุกฉากที่มิว นิษฐา ปรากฏตัว ไม่ว่าเธอจะพูด
หัวเราะ ร้องไห้ รอยยิ้มกว้างและนัยน์ตากลมโตที่เจือด้วยความเศร้าก็โดดเด่นออกมานอกจอกระทบใจเราทุกครั้งแล้ว
เรายังชอบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังเลือกมาใช้เสริมเส้นโรแมนติกและพล็อตความทรงจำ
อย่างตุ๊กตากาชาปอง ตราประทับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เทศกาลหิมะที่ซัปโปโร ที่ช่วยให้เรื่องน่ารักพลิกกลับมาเป็นฉากซึ้งๆ
ได้ไม่ยาก

 

ถึงอย่างนั้น ใน แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว ก็มีหลายอย่างที่น่าเสียดายไม่น้อย
อย่างช่วงแรกๆ ของหนังที่ปูตัวละครเด่นชัยกับนุ้ยให้คนดูรู้จักอาจยืดยาวไปหน่อย ฟีลลิ่งช่วงกลางเรื่องหลายฉากก็พานให้นึกว่ากำลังดูโฆษณาการท่องเที่ยวฮอกไกโดไม่น้อย
(ซึ่งก็ชวนให้เราอยากไปเล่นสกีที่ฮอกไกโดจริงๆ นะ) แต่สิ่งที่ช่วยขยับความสัมพันธ์ของนุ้ยและเด่นชัยให้ใกล้ชิดและรู้สึกดีต่อกัน
ในฐานะว่าวันนี้ฉันจำแฟนของฉันไม่ได้ กลับไม่มีมากเท่าที่เราหวัง


สารภาพว่าเราแอบตะขิดตะขวงใจเล็กๆ
ตอนแรกที่ฟังพล็อตว่าจะเป็นได้จริงไหม ไอ้อาการความจำเสื่อมชั่วคราว (Transient Global Amnesia: TGA)
ที่ถูกเอามาใช้เป็นสถานการณ์หลักให้นุ้ย นางเอกของเรื่องสูญเสียความทรงจำไปแค่วันเดียว
สบโอกาสพอดีให้เด่นชัย พนักงานไอทีเข้าสังคมไม่เก่งที่แอบชอบนุ้ยอยู่ไกลๆ ได้สวมรอยเป็นแฟนนุ้ยเสียเลย
แต่พอได้ดูจริงๆ สถานการณ์ในเรื่องก็ถูกออกแบบมาให้การเป็นแฟนกันแค่วันเดียว ‘เข้ารูปเข้ารอย’ จนเรายอมรับได้ แถมยังแอบเอาใจช่วยให้วันที่เด่นชัยมีความสุขนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
(ซึ่งจะมีอะไรหักมุมมากน้อยแค่ไหน ขอชวนให้ไปหาคำตอบกันเอาเองในโรงภาพยนตร์) ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ

 

 

รีวิวหนังไทย ตอนแรกที่เห็นโปสเตอร์หน้า ของหนัง เรื่อง เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ ความรู้สึกคือ หนังดูติ๊งต๊อง ไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่ และดูขายเฉพาะกลุ่ม พูดตรงๆ ก็คือมันดูไม่แพงเอาเสียเลย และน่าจะเป็นหนังแนวเน้นขายดารามากกว่า แต่พอ GTH ปล่อยตัวอย่างเต็มๆ และคลิปฐานันดรออกมาให้ดู เออ ปรากฏว่าข้างในมันดูมีอะไรและน่าสนใจกว่าที่คิด หนังไทยnetflix

 

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

บางทีมันอาจจะจริงอย่างที่เขาว่า Don’t judge a movie by its poster. ดังนั้นเราต้องไปพิสูจน์เอง

เรื่องย่อ เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ
ป๋อง (แบงค์-ธิติ) แบ่งนักเรียนในโรงเรียนเป็นฐานันดรต่างๆ คือ คนทั่วไป, อันธพาล, เด็กเนิร์ด, นักกีฬา, คนหน้าตาดี, และนักกิจกรรมตัวท็อป โดยจัดตัวเองเป็นบุคคลผู้ไม่มีฐานันดร ไร้ตัวตน ไม่มีคนสนใจ แต่คนไม่มีศักดิ์อย่างป๋องก็ดันไปแอบชอบมิ้ง (ฟรัง-นรีกุล) นักกิจกรรมตัวท็อป ว่าที่ประธานสีคนต่อไป ทั้งที่เธอไม่เคยเหลียวแลเขาเลย

จนวันนึงป๋องได้รู้จักกับเมย์ไหน (ปันปัน-สุทัตตา) ผู้หญิงเก็บตัว ไม่เข้าสังคม และไม่มีฐานันดรเช่นเดียวกับเขาป๋องล่วงรู้ความลับของเมย์ไหนว่าเธอแอบชอบพี่เฟม (ต่อ-ธนภพ) สุดฮอต ผู้เป็นทั้งนักกีฬา หน้าตาดี และประธานสี แล้วป๋องยังรู้อีกว่า เมย์ไหนเลือกที่จะไร้ตัวตนเพราะเธออยู่กับใครไม่ค่อยได้ ร่างกายของเธอจะปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาเหมือนปลาไหลไฟฟ้าทุกทีที่เหนื่อย ตื่นเต้น หรือตกใจ

ทั้งสองตกลงเป็นเพื่อนกัน รักษาความลับของกันและกัน ค่อยๆ สนิทกัน และช่วยกันจีบมิ้ง-เฟมตัวท็อปของโรงเรียนอย่างลับๆ

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ
หมู ชยนพ ผู้กำกับ “SuckSeed ห่วยขั้นเทพ” กลับมานำเสนอชีวิต loser / underdog ของเด็กวัยรุ่นม.ปลายอีกครั้ง โดยเอาความเป็นหนัง GTH มาผสมผสานกับอะนิเมะแบบที่เขาชอบ (นี่บางทีก็สงสัยว่า เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ นี่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปลาไหลหรือปิกาจู)

เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ เป็นหนังวัยรุ่น rom-com ที่ไม่ใช่แค่โอเวอร์แอ็คติ้งตามสไตล์ GTH แต่ยังเพิ่มความเป็นการ์ตูนอะนิเมะแบบโอเฟร่อได้อีก แล้วซาวนด์ประกอบนี่ก็ไม่รู้จะเอาฮาไปไหน ในส่วนของมุกตลกอาจฮาบ้างไม่ฮาบ้าง ขึ้นอยู่กับอายุ วัย หรือประสบการณ์ส่วนบุคคล แต่ก็คลายเครียดได้อยู่

ในส่วนของความซึ้ง เราว่ามันก็ซึ้งนะ มีเสี่ยวบ้างไรบ้าง กระตุ้นต่อมมโนบ้างไรบ้าง แต่มันก็มีความโรแมนติกแบบน่ารักๆ แบบเด็กๆ ที่ชวนอมยิ้ม เออ โดยส่วนตัวเราชอบพาร์ทดราม่ามากกว่าพาร์ทตลก ถึงแม้มันจะดราม่าไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ เพราะแม่งชอบตลกแทรก แต่โดยรวมก็สนุกดี

เสียดายก็แต่ประเด็นเรื่องฐานันดร และประเด็นเรื่องการพยายามมีตัวตน (ไหนๆ ก็ชื่อหนังว่า “เมย์ไหนฯ” อะ เก๊ตปะ) ที่น่าจะทำให้สุดควบคู่ไปกับความตลกโปกฮาและรักโรแมนติกกุ๊กกิ๊กไปด้วยซะหน่อย นี่อะไรไม่รู้ 80% เป็นมุก “อีไฟช็อต”

เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ

รีวิว เมย์ไหน...ไฟแรงเฟร่อ

ตอนปล่อยโฆษณาโปรโมต หนังทำท่าทางเหมือนจะเน้นประเด็นเรื่องฐานันดรในโรงเรียน และช่วงฉากเปิดของหนังก็ยังเปิดด้วยการแนะนำฐานันดรต่างๆ ในโรงเรียน เช่น พวกอันธพาล, เด็กเนิร์ด, นักกีฬา, คนหน้าตาดี, นักกิจกรรมตัวท็อป, จนไปถึงกลุ่มจัณฑาลผู้ไร้ตัวตน แต่สุดท้ายแล้วหนังก็ไม่ได้เน้นให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวให้สุด

80% ของหนังแทบไม่เน้นการนำเสนอเรื่องฐานันดรเท่าไหร่ ก็นั่นแหละ ไปเน้นเอาฮาและเน้นเอาฉากกุ๊กกิ๊กตามประสา จนกระทั่งกลับมาโผล่อีกทีก็ช่วงท้ายๆ เรื่อง ซึ่งเหมือนจู่ๆ ก็วกกลับมา และยังดูมีความพยายามมากเกินไปจนดูขาดความเป็นธรรมชาติ เช่น การเล่นคำระหว่างคำว่า ฐานันดร “ศักดิ์” กับ “ศักย์” ไฟฟ้า แต่จริงๆ ก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะหนังมันเซอร์เรียลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

 

เช่นเดียวกับการ์ตูนสั้นหลายเรื่อง ตัวละครส่วนใหญ่ค่อนข้างแบนราบและมีคาแรกเตอร์แบบการ์ตู๊นการ์ตูน (ตามความตั้งใจของผู้กำกับนั่นแหละ) อย่างเช่น เมย์ลีด (ต้าเหนิง กัญญาวีร์) และเดอะแก๊ง (แพรว นฤภรกมล) นี่ดูสวยใสไร้สมอง แถมยังชอบใช้กำลังและเล่นพรรคเล่นพวก แต่เราก็ชอบนะ คาแรกเตอร์ชัดดี ตลกดี มีมุกเป็นของตัวเอง ดูดีมีซิกเนเจอร์

มีติดใจตรงคาแรกเตอร์ (และหน้าตา) ของป๋องนิดหน่อย หน้าตาก็ดี๊ดี บุคลิกนิสัยก็ดูเป็นคนปกติและเฟรนด์ลี่ดี แต่ทำไม้ทำไมถึงกลายเป็นคนไร้ตัวตนไปซะได้ก็ไม่รู้ (แต่ก็เข้าใจนะ ถ้าป๋องจืดกว่านี้ หนังก็คงไม่สนุกแบบนี้)

อย่างไรก็ตาม เราชื่นชมที่เด็กๆ นักแสดงนำแสดงได้ดีมีพัฒนาการ ถึงแม้ในภาพรวม เราจะยังสลัดภาพ “ฮอร์โมนส์” ของพวกเขาออกได้ไม่หมด 100% แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทุกคนมีความตั้งใจเกินร้อย และทำได้ดีตามบทบาทที่ได้รับมอบหมาย

อย่างปันปันนี่ไม่ค่อยสงสัย นางเล่นหนังเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่แบงค์กับต่อนี่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์เรา แบงค์แสดงดีเกินคาด ในเรื่องนี้ได้เห็นแล้วว่าน้องคนนี้ “เล่นตลกก็ได้ เล่นดราม่าก็ถึง” อนาคตไกลได้อีก ส่วนต่อในเรื่องนี้นี่เวรี่หล่อเกาหลีออร่าพุ่ง 4×100 เมตร ที่สำคัญต่อเล่นบ้าๆ บอๆ ชนิดไม่ห่วงหล่อเลยทีเดียว คนละเรื่องกับไผ่-ฮอร์โมนส์เลย

บทของพี่เฟม (ต่อ-ธนภพ) เป็นตัวแทนของฐานันดรคนหน้าตาดี ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ถ้าเกิดมารูปร่างหน้าตาดี ทำอะไรก็ดูดี ป็อปปูล่าร์ ไปไหนมาไหนก็เหมือนมีสปอตไลท์ติดตามตัวเป็น GPS แถมยังมีอิทธิพลต่อคนฐานันดรอื่นอีก แล้วยิ่งถ้าหน้าตาดีแล้วยังมีความสามารถ เช่น เล่นกีฬาได้ ความหน้าตาดีนั้นก็จะเป็นบันไดให้เขาไปถึงจุดสูงสุดได้โดยใช้ความพยายามน้อยกว่าคนที่หน้าตาดีอย่างเดียวหรือมีความสามารถอย่างเดียว

ฐานันดรตัวท็อป เช่น บทของมิ้ง (ฟรัง-นรีกุล) เป็นกลุ่มนักเรียนที่มีพาวเวอร์ มีความเป็นผู้นำ และจริงจังกับการทำกิจกรรมมาก คนบางคนก็เหมือนเกิดมาเพื่ออยู่ในฐานันดรนี้โดยกำเนิด แต่ในขณะเดียวกัน ตัวท็อปบางคนก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้มีจุดยืน มีตัวตนในโรงเรียน หรืออยู่ในสายตาของใครสักคนบ้าง ทั้งๆ ที่ที่จริงแล้ว เขาอาจจะไม่ได้อยากมาเหนื่อยหรือรับผิดชอบอะไรหนักหนาขนาดนี้เลยก็ได้

ฐานันดรเด็กเนิร์ด มีสัญลักษณ์ประจำตัวคือแว่นและตำรา เนิร์ดจริงๆ มีหลายระดับ หนักหน่อยคือเรียนเอาเป็นเอาตาย เลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษ จะทำอะไรก็ต้องเอาเกรดมาล่อ ไม่สนใจกิจกรรม ไม่สนใจวิชายิบย่อย เช่น ศิลปะ งานไม้ งานประดิษฐ์ หรือวิชาใดใดที่ไม่ใช่เชิงวิชาการหรือไม่เกี่ยวกับเป้าหมายในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในฝันของพวกเขาโดยตรง

ส่วนคนชายขอบหรือบุคคลไร้ศักดินา มีสองประเภทย่อยใหญ่ๆ ได้แก่ คนที่สังคมไม่ยอมรับ ไม่ให้ความสำคัญ ไม่เห็นค่า อย่างเช่น บทของป๋อง (แบงค์-ธิติ) กับ คนที่พิเศษ แปลกแยก แตกต่างจากคนทั่วไป เช่น เมย์ไหน (ปันปัน-สุทัตตา) แล้วคนกลุ่มนี้จะมีความแปลกตรงที่ ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าไม่ชอบใครเลย ก็จะไปชอบตัวท็อปไปเลย หนังฟรี หนังใหม่

ความคิดส่วนตัว

เราคิดว่า การที่เราเห็นบุคคลไร้ตัวตนไปชอบบุคคลตัวท็อปไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่ว่าเขาไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเสมอไป เราคิดว่า บางทีคนพวกนี้ก็แค่กลัวการมีความรัก กลัวการไม่ยอมรับหรือการปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก กลัวคนคนนั้นจะเข้ากับเขาไม่ได้อย่างที่เขาเข้ากับใครไม่ได้ ดังนั้นบางครั้งการแอบชอบและแอบมอง (คนที่เป็นไปไม่ได้) อยู่ข้างเดียวที่มุมมุมหนึ่ง ก็เป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากความผิดหวังอย่างหนึ่ง และขณะเดียวกัน ก็ยังมีความสุขกับการแอบรักไปได้ด้วยเช่นกัน

เพราะคนบางคนจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าก็ต่อเมื่อเขาได้รักใครสักคน เช่นเดียวกับคนบางคนที่จะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนมารัก (ไม่ว่าจะรู้ตัวกันหรือไม่ก็ตาม) ซึ่งมันก็ไม่มีความรักแบบไหนดีกว่าแบบไหน ขึ้นอยู่ที่แต่ละคนว่าใครจะ value ตัวเองจากความรักแบบไหนมากกว่ากัน แต่ไม่ใช่ว่า พอคนที่เรารักเขาไม่รักเราตอบ เรารู้สึกตัวเองไม่มีค่าทันที รู้สึกที่ตัวเองทำมาทั้งหมดไร้ค่า อันนี้ไม่ใช่ละ… ปรับทัศนคติด่วน

ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไง คนที่รักกันจริง เขาจะพยายามหาทางให้อยู่ด้วยกันได้เอง แต่ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พยายาม หรือเลือกที่จะไป คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว ซึ่งไม่มีใครผิดใครถูก มีแต่ใช่หรือไม่ใช่

วันนึง เราจะเจอคนที่รู้จักเราจริงทั้งข้อดีข้อเสียของเราแล้วเขายังรับเราได้และพยายามปรับตัวให้อยู่กับเราได้… เมื่อถึงวันนั้นแล้ว ก็อย่าปล่อยให้คนคนนั้นหลุดมือไปเป็นอันขาด เพราะเขามีค่า… เขาเห็นคุณค่าของเราและรักเราในแบบที่เราเป็น (แต่เอาจริงๆ นะ จริงๆ แล้ว ทุกคนล้วนมีค่ากันทั้งนั้นแหละ no matter what!)

ที่สำคัญ จำไว้ว่า สำหรับความรักก็ต้องพยายามและให้กันทั้งสองฝ่ายนะ ถ้าเป็นฝ่ายพยายามฝ่ายเดียว หรือให้อยู่ฝ่ายเดียว มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ต่อให้พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือพลีกายถวายหัวทำอะไรเพื่อเขาขนาดไหน ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น คนไม่ใช่ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี

ส่วนคนฐานันดรสูงๆ อย่างพี่เฟมกับมิ้ง จะหันมาสนใจคนฐานันดรต่ำๆ หรือไม่นั้น อย่างที่เราก็เห็นกันถมเถไปในชีวิตจริงและละครหลังข่าว มันเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับคนฐานันดรสูงคนนั้นเขา value อะไรมากกว่ากัน ถ้าเขา value ชื่อเสียงเงินทองมากกว่าความรักความสุข เขาก็คงไม่หาเรื่องลดศักดินาตัวเองให้เหลือห้าไร่

แต่มันก็มีเหมือนกันนะ คนชั้นสูงที่เบื่อและชาชินกับแสงสีเสียงหรือการมีคนมานิยมชมชอบ แล้วพอเจอคนที่ไม่รู้จักเขา ไม่สนใจคลั่งไคล้เขา เขาจะไม่เข้าใจ เขาจะสนใจคนคนนั้นเป็นพิเศษ เขาจะรู้สึกว่าคนคนนี้น่าค้นหาและคงไม่ทำตัวน่ารำคาญใส่เขาแบบพวกติ่งชั้นต่ำ (นั่นไง ละครอีกละ)

ซึ่งทั้งนี้เราก็ต้องไปลุ้นกันต่อไปว่ารักหลายเส้าใน เมย์ไหน ไฟแรงเฟร่อ จะลงเอยอย่างไร พี่เฟมกับมิ้งจะหันมาสนใจเมย์ไหนกับป๋องหรือเปล่า แล้วจะรับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้หรือไม่… (สับสน เข้าใจยาก สมกับเป็น “วัยว้าวุ่น” จริงๆ)

ความรู้สึก… ก็มีหลายชั้น หลายระดับ เช่นเดียวกับฐานันดร บางทีมันอาจเป็นแค่ความปลื้ม ความชอบ ความคลั่งไคล้ ความพิศวาส หรือแค่ความรู้สึกดี… แต่มันไม่ใช่ “ความรัก” ซึ่งเราต้องค่อยๆ ไตร่ตรองดูให้ดี มันใช้วัตถุหรือพฤติกรรมภายนอกชี้วัดไม่ได้เสมอไปอย่างตอนแยกชั้นฐานันดร เนาะ… ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

 

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

 

 

 

รีวิวหนังไทย ‘The Whole Truth ปริศนารูหลอน’ เป็นภาพยนตร์ Netflix Original แนวดราม่า-ระทึกขวัญผลงานล่าสุดของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ที่บอกเล่าเรื่องราวของ พิม (รับบทโดย ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์) และ พัท (รับบทโดย แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์) สองพี่น้องที่ต้องย้ายไปอยู่บ้านเดียวกับตา (รับบทโดย สมภพ เบญจาทิกุล) และยาย (รับบทโดย ทาริกา ธิดาทิตย์) ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เพราะแม่ (รับบทโดย นิโคล เทริโอ) ประสบอุบัติเหตุนอนโคม่า แต่เมื่อย้ายเข้าไปในบ้านทั้งสองก็ได้พบกับรูหลอนปริศนา ที่เรียกพวกเขาไปพบกับความจริงบางอย่างที่ซ่อนไว้ สปอยหนัง

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

The Whole Truth เปิดเรื่องด้วยชีวิตประจำวันธรรมดาของเด็กนักเรียนสองคนและแม่ของเขา เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ แวะจอดข้างทาง และพาคนดูหักเลี้ยวไปเรื่องที่ร้อยเรียงไปตามลำดับเมื่อความจริงหลังรูเล็กดำมืดค่อย ๆ เปิดเผยปริศนา ความลับดำมืดให้เห็น ดูแล้วอาจจะเหมือนภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์หักมุมทั่วไปหนึ่งเรื่อง แต่เมื่อเรามองให้ดีประเด็นสำคัญของการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ อาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่ามันสนุกแค่ไหน แต่อยู่ที่มันกำลังสื่อสารอะไรกับเราผ่านสัญญลักษณ์ในเรื่อง และเมื่อเราได้ดู ภาพที่เราเห็นในจอจึงไม่ใช่แค่ตัวละคร บ้านหนึ่งหลัง และรูหนึ่งรู แต่ขยายใหญ่กว่านั้นขึ้นอยู่กับผู้ชมว่าจะตีความเห็นเป็นอะไร

 

[เนื้อหาของบทความต่อจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องที่อาจส่งผลต่ออรรถรสในการรับชม]

‘ความจริงบางครั้งก็เหมือนรู้สีดำเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในความมืด มันอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา เพียงแต่เรามองไม่เห็น แต่ทันทีที่แสงสว่างสาดส่องไปถึง มันจะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน จนเราตกใจว่ามันอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’

ประโยคนี้ที่ดังขึ้นในเรื่องถึงสองครั้งตอนเปิดเรื่องและตอนเฉยปมเป็นเหมือนการเปิดลายแทงที่ทำให้เราค้นเจอชิ้นส่วนต่าง ๆ และปะติดปะต่อต่อสิ่งที่เห็นในจอจนเป็นภาพของประเทศไทยซ้อนทับอยู่ในบ้าน ตัวละครเป็นตัวแทนของคนแต่ละยุค รู นาฬิกา นมที่พัทดื่ม หรือแม้แต่ชั้นวางของในเรื่อง ต่างก็มีความหมายในตัวของมันเอง

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

ตา ตัวแทนของ ไซเลนท์เจนเนอเรชั่น (Silent Generation) ที่ถูกเรื่องนำเสนอให้มีคาแรกเตอร์ที่ให้ความสำคัญของการมีระเบียบแบบแผน มีความสัมพันธ์ที่พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวและผู้กุมอำนาจสูงสุดในบ้าน ทุกคนในบ้านต้องเห็นคล้อยตามผู้นำ เหมือนที่คุณตาจะมีอารมณ์ทุกครั้งหากหลานมีความเห็นที่ต่างออกไป และการบังคับให้คุณยายกินยาเพื่อลืม แม้จริงนั้นจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ติดอยู่กับตำแหน่งใช้ตำแหน่งและอำนาจในมือให้เป็นประโยชน์แก่ตน เน้นความเป็นพวกพ้องรุ่นพี่รุ่นน้องแสดงผ่านการใช้เส้นสายส่วนตัวในวงการตำรวจ ยึดความถูกต้องในแบบที่ตัวเองเข้าใจเป็นหลัก
ยาย ตัวแทนของ ผู้หญิงยุคเบบี้บูมเมอร์ส (Baby Boomers) ที่ภาพยนตร์นำเสนอให้มีหน้าที่เป็นผู้ตามในครอบครัว ยึดถือหลักการคล้ายกับคุณตา ยังคงให้ความสำคัญกับแบบแผนและตำราเช่นการกินอาหารให้ครบห้าหมู่ ความเข้มงวดในเรื่องต่าง ๆ และหากมีสิ่งไหนที่แตกแถวไปจากความสมบูรณ์แบบตามความเข้าใจของพวกเขาจะต้องถูกกำจัดไป เชื่อในการอดทนต่อปัญหามากกว่าแก้มัน
แม่ ตัวแทนของเจ็นเอ็กซ์ (Gen-X) ที่ผู้หญิงพึ่งพาตัวเองมากขึ้นและความเป็นผู้นำครอบครัวไม่ติดกับเรื่องเพศอีกต่อไป ให้อิสระกับลูกมากกว่า แก้ปัญหาอย่างประนีประนอม หลับตาข้างเดียวได้

 

 

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน
ส่วนลูกสองคนคือตัวแทนของกลุ่ม เจ็นแซด (Gen-Z) ที่ตั้งคำถาม ใคร่รู้ และมองตรงไปยังปัญหา แต่พิมอาจจะเป็นตัวแทนของกลุ่ม privileged หรือ ผู้มีสิทธิพิเศษ ด้วยความ ‘สมบูรณ์แบบ’ ของเธอ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่ได้ตั้งคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหลายครั้งเลือกที่จะไม่มองเข้าไปใน ‘รู’ ทั้งที่มันส่งเสียงเรียกหาอยู่ข้างหน้า ในขณะที่พัทอาจจะเป็นตัวแทนของคนกลุ่มชายขอบสะท้อนผ่านความพิการของขา ที่ส่งให้เขาอยากไขปริศนาและไม่กลัวที่จะมองเข้าไปแม้สิ่งที่เขาจะมองอยู่มันน่าสยองแค่ไหนก็ตาม
พินยา ตัวแทนของปัญหา ความจริงที่บิดเบี้ยวน่ากลัวซึ่งถูกซ่อนไว้ แต่ไม่เคยหายไปไหน เหมือนกับร่างของพินยาที่ถูกซ่อนไว้ในตู้ใต้บันได แต่ยังคงออกมาเรื่อย ๆ หรืออาจจะเป็นคนที่เห็นต่างมีความคิดไม่สมบูรณ์ตามแบบแผนในสายตาของคนบางกลุ่มที่ต้องถูกกำจัดไปเหมือนที่คุณยายต้องการกำจัดพินยาที่มีใบหน้าย้อยออกมาเป็นเหลี่ยมอยู่ครึ่งหนึ่ง
รู เป็นตัวแทนของความจริงและปัญหาที่โดนมองข้ามและถูกซ่อนไว้ในอดีตและภาพในรูที่พิมและพัทเห็นชัดขึ้นทุกทีก็อาจจะเป็นตัวแทนของเวลาคนเรามองตรงไปยังความจริงที่ซ่อนไว้และยิ่งให้เวลาพิจารณาค้นหามากเท่าไหร่ ความจริงก็จะยิ่งปรากฏชัดให้เห็นกับตา เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน

 

นม ตัวแทนของแนวคิดของคนรุ่นก่อนที่คนรุ่นใหม่ถูกขืนให้ฝืนกิน สะท้อนผ่านการที่ยายบังคับให้พัทดื่มนมด้วยเหตุผลของความหวังดี โดยมองว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะรักษาความแตกต่าง เหมือนกับที่ยายบอกว่านมจะช่วยให้กระดูกขาที่บกพร่องของพัทแข็งแรง แต่ยาพิษที่ถูกผสมอยู่ข้างในนั้นกำลังจะฆ่าพัทให้ตาย
นาฬิกา อาจจะสื่อถึงอดีตที่เคยเรืองรองที่คนบางกลุ่มเคยสัมผัสและยังคงเห็นมันอยู่ แต่สำหรับคนอีกรุ่นที่มองเห็นแค่เพียงราง ๆ เหมือนร่องรอยบางเบาในกำแพงตรงที่นาฬิกาเคยอยู่
ชั้นวางของที่มีทั้งถ้วย โล่รางวัลที่เก่าจนสีหม่น และสิ่งละอันพันน้อยจากยุคต่าง ๆ ทั้งเครื่องลายครามจากจีน ตุ๊กตากระเบื้องของฝรั่ง เปรียบได้กับเกียรติยศและความภูมิใจในอดีตและวัฒนธรรมที่หยิบยืมและหลอมรวมจากหลายชาติไว้ในชั้นสูงใหญ่ที่ถูกนำมาปิดบังรูเจ้าปัญหานั่นไว้ แต่ก็ปิดไม่ได้และทุกอย่างก็ล้มลงมา แตกกระจายเป็นเสี่ยง

 

และเมื่อนำสัญญลักษณ์เหล่านี้มารวมกับสถานการณ์ในเรื่องและการย้ำถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ ‘15 ปีที่แล้ว’ ช่วงเวลาที่เกิดหนึ่งในจุดหักเหสำคัญของการเมืองไทยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นอย่างรัฐประหารปี พ.ศ. 2549 ก็ยิ่งทำให้ประเด็นที่เรื่องต้องการจะสื่อชัดเจนขึ้น อย่างเช่น

การตายของพินยาและพ่อ อาจจะสื่อถึงการกำจัดคนที่คิดว่าเป็นปัญหา เพราะว่าเขาไม่ตรงกับมาตราฐานความถูกต้องสมบูรณ์ที่คนรุ่นก่อนวางไว้ เหมือนที่ยายรังเกียจพินยา และรังเกียจพัทเพราะทั้งสองมีความแตกต่างอย่างที่ยายไม่ต้องการ และการที่ตาและยายไม่ยอมให้พิมและพัทมองภาพเหล่านี้และมักจะไล่พวกเขาให้ ‘ไปนอน’ ก็เหมือนเป็นการบอกให้เพิกเฉยต่อปัญหาเหมือนที่พวกเขาทำมา
ความขัดแย้งของคนแต่ละยุคสมัยที่ทัศนคติทางการเมืองไม่เหมือนกัน สื่อผ่านความขัดแย้งของคุณตาคุณยายและหลาน ๆ ที่ถกเถียงกันเรื่องความมีอยู่ของรูและสไตล์การแสดงที่ต่างกันของแต่ละเจนเนอเรชั่น ในขณะที่เจนเนอเรชั่นตรงกลางที่ควรเป็นสะพานระหว่างคนสองวัย หลับอยู่ในโคม่า ทำให้ความคิดของคนสองรุ่นยิ่งยากจะหาจุดตรงกลางได้ ในตอนจบที่แม่ลูกทั้งสามย้ายกลับไปบ้านตัวเอง ในขณะที่ตายายต้องอยู่กันสองคนกับความรู้สึกผิดที่จะหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต อาจจะสื่อว่าหากเราไม่ยอมรับปัญหาและการมีอยู่ของรูและเรียนรู้จะอยู่กับมัน หนทางเดียวคือความแตกแยก ต่างคนต่างอยู่ในโลกที่ตัดกันเหมือนสีขาวสว่างในบ้านของแม่ และความหม่นหมองมืดทึมในบ้านของตายายเท่านั้น
การที่แต่ละคนเห็นรูและภาพในนั้นไม่เหมือนกันก็เหมือนกับการที่แต่ละคนมองปัญหาและเห็นความรุนแรงของมันไม่เท่ากัน คุณตามองไม่เห็นรูเลย ส่วนคุณยายเลือกที่จะไม่ใส่ใจกับมัน เช่นเดียวกับแม่ที่เลือกจะย้ายออกมาเพื่อจะได้ไม่เห็นรูนั่นและปิดบังลูก ๆ ไม่ให้รู้เรื่องนี้ตลอดมา พินเห็นภาพพินยาที่ป่วยใกล้ตาย ในขณะที่พัทเห็นพินยาที่ตายไปแล้วหัวเป็นโพรง สะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาที่ขึ้นอยู่กับสายตาคนมองหรือเลือกที่จะมองข้ามไป

ความตายของพินยาและโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับพ่อที่เฉลยมาว่าทั้ง ตา ยาย พ่อ และแม่ต่างก็มีส่วนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งนั้นสะท้อนให้เห็นว่าผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็มีส่วนให้เกิดความวุ่นวายทั้งนั้น แต่ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองในขณะที่คนรุ่นหลังคือพิมกับพัทต้องมารับกรรม
อาการป่วยกระอักเลือดของพัทและการตั้งคำถามของพิมที่คิดว่าเป็นเพราะพัทมองรูนั่นทำให้พัทป่วย แต่ที่จริงแล้วเป็นยาพิษที่ถูกผสมไว้ในนมต่างหากที่ฆ่าพัท เหมือนจะสื่อว่าการมองไปที่ปัญหาไม่ใช่สิ่งที่จะฆ่าใคร แต่เป็นการที่ถูกยัดเยียดแนวความคิดที่เป็นพิษต่างหากที่ฆ่าคนได้
การเฉลยในตอนท้ายที่พิมและพัทสุดท้ายได้รู้ความจริงเกือบทั้งหมดเป็น irony กับชื่อ ‘The Whole Truth’ ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษที่แปลว่าความจริงทั้งหมด เป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่าสิ่งที่คิดว่ารู้ อาจจะไม่ใช่ความจริง แม้แต่คนที่ปกป้องเราก็อาจจะมีความลับดำมืดของเขาเองที่เราไม่อาจรู้ได้เลย
ฉากจบที่พิมนอนหลับตาพริ้มนอนตรง ฮัมเพลงโดยมีพินยานอนอยู่เคียงข้าง อาจตีความได้สองทาง ทั้งการสื่อว่าการที่เราสามารถประนีประนอม ทำความเข้าใจ และอยู่กับความจริงในอดีตที่น่าเกลียดน่ากลัวได้ ใจเราก็จะสงบ หรืออาจจะหมายถึงว่าแม้เราจะหลับตาแต่ความอดีตจะไม่มีวันหายไปไหน แต่จะติดตามเราไปเหมือนที่พินยาจะอยู่ข้าง ๆ พิมไปอย่างนั้นอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว 

The Whole Truth ปริศนารูหลอน จึงไม่ใช่ภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่พูดถึงเรื่องเหนือธรรมชาติไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากราวกับอยู่ในบ้านของเรา และการสื่อเรื่องผ่านสัญญลักษณ์ทำให้การดูเหมือนกับการเติมคำในช่องว่างว่าผู้ชมจะเลือกแทนค่าตัวละครในเรื่องเป็นใคร เป็นอะไร และเพลงปิดเรื่องที่พิมฮัมซึ่งมีเนื้อร้องว่า ‘เสียแรงหลงกู่ ยู้หู ยู้หู ยู้หู ยู้หู หลงอยู่ทุกคืนทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ละเมอ…หาเธอ หาเธอจนสิ้นลมหายใจ’ ‘เธอ’ ที่ว่านั้น หมายถึงใครกัน

แต่ลำดับการเล่าเรื่องและบรรยากาศของหนังยังคงทำได้ในระดับกลางๆ ที่ยังดูไปสุดมากกว่านี้ได้อีก หนังมีการปูเรื่องราวเอาไว้หลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายก็มัวแต่ยุ่งเหยิงอยู่กับแกนเดียวที่เพียงแค่แกนนี้ก็ถือว่าเกือบจะพาหนังไปไม่รอดเสียแล้ว คอนเซ็ปต์ดีที่ของหนังถูกนำมาถ่ายทอดในแบบที่ค่อนข้างคลีเช่ทั่วไป อยากจะให้ดูระทึกและหฤหรรษ์ตามไปด้วยแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงใจอีกอยู่ดี

The Whole Truth จึงออกมาเป็นเพียงหนังระทึกที่มีแนวเนื้อเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พยายามที่หักเหตรงนั้นตรงนี้ แต่ยังทำได้ไม่ถึงจุดที่จะชวนให้ผู้ชมรู้สึกว้าวกับการคลี่คลายในแต่ละประเด็น เพราะโทนเรื่องที่ไม่ได้ชวนน่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น กับภูมิหลังของครอบครัวที่คนดูน่าจะเดาทางกันได้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าตระกูลน่าจะมีความไม่ชอบมาพากลและความลับปกปิดเอาไว้อยู่แน่ๆ จึงทำให้การเฉลยปมต่างๆ ยังไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น

รีวิวหนัง The Whole Truth ปริศนารูหลอน

แต่จุดสตรองของหนังก็แน่นอนว่าต้องเป็นทีมนักแสดง “ปันปัน สุทัตตา” กับ “แม็ค ณัฐพัชร์” ถือว่าเป็นตัวยืนเรื่อง ที่บอกตามตรงว่าพวกเขาก็เกือบจะเอาหนังทั้งเรื่องไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน ต้องมาได้ความเป็นมืออาชีพของรุ่นใหญ่ “ก้อย ทาริกา” กับ “หมู สมภพ” มาช่วยซัพพอร์ต จึงทำให้ทั้งหมดต่างช่วยกันประคองหนังเรื่องนี้ไปตลอดรอดฝั่งได้สำเร็จ แม้ว่าทิศทางการแสดงของพวกเขาจะไม่ได้ชวนตื่นตาอะไรก็ตาม แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของพวกเขา

เอาเป็นว่า The Whole Truth ปริศนารูหลอน เป็นหนังที่พยายามจะฉีกแนวออกมาในมุมมองที่ไม่ค่อยได้เห็นในหมู่หนังไทยสักเท่าไหร่ แต่ความพยายามนี้ถือว่ายังไม่ประสบสำเร็จเปี่ยมเลี่ยม เป็นความครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่ได้แย่แต่ก็ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร หนังที่สามารถดูได้สนุกเพลินๆ ตามการเล่าเรื่องแบบพยายามชวนให้ระทึก แต่หากว่าใครชอบหนังแนวสืบหาปมปริศนาความจริงก็น่าจะชอบเรื่องนี้พอได้อยู่

แต่ลำดับการเล่าเรื่องและบรรยากาศของหนังยังคงทำได้ในระดับกลางๆ ที่ยังดูไปสุดมากกว่านี้ได้อีก หนังมีการปูเรื่องราวเอาไว้หลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายก็มัวแต่ยุ่งเหยิงอยู่กับแกนเดียวที่เพียงแค่แกนนี้ก็ถือว่าเกือบจะพาหนังไปไม่รอดเสียแล้ว คอนเซ็ปต์ดีที่ของหนังถูกนำมาถ่ายทอดในแบบที่ค่อนข้างคลีเช่ทั่วไป อยากจะให้ดูระทึกและหฤหรรษ์ตามไปด้วยแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงใจอีกอยู่ดี

The Whole Truth จึงออกมาเป็นเพียงหนังระทึกที่มีแนวเนื้อเรื่องซ้ำๆ ซากๆ พยายามที่หักเหตรงนั้นตรงนี้ แต่ยังทำได้ไม่ถึงจุดที่จะชวนให้ผู้ชมรู้สึกว้าวกับการคลี่คลายในแต่ละประเด็น เพราะโทนเรื่องที่ไม่ได้ชวนน่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น กับภูมิหลังของครอบครัวที่คนดูน่าจะเดาทางกันได้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าตระกูลน่าจะมีความไม่ชอบมาพากลและความลับปกปิดเอาไว้อยู่แน่ๆ จึงทำให้การเฉลยปมต่างๆ ยังไม่ได้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น

รีวิวหนัง The Whole Truth ปริศนารูหลอน

แต่จุดสตรองของหนังก็แน่นอนว่าต้องเป็นทีมนักแสดง “ปันปัน สุทัตตา” กับ “แม็ค ณัฐพัชร์” ถือว่าเป็นตัวยืนเรื่อง ที่บอกตามตรงว่าพวกเขาก็เกือบจะเอาหนังทั้งเรื่องไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน ต้องมาได้ความเป็นมืออาชีพของรุ่นใหญ่ “ก้อย ทาริกา” กับ “หมู สมภพ” มาช่วยซัพพอร์ต จึงทำให้ทั้งหมดต่างช่วยกันประคองหนังเรื่องนี้ไปตลอดรอดฝั่งได้สำเร็จ แม้ว่าทิศทางการแสดงของพวกเขาจะไม่ได้ชวนตื่นตาอะไรก็ตาม แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของพวกเขา

เอาเป็นว่า The Whole Truth ปริศนารูหลอน เป็นหนังที่พยายามจะฉีกแนวออกมาในมุมมองที่ไม่ค่อยได้เห็นในหมู่หนังไทยสักเท่าไหร่ แต่ความพยายามนี้ถือว่ายังไม่ประสบสำเร็จเปี่ยมเลี่ยม เป็นความครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่ได้แย่แต่ก็ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร หนังที่สามารถดูได้สนุกเพลินๆ ตามการเล่าเรื่องแบบพยายามชวนให้ระทึก แต่หากว่าใครชอบหนังแนวสืบหาปมปริศนาความจริงก็น่าจะชอบเรื่องนี้พอได้อยู่ ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

 

 

รีวิวหนังไทย ด้วยคำสั่งของบิดา ของเขา คนหนุ่มคนนี้ จึงตัดสินใจ นั่งรถฝ่าดงโคลนที่ชื้นแฉะจนทำรถติดหล่ม ผ่านพื้นที่แสนทุรกันดาร เข้าไปยังเหมืองแร่ห่างไกลความเจริญ ที่ อ.กระโสม จ.พังงา เพื่อหวังหางานทำเป็นบทเรียนชีวิต

ในช่วงเวลา 3 ปีกว่า เกือบ 4 ปี เขาได้เรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่างจากที่เขาเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง จาก ‘คนเมือง’ ลูกข้าราชการในกรุงเทพ ต้องพลิกผันมาเป็น ‘คนเหมือง’ เป็นกรรมกรใช้แรงงานแลกค่าแรงจากนายฝรั่งวันละไม่กี่บาท ใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำไปวันๆแบบไม่ต้องคิดถึงอนาคตมากนัก สปอยหนัง

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

อาจกล่าวได้ว่า เหมืองแร่กระโสมในฉากหลังเปื้อนควันสีน้ำตาลอ่อน ภายใต้แสงส้มของดวงตะวันยามเย็นและไฟเหลืองที่ห้อยอยู่ตามหลังคาเรือขุด เป็นมหา’ลัยชีวิตของอาจินต์ ปัญจพรรค์ คนหนุ่มผู้นี้ ที่นี่ เขาได้เรียนรู้ทักษะชีวิตมากมายที่ในมหาวิทยาลัยไม่มีวันสอนเขาได้

มหา’ลัยแห่งชีวิต
ในปีแรกเขายังปรับตัวไม่ได้ แม้แต่จะหุงข้าวกินเองก็ยังทำไม่เป็นจนกลิ่นน้ำมันก๊าดซึมเข้าข้าวไปหมด ต้องอาศัยแกงจืดจากลุงแถวบ้านประทังชีวิต แม้รสชาติไม่อร่อยแต่บรรยากาศที่ได้นั่งซดน้ำแกงอยู่ใต้เพิงหมาแหงนพอให้คลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

แรกเริ่มเขาเป็นเพียงกรรมกรช่วยงานทั่วไปในเรือขุด ความรู้จากคณะวิศวะบวกกับการเป็นคนหนุ่มทำให้เขามั่นใจในตัวเองเสียหนักหนา แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า แค่สั่งน็อตมาซ่อมเรือขุดเขายังเขียนรายการผิด ความไม่มีประสบการณ์ทำให้เขาต้องตั้งใจอย่างจดจ่อ เรียนรู้จากคนอื่นๆที่แม้ระดับการศึกษาต่ำกว่าเขา แต่ก็ชินและช่ำของในงาน เรือขุดนี้มีพี่จอน ฝรั่งที่พูดสำเนียงใต้ไฟแล่บเป็นนายหัวเรือขุด หนังไม่ได้บอกว่าพี่จอนมาจากไหน รู้แต่ว่าแกเป็นคนสู้งานและคุมทุกคนได้อยู่ แกมีพรรคพวกที่คอยเดินตามเมื่อตรวจเรือขุด และดูเหมือนว่าเหมืองนี้เป็นเลือดเนื้อและชีวิตแก เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

วันหนึ่งเจ้านายฝรั่งให้อาจินต์คอยจับตามองขโมยที่จะมาขโมยแร่ที่เหมือง แม่อาจินต์เฝ้าอยู่ เขากลับเห็นพี่จอนกับพรรคพวกมาขนแร่ไป อาจินต์โกรธจัด เทศนาทุกคนว่าแร่นี้เป็นของนายฝรั่ง เพราะเครื่องมือเครื่องจักรและค่าแรงทุกอย่างเป็นของนาย แต่คนขนแร่กลับตอกกลับมาว่าแร่นี้อยู่ในแผ่นดินไทย ไม่สมควรให้ฝรั่งมาเอาไป ความขัดแย้งก่อตัวขึ้นชัดในใจอาจินต์เสียจนเขาเดินไปลาออกในวันรุ่งขึ้น หารู้ไม่ว่าเขาจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากบทเรียนนี้

 

เมื่อกร้านขวบวัยมากขึ้น อาจินต์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นคนทำแผนที่ เขาได้ลูกมือมาช่วยคนหนึ่ง คือไอ้ไข่ ผู้ซึ่งยิ้มแย้มตลอดเวลาและมีนิสัยเหมือนเด็ก อาจินต์เล่าว่าเขาและไอ้ไข่แชร์วิถีประชาธิปไตยกันอยู่ เพราะตอนเช้าเขาจะเป็นคนเดินตัวปลิวไปเขียนแผนที่ แต่ตอนเย็นไอ้ไข่จะเป็นคนเดินมือเปล่านำหน้าไปก่อน ด้วยเหตุผลว่า ‘เลิกงานแล้ว’ ไอ้ไข่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่นั่งท้ายรถกระบะลุยโคลนไปกับเขา แหวกพงหญ้าเข้าไปวางไม้วัดพื้นที่ และยังเป็นเพื่อนในวงเหล้ายามเหงา น่าสังเกตว่าเหล้าเป็นสิ่งเชื่อมสายใยของคนในเหมืองที่เป็นผู้ชายล้วนได้อย่างดี แม้กระทั่งนายฝรั่งเองก็ยังดื่มจัดและตั้งวงกับคนงาน พอเมาก็เอาเงินมาแจกเด็กชาวบ้านแถวนั้นไปซื้อเสื้อผ้า วิถีแบบลูกผู้ชายไหลเวียนอยู่ในสายเลือดที่มีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

รีวิว มหาลัยเหมืองแร่

มุมมองชนชั้นกลางที่ไม่ใช่กรรมกรจริง

ในภาพรวม หนังมหา’ลัยเหมืองแร่ให้ภาพเกี่ยวกับโลกการทำงานของชนชั้นกรรมาชีพได้อย่างโรแมนติก เล่าด้วยเหตุการณ์สั้นๆที่จบในตัวเองหลายเหตุการณ์ เพราะตัวหนังสร้างจากเรื่องสั้นชุด ‘เหมืองแร่’ ที่เป็นประสบการณ์จริงของอาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ แต่ในความโรแมนติกนั้น ถ้าเรามองทะลุไป เราจะเห็นความแร้นแค้นในชีวิตกรรมกร อาจินต์นั้นแทบไม่เหลือเงินสักบาทตอนเขาออกจากเหมืองแร่ เพราะเอาเงินไปซื้อเหล้าหมดแล้ว กรรมกรคนอื่นก็ระหกระเหินไม่ต่างกันเมื่อเหมืองแร่ปิด และต้องใช้ชีวิตแบบไม่รู้อนาคตและไม่รู้จะได้กลับมาเจอกันเมื่อใด ในความโรแมนติกที่เล่าจากสายตาชนชั้นกลางของอาจินต์ เราจะเห็นแง่ที่ไม่งามของมันได้จากคำขอของนายฝรั่งที่ให้อาจินต์สัญญาว่าจะไม่มาใช้ชีวิตแบบนี้อีก พร้อมซื้อตั๋วเครื่องบินให้เขากลับกรุงเทพ เมื่อลองคิดดูแล้ว หากอาจินต์เป็นเพียงกรรมกรคนหนึ่งที่มีฐานะเท่าๆกับกรรมกรคนอื่นๆที่เหมือง เขาอาจไม่ได้มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโรแมนติกแบบ Good Old Day ก็ได้ เพราะเขาไม่มีตาข่ายกันตกที่ชื่อว่าครอบครัวเช่นชนชั้นกลางแบบอาจินต์ – อาจินต์ที่เป็นชนชั้นกลางนั้นมีบ้านให้กลับไปเสมอ และที่บ้านพร้อมจะให้การสนับสนุนเขาแม้เขาจะไม่มีงาน แต่กรรมกรทั่วไปไม่ได้เช่นนั้น พวกเขาไม่รู้ว่าจะหางานได้อีกไหม และจะมีข้าวตกถึงท้องอีกเมื่อใด คงไม่มีใครมีอารมณ์มาเขียนเรื่องเล่าชุดที่ตีพิมพ์จนขายดีแบบอาจินต์ได้

ในแง่หนึ่ง มหา’ลัยเหมืองแร่ และเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ ที่กำกับและเขียนโดยชนชั้นกลาง จึงเป็นแค่การมองไปที่โลกของกรรมกรอย่างคนที่อยู่ข้างนอก ที่มาลิ้มรสความลำบากเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เมื่อออกมาจากโลกแห่งนั้น เขาก็ยังมีที่ให้ไปต่อ ด้วยต้นทุนทางสังคมและการศึกษาที่มากกว่า ตัวเนื้อเรื่องไม่ได้ผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมทางชนชั้นมากขึ้น เพราะยังคงมองชีวิตกรรมาชีพเป็นสิ่งแปลกใหม่ น่าพิศวง (Exotic) เพราะแตกต่างจากชีวิตคนเมือง อย่างไรก็ตาม หนังก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในการให้ความบันเทิงและตอบกลุ่มคนดูชนชั้นกลางได้ดี จนได้รับรางวัลหลายรางวัล และได้ขึ้นทำเนียบหนึ่งในหนังไทยที่ดีที่สุด

สามารถรับชมมหา’ลัยเหมืองแร่ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

 

มหา’ลัย เหมืองแร่ ดัดแปลงมาจากเรื่องราวชีวิตจริงของ คุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์… ในปี พ.ศ. 2492 อาจินต์ วัย 22 ปี นิสิตชั้นปีที่สองจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกรีไทร์ออกจากมหาวิทยาลัย เขาได้เดินทางลงใต้ มุ่งหน้าไปทำงานที่เหมืองกระโสม ตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ในยุครุ่งเรืองของเหมืองดีบุกในประเทศไทย

4 ปี ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีความสะดวกสบาย ทว่าสิ่งที่อาจินต์ได้รับกลับเป็นบทเรียนที่ไม่สามารถหาได้จากมหาวิทยาลัย หลายสิ่งเป็นวิถีนามธรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่ก็ล้ำค่าจนเขาสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต…
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
มหา’ลัย เหมืองแร่ (Official Trailer)

มหา’ลัย เหมืองแร่: มหา’ลัยที่สอนให้รู้จักกับ ‘มิตรภาพ’ และ ‘รสชาติของชีวิต’

” กินอย่าอาย ตายอย่ากลัว ยากช่างหัว ตายปลด ”

“มหา’ลัย เหมืองแร่” เป็นหนังที่อบอุ่น นุ่มลึก เชื่อว่าใครหลายคนดูแล้ว ก็ต้องหลงรัก หากให้เลือก Genre ให้กับหนังมหา’ลัย เหมืองแร่ ก็คงถูกจัดอยู่ในแนว ‘Drama – Coming of Age’ ที่เล่าถึงการก้าวผ่านพ้นวัยของอาจินต์ สภาพก่อนและหลังจากที่อาจินต์มาอยู่เหมืองกระโสม เขาได้ก้าวข้ามบางอย่าง ทั้งปมในชีวิต และความสับสนของช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ พร้อมกับการเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต

ที่เหมืองกระโสม อาจินต์ได้สัมผัสกับประสบการณ์ชีวิต ได้รู้จักกับความรับผิดชอบ ความอดทน ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ความอบอุ่น และความจริงใจ

ที่สำคัญเขาได้เรียนรู้ถึง ‘มิตรภาพ’, ‘บทพิสูจน์จิตวิญญาณของลูกผู้ชาย’, ‘รสชาติชีวิตอันเข้มข้น’ และ ‘สัจธรรมชีวิต’ ซึ่งหาไม่ได้จากมหาวิทยาลัย หนังฟรี หนังใหม่

ความรู้สึกส่วนตัว 

 

ระหว่างรับชม เราจะได้สัมผัสบรรยากาศอันสมจริงของการทำงานในเหมืองแร่ – เรือขุดแร่ ว่าสภาพการทำงานเป็นอย่างไร… ในปี 2492 สภาพถนนยังไม่ดี (ตัวเหมืองยังอยู่ในป่าอีกด้วย) สภาพอากาศทางใต้ฝนตกชุก ทำให้ทุกที่ต่างเต็มไปด้วยโคลนเหนอะหนะ หลายๆ คนอาจจะจินตนาการสภาพการทำงานไม่ออก ยิ่งในปัจจุบัน ยุครุ่งเรืองของเหมืองแร่ดีบุกก็หมดไปจากประเทศไทยแล้ว… มหา’ลัย เหมืองแร่ ช่วยให้เราเห็นภาพเก่าในอดีตได้อย่างแจ่มชัดขึ้น เป็นอีกหนึ่งจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้

ในแง่ภาพยนตร์ ถือว่าหนังทำออกมาได้ดี ด้วย Character แบบภาพยนตร์ GTH ยุคเก่า ไม่หวือหวา โทนไปทางดราม่า ส่วนตัวคิดว่า ภาพรวมหนังอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกว่าสมบูรณ์อย่างหนังต่างประเทศในเวทีดังๆ เช่น บางส่วนของเรื่องยังเชื่อมโยงไม่เนียน หรือนักแสดงยังแสดงไม่เป็นธรรมชาติมาก (แต่ให้ความรู้สึกสมจริงกับบรรยากาศดี)

ที่หนังทำได้น่าประทับใจที่สุดคือ การสร้าง Impact ให้ผู้ชมมีประสบการณ์ร่วมได้อย่างแนบแน่น และถ่ายทอดแก่นเรื่องออกมาได้อย่างชัดเจน สละสลวย จริงใจ… นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ ‘มหา’ลัย เหมืองแร่’ ยังอยู่ในใจของทุกคนเสมอมา

พิชญะ วัชจิตพันธ์ ผู้รับบท ‘อาจินต์’

น่าเสียดายว่า ในปี 2548 ที่ภาพยนตร์ออกฉาย ปรากฏว่าภาพยนตร์ขาดทุนอย่างหนัก จากงบประมาณกว่า 70 ล้านบาท ทำรายได้ไปเพียง 30 ล้านบาท แต่ในแง่คำวิจารณ์ ได้รับคำวิจารณ์ยอดเยี่ยม คว้ารางวัลใหญ่ภายในประเทศไปได้หลายสถาบัน ทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จาก สุพรรณหงส์ ชมรมวิจารณ์บันเทิง สตาร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์ และ คม ชัด ลึก อวอร์ด นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลสำคัญหลายรางวัล จาก เฉลิมไทย อวอร์ด และStarpics Thai Films Awards

มหา’ลัย เหมืองแร่ ยังได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยไปเข้าแข่งขันชิงรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในเวทีออสการ์ ส่วนในระดับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ มหาลัย’ เหมืองแร่ ก็ได้รับคัดเลือกให้ไปฉายในหลายเทศกาลเช่น Pusan International Film Festival (2005), Hong kong – Asia Film Financing Forum (HAF) (2005), Palm Springs International Film Festival (2006) – California, USA

ในปี พ.ศ. 2556 มหา’ลัย เหมืองแร่ ได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ไทย 1 ใน 25 เรื่องที่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ 3 โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ (แหล่งอ้างอิง)

หลังจากผ่านยุคนี้ไปแล้ว ก็ไม่เคยเจอหนังจาก GTH ที่ทำออกมาในแนวนี้อีกเลย แนวหนังที่ค่อนไปทางสายรางวัล (ในฉบับของ GTH)… หลักๆ คิดว่าก็คงมาจากรสนิยมของผู้ชมในประเทศที่ไม่ได้ตอบรับภาพยนตร์แนวนี้มากนัก หนังที่ดูไม่ง่าย แต่นุ่มลึก ให้ความหวังและกำลังใจแก่ทุกคน

” เกียรติของคนต้องขุดเอง ” ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์

รีวิว โหมโรง

รีวิว โหมโรง

 

รีวิวหนังไทย โหมโรง หนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของวงการหนังไทย โหมโรงถูกสร้างในปี 2547 (ผ่านมากว่า 13 ปีแล้ว !!!) โหมโรงกำกับโดย อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ในส่วนดนตรีได้รับการควบคุมโดย ชาติชาย พงศ์ประภาพันธุ์ และ ชัยภัค ภัทรจินดา (คนดนตรีไทยน่าจะรู้จักดี) ตัวหนังได้รับเสียงชื่นชมมากมาย สร้างกระแสดนตรีไทยฟีเวอร์ ขนาดถูกนำไปสร้างเป็นละครทีวีและละครเวที โหมโรงเริ่มแรกเกือบจะถูกถอดไปแล้ว แต่โชคดีถูกต่อลมหายใจโดยพันทิป กระแสปากต่อปากช่วยเอาไว้ ในส่วนรางวัล หนังได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสุพรรณหงส์ รางวัลต่างๆภายในประเทศมากมาย และถูกคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งชิงออสการ์ภาพยนตร์ต่างประเทศด้วย

รีวิว โหมโรง

 

นอกจากรางวัลในประเทศไทยแล้ว โหมโรงยังได้รางวัลจากเทศกาลหนังต่างประเทศหลายเทศกาลด้วย เช่น Miami Film Festival , Asia-Pacific Film Festival , Marrakech International Film Festival (ตัวข้อมูลอ้างอิงจาก Imdb) จึงถือได้ว่าเป็นหนังไทยที่เจ๋งมาก สามารถไปสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศได้

สำหรับเนื้อเรื่องโหมโรงเป็นภาพยนตร์ที่ถูกดัดแปลงมาจากชีวิตของ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ครูคนสำคัญของวงการดนตรีไทย ศรเกิดมาในครอบครัวดนตรีไทยและได้รู้จักกับดนตรีไทยตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตมาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีสูงกว่าคนอื่น ทำให้ได้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีหลวงที่มีเจ้านายคอยอุปถัมภ์ เป็นนายระนาดประจำวง ได้พบรักกับสาวในวัง ได้เข้าสู่ช่วงที่หมดหวังที่สุดในชีวิตเมื่อประชันระนาดแพ้ขุนอิน แต่สุดท้ายด้วยการฝึกฝนและคิดค้นทางระนาดใหม่ ทำให้สามารถเอาชนะขุนอินไปได้

 

รีวิว โหมโรง

ตัดไปช่วงบั้นปลายชีวิต ศรในวัยชรา ต้องเผชิญกับ อุปสรรคของดนตรีไทยอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่กระจายเข้ามาในสังคม นโยบายควบคุมดนตรีไทยและศิลปะแขนงต่างๆ จนทำให้ดนตรีไทยเข้าสู่ยุคโรยรา ซึ่งเป็นยุคที่ศรยากจะทำใจได้

เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ถ้านับจากวันที่เรามีโอกาสได้ไปชมละครเวที “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” จนถึงตอนนี้ เพิ่งมีโอกาสได้เขียนรีวิว มากกว่าการแอบอู้อ่านสอบไฟนอลมาเขียนรีวิว คือเราอยากบันทึกความทรงจำดีๆ ที่ได้จากการชมละครเวทีเรื่องนี้

โหมโรง เดอะมิวสิคัล เป็นละครเวทีที่เราดูแล้วรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ คือมันได้ทุกอารมณ์ ทุกอรรถรส ทั้งโรแมนติก ตลก ซาบซึ้ง น้ำตาคลอ ตื่นเต้น ลุ้นระทึก รวมๆ กันแล้วมันคือความประทับใจ คะแนนเต็ม 10 ก็ให้ 10 เป็น 3 ชั่วโมงครึ่งที่มีความสุขมาก เป็นการดูละครเวทีที่ “ดีต่อใจ” เราไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสละครเวทีบรอดเวย์ หรือของต่างประเทศ แต่มากกว่าเยาวชน มากกว่าคนไทยทุกคน เราอยากให้ชาวต่างชาติได้มาสัมผัสละครเวทีดีๆ ฝีมือคนไทยอย่างเรื่องนี้เหลือเกิน

บทละครเวที “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” ดัดแปลงจากบทภาพยนตร์เรื่อง “โหมโรง” ในปี 2547 เราเคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก คือเด็กมากจนปะติดปะต่อเนื้อเรื่องไม่ได้เลย ภาพจำของเราในภาพยนตร์เรื่องนี้มีแค่ โอ อนุชิต เป็นพระเอก อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เป็นทหาร มีการเล่นระนาด …จำได้แค่นี้จริง ๆ ซึ่งพอเราตัดสินใจจะไปชมละครเวที คิดวันนี้ก็ซื้อบัตรรอบพรุ่งนี้เลย ไปแบบโล่งๆ เข้าไปทำความรู้จักกับเรื่องราว กับตัวละครที่หน้างานเลยละกัน

เป็น 3 ชั่วโมงครึ่ง ที่มีความสุข เรายิ้ม เราหัวเราะ เราลุ้นระทึก แต่ที่สุดของโหมโรง เดอะมิวสิคัล คือละครเวทีเรื่องนี้ทำเราน้ำตาคลอถึง 6 ครั้ง !

 

รีวิว โหมโรง

เรื่องราวของ “โหมโรง เดอะมิวสิคัล” ได้แรงบันดาลใจจากชีวประวัติของ หลวงประดิษฐไพเราะ หรือท่านครูศร ศิลปะบรรเลง ปูชนียบุคคลผู้มีคุณูปการต่อวงการดนตรีไทย ชีวิตของศร ตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่ม จนถึงวัยชรา เพื่อความฝันของเขา เขาต้องต่อสู้ ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคมากมายในทุกช่วงชีวิต การเล่าเรื่อง ตัดฉากสลับระหว่างช่วงวัยหนุ่มกับวัยชรา ยิ่งทำให้เรื่องสนุกและน่าติดตามมากขึ้น
องก์ 1 รุ่มรวยด้วยความสุข มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อิ่มเอมในความงาม ความไพเราะของดนตรีไทย
องก์ 2 คือการขมวดปมด้วยแรงกดดัน ลุ้นไปกับนายศร เสียน้ำตาให้กับท่านครูและอีกหลายชีวิต ก่อนจะจบอย่างจับใจ เว็บดูหนัง เว็บดูหนังฟรี

รีวิว โหมโรง

รีวิว โหมโรง

ตลอดชีวิตของท่านครู หรือนายศร เขาล้วนต้องต้องสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาปรารถนา

“เด็กชายศร” ต้องต่อสู้กับความรักของพ่อ…ความฝันที่จะเล่นดนตรีไทยต้องยุติลง เพียงเพราะความตายของพี่ชายอันเกิดจากชัยชนะในการประชันระนาด แต่นั่นใช่ความผิดของดนตรีไทยหรือ? เมื่อพ่อตัดสินใจเช่นนั้น เด็กน้อยก็ไม่มีทางเลือก น้องที่เล่นเป็นศรคือร้องเพลงเพราะมาก แสดงดีมากเช่นกัน ความรู้สึกของคนที่ถูกห้ามทำในสิ่งที่รัก ซีนพ่อพาศรไปไหว้ครูนี่คือดีมาก แค่ซีนแรกๆ พระเอกยังไม่ทันโต เราก็น้ำตาคลอแล้ว… ถึงแม้พาร์ตวัยเด็กจะใช้เวลาไม่นาน แต่ก็อัดแน่นด้วยความประทับใจ

“นายศร” การต่อสู้กับหัวใจตัวเอง… ละครเวทีเรื่องนี้ทำให้เราอยากให้ประเทศไทยมีการแจกรางวัลให้กับวงการละครเวทีบ้างเหลือเกิน ซึ่งถ้ามี ในปี 2561 นี้ ผู้ที่คู่ควรกับรางวัลนักแสดงนำชายคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก อาร์ม-กรกันต์ สุทธิโกเศศ หน้าตาดี ร้องเพลงเพราะ การแสดงเป็นเลิศ ฝีไม้ลายมือการเล่นระนาดถึงขั้นประชันกับรุ่นครูแล้วชนะ คุณสมบัติเหล่านี้ยากที่จะอยู่ในตัวคนคนเดียว แต่พี่อาร์มทำได้!

ศรในวัยหนุ่ม เขาอยู่ในยุครุ่งเรืองของดนตรีไทย เขาคือระนาดเอกแห่งอัมพวา ความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง บางครั้งก็มากเกินไปจนกลายเป็นความผยอง จนกระทั่งเขาได้พบ ได้ยินเสียงของระนาดที่เหนือกว่าเขา เข้มแข็งและดุดันกว่าเขา จนยากที่จะเอาชนะ นั่นกลายเป็นความกลัว เสียงนั้นยังคอยหลอนให้ชายหนุ่มอย่างศรหวาดผวา และไม่กล้าเล่นระนาดอีก…แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเขากับขุนอินเลย แต่นี่คือการต่อสู้ของศรกับใจของเขา…

รีวิว โหมโรง

 

พาร์ตวัยหนุ่มของศร ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือบทของ “ทิว” เพื่อนสนิทของศร ที่ตัวติดกันตลอด ทิวจัดได้ว่าเป็นตัวสร้างสีสันของเรื่อง ด้วยคาแรคเตอร์ที่จัดจ้าน เล่นใหญ่ไฟกะพริบ แต่การแสดงของ นาย-มงคล กลับเรียกรอยยิ้มให้กับผู้ชมและไม่ทำให้ตัวละครตัวนี้น่ารำคาญเลย
หลายตัวละครในพาร์ตวัยหนุ่ม ทำให้เราสัมผัสและเข้าใจคำว่า “น้อยแต่มาก” ด้วยไทม์ไลน์ของเรื่องที่ยาวนาน ทำให้บางตัวละครปรากฏตัวออกมาน้อย แต่กลับสร้างความประทับใจให้คนดู…ยากที่จะลืมได้ ครูรัก-ศรัทธา มาในบทของ “ครูเทียน” ผู้สอนศรเล่นดนตรีในวัง ออกมาน้อยแต่มาเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม

 

“ขุนอิน” ระนาดเอกแห่งสยามประเทศ รับบทโดย ครูเบิ่ง-ทวีศักดิ์ เป็นขุนอินที่บรรเลงระนาดแล้วให้ความรู้สึกไพเราะ เข้มแข็ง ดุดัน ไปถึงขั้นน่ากลัว! คือเป็นลีลาระนาดที่คนธรรมดาอย่างเราฟังแล้วยังหวั่นเกรง นับประสาอะไรกับพ่อศร

ไฮไลต์ของพาร์ตวัยหนุ่มคือการประชันระนาด ตั้งแต่หลับตาตีระนาด ประชันต่างเมืองสองรุมหนึ่ง มาจนถึงการประชันกับขุนอิน เล่นกันสดๆ ไม่มีลิปซิงก์ ท้าทายผู้ชม ให้เห็นกันไปเลยว่าดนตรีไทยไม่ได้น่าเบื่อ เป็นการประชันระนาดที่น่าตื่นเต้น ลุ้นระทึกในทุกท่วงที ทุกลีลาที่บรรเลง หนังฟรี หนังใหม่

เรื่องย่อ โหมโรง

 

รีวิวภาพยนตร์ เรื่องย่อ โหมโรง ละครโทรทัศน์แห่งความภาคภูมิใจในคุณค่าศิลปวัฒนธรรมความเป็นไทย อันเป็นรากของแผ่นดิน ความงดงามและความไพเราะจากเครื่องดนตรีไทยอย่าง “ระนาดเอก” เริ่มต้นบรรเลงขับขานไปพร้อมกับเรื่องราวอันเข้มข้นของ “ศร” บุรุษผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “มหาคีตกวี” กับเส้นทางชีวิตมุ่งหน้าสู่ความเป็น “นักระนาดเอกมือหนึ่งของแผ่นดิน” บรมครูของนักดนตรีไทย ผู้ผ่านทั้งยุคทองที่รุ่งเรืองอย่างสูงสุด และยุคตกต่ำที่สุดของวงการดนตรีไทย ยอดคนระนาดเอกแห่งสยามประเทศ จะกลับมาโลดแล่นบนจอแก้ว
ยุครัชกาลที่ 5

“ศร” ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เขาสามารถเล่นระนาดได้เองโดยไม่มีใครสอน แต่อาจจะด้วยที่ชีวิตของเขาเกิดมากับเสียงของวงปี่พาทย์ของผู้เป็นพ่อคือ”ครูสิน” หัวหน้าวงปี่พาทย์มีชื่อในอัมพวา สมุทรสงคราม พี่ชายของศรเองก็เป็นนักเลงปี่พาทย์มีฝีมือ แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้นักเลงระนาดอีกหมู่บ้านหนึ่งมาดักฟันพี่ชายของเขาจนตายไปเมื่อเขาอายุได้เพียง 10 ขวบ จากนั้นมาครูสินจึงเลิกยุ่งเกี่ยวกับดนตรีโดยเด็ดขาด เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับใครในครอบครัวอีก

หลวงตาจึงได้ให้ข้อคิดกับครูสิน ว่าคนที่ฆ่าลูกชายคนโตนั้นคือผู้ที่ไม่เข้าใจดนตรีที่แท้จริง ครูสินจึงตัดสินใจกลับมาเปิดวงและรับศรเป็นลูกศิษย์ โอกาสที่ศรจะได้เรียนรู้ดนตรีไทยทุกชิ้นกลับมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง ครูสินพร่ำสอนกับศรว่า “ความงามของดนตรีคือ ทำให้คนมีจิตใจงดงามตามท่วงทำนอง อย่าได้ใช้ดนตรีไปในทางที่เสื่อมโดยเด็ดขาด” คำเหล่านี้จดจำอยู่ในใจศรเสมอมา

แต่เมื่อผันเข้าสู่วัยหนุ่ม ศรกลายเป็นดาวโดดเด่นในอัมพวาจนมีชื่อเสียงมีคนในพื้นที่ใกล้เคียงมาคอยเฝ้าชื่นชม ความเหลิงทำให้เขาเริ่มใช้ดนตรีในทางผิด จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีวงราชบุรีมาท้าประชัน พ่อตัดสินใจไม่เอาศรลงตีระนาดเอก แต่กลับให้ไปตีฆ้องวงแทน เพื่อเป็นการดัดสันดาน แต่เมื่อให้คนในวงคนอื่นเล่นระนาดแทนก็เกิดทำให้เจ้าเมืองราชบุรีไม่พอใจ หาว่าสบประมาทฝีมือกันที่ครูสินไม่เอาของดีออกมาแสดง ในที่สุดศรก็ได้มาตีระนาดเอกและทำให้”พ่อมั่น” ระนาดเอกแห่งราชบุรีที่มาประชันนั้นต้องพ่ายแพ้ไป

 

ต่อมาครูสินจึงพาศรเข้ามาสู่บางกอก เพราะอยากให้ศรได้เปิดหูเปิดตาดูในงานประชันระนาดว่ายังมีคนเก่งอีกมาก พ่อจึงฝากฝังไว้กับครูแก้วเพื่อนของพ่อ แต่แล้วพ่อมั่น ซึ่งได้มาอยู่กับวงครูแก้วเกิดกลัวคู่ประชันขึ้นมาและต้องการจะแก้แค้นศรก็เลยหาเรื่องหลบการประชัน เพราะคู่ต่อสู้นั้นฝีมือฉกาจนัก และขอให้ศรขึ้นประชันแทน ศรด้วยความอยากอวดฝีมืออยู่แล้วจึงตัดสินใจขึ้นโดยไม่ลังเล ขุนอินเมื่อได้ยินเสียงระนาดก็ตีทับขึ้นมาทันที ความแข็งกร้าวดุดันของทางระนาดขุนอินนั้นไม่มีทางที่ใครจะทานได้ ศรจึงพ่ายแพ้กลับไปอย่างยับเยิน ศรพยายามฝึกตีระนาดให้ได้อย่างขุนอิน แต่ก็ทำไม่ได้เสียที จนวันนึงศรก็ได้พบทางระนาดของตน พระองค์ชายเล็กจากในวังที่เสด็จมาตามหานักระนาดมือเอก มาเจอศรจึงชวนเข้าไปอยู่ในวัง

เมื่อศรได้เข้ามาอยู่ที่วัง ก็ได้ครูหมึกและครูเทียนช่วยกันสั่งสอน และศรก็ได้พบรักกับแม่โชติ สมเด็จให้ศรประชันกับขุนอิน ศรกลัวจึงหนีกลับไปที่อัมพวาแต่ครูเทียนก็ไปตามศรกลับมาประชันจนได้ ครูเทียนให้สติศรจนศรได้ค้นพบตัวเองและทางระนาดของตัวเอง จึงสามารถเอาชนะขุนอินได้ ส่วนเรื่องของแม่โชติก็กลับกลายเป็นดี นายศรได้พิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวแม่โชติยอมรับจนในที่สุดทั้งสองได้ครองคู่ชีวิตกัน ดูหนังฟรี ดูหนังออนไลน์